ฉันรีบควบจักรยานปั่นด้วยความเร็วสูงพุ่งตรงไปรับเจเจที่โรงเรียนและเมื่อไปถึงก็เห็นเจเจกำลังนั่งร้องไห้โดยมีคุณครูกำลังปลอบใจอยู่ข้าง ๆ
“เจเจ พี่มาแล้ว”
ฉันจอดจักรยานพิงข้างผนังโดยไม่เสียเวลามาตั้งขาตั้ง
“แง้~ พี่วา...เจอยู่คนเดียว เพื่อนหายหมดแย้ว”
เจเจผละตัวออกจากอ้อมกอดของคุณครูประจำชั้นก่อนเดินปาดน้ำตาวิ่งพุ่งเข้าเอาหน้าซุกท้องและใช้มือเล็ก ๆ กอดรัดต้นขาฉันจนแน่น
“ขอบคุณคุณครูมากนะคะ พอดีวามีธุระนิดหน่อยก็มารับเจเจสายไปหน่อย”
“สายมากต่างหาก”
เจเจผละยืนสูดน้ำมูกมองค้อน
“โอ๋ ๆ พี่มารับแล้วนี่ไง กลับบ้านกันเลยดีไหมครับ? วันนี้เอาจักรยานมาด้วยน้าาา”
“ก็ลองเดินมาสิ”
ขนาดแค่สองขวบกว่า ๆ ยังเถียงเก่งขนาดนี้ ต่อไปยิ่งโตจะเถียงเก่งขนาดไหนเนี่ย ไม่รู้ว่าไปเอานิสัยแบบนี้มาจากใคร
“กลับบ้านกันครับ เกาะพี่แน่ ๆ นะ”
ฉันอุ้มเจเจนั่งซ้อนเบาะหลังของจักรยานก่อนควบและปั่นกลับบ้านและเมื่อจอดเทียบหน้าบ้านเจเจก็ตะโกนร้องเรียนมิราทันที
“พี่มิราาาาา พี่มิรามาอุ้มเจเจเข้าบ้านหน่อย”
ฉันขมวดคิ้วและอ้าแขนเพื่อที่จะอุ้มเจเจลงพื้น
“ไม่เอา!! เจโกรธพี่แล้ว”
“เอาน่า มาเร็ว เดี๋ยวพี่อุ้มลง”
เจเจมองหน้าฉันนิ่ง ๆ ก่อนจะเบะปากร้องไห้ดังลั่นจนทำให้พี่คริสเปิดประตูออกมาและเดินเข้ามาหา
“ม่ายยยยยย ม่ายอาวววว พี่มิราาาาาาาาาาา แง้~”
“เจ! อย่าดื้อสิครับ เดี๋ยวพี่อุ้มลงเองและอีกอย่างพี่มิราอาจจะไม่ว่างออกมารับเราตอนนี้ก็ได้”
พูดจบฉันก็คว้าเจเจขึ้นมาทันที แต่เนื่องด้วยเจเจไม่ยอมให้ฉันแตะตัวจึงดิ้นสุดแรงจนทำให้ทั้งฉัน เจเจและจักรยานพากันล้มกองกันบนสนามหญ้า
“วาเป็นอะไรไหม?”
“พี่คริส...วาเจ็บ”
สีหน้าจากหงุดหงิดในความดื้อดึงของเจเจเปลี่ยนเป็นลูกแมวกำลังขอความช่วยเหลือ
พี่คริสรีบเอาจักรยานที่ล้มทับฉันขึ้นตั้งก่อนจากนั้นจึงย่อตัวลงนั่งมองฉันสลับกับเจเจที่ยังคงร้องไห้และดิ้นกับพื้นอย่างเอาแต่ใจตัวเอง
“เจจะให้พี่มิรามารับอุ้ม เจไม่เอาพี่วาแล้ว”
“พี่คริสช่วยวาด้วย วาไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ปรกติไม่เคยเป็นแบบนี้”
ฉันหันมองเจเจอย่างเหนื่อยใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เจเจต่อต้านและฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องปลอบยังไงให้ใจเย็นลง
“วาฝากพี่คริสหน่อยนะคะ เดี๋ยวเข้าไปตามมิราก่อน”
“อือ อย่าห่วงเลย”
เมื่อฉันเปิดประตูเข้าไปบ้านก็พบแต่ความเงียบสงัดและมืดสนิท
“มิราอยู่เปล่า?”
ฉันเดินหามิราจนทั่วบ้านทุกซอกทุกมุมก็เจอแต่ความว่างเปล่า สงสัยมิราจะออกไปตลาดแล้วอย่างแบบนี้ฉันจะทำยังไงกับเด็กน้อยที่กำลังนอนงอแงอยู่นอกบ้านดีละเนี่ย
ยิ่งคิดยิ่งลำบากใจ
แต่เมื่อฉันเปิดประตูออกไปก็สัมผัสความสงบทันที เจเจกำลังนั่งเล่นหัวเราะร่าเริงกลับพี่คริสราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“โหพี่คริสทำได้ยังไงคะเนี่ย?”
ฉันมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยสักนิด
“พี่ทำอะไร?”
“นี่ไงคะ เจเจหยุดงอแงแล้วแถมอารมณ์ดีอีกต่างหาก พี่คริสของวาเก่งจัง”
ฉันเหล่มองเจเจที่กำลังวิ่งสนุกสนานไล่จับผีเสื้อปีกเหลืองที่กำลังบินวนหนี
“เรื่องนี้พี่ฝึกมานานก็ต้องเก่งเป็นธรรมดา”
“พี่ไปฝึกตอนไหน?”
“จะที่ไหนสักอีกละก็จากเรานั่นแหละ”
“วาไม่งอแงเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้สักหน่อย ไม่รู้ว่าได้ใครมา”
“ได้ใคร? ก็ได้เราไงไอวา”
“พี่คริสอย่ามั่วสิคะ ไม่จริงสักหน่อย”
พี่คริสเปลี่ยนจากนั่งย่อตัวตรงหน้าเป็นนั่งขัดสมาธิและใช้มือตบพื้นหญ้าด้านหน้าให้ฉันขยับเข้าไปใกล้ ฉันจึงทำตามคำสั่งแต่ใกล้กว่าที่ขอจนขาของฉันเกยทับขาของพี่คริส
“ใกล้ไป ถอยออกไปหน่อย”
“พี่คริสพูดต่อสิคะ”
“เจเจไม่เหมือนเราจริง ๆ นั่นแหละ...”
“เห็นไหมเล่าาา”
ฉันฉีกยิ้มกว้างจนมุมปากจะฉีกไปหลังหู
“เพราะว่าเราน่ะดื้อกว่าน้องอีก”
พี่คริสยักคิ้วหนึ่งข้างให้ฉันอย่างยียวนจากนั้นจึงหัวเราะร่วนอย่างพออกพอใจ
“...”
ฉันหุบยิ้มมองคนตรงหน้าที่กำลังโชว์ฟันขาวด้วยใบหน้าที่นิ่งสนิทแต่ความคิดในหัวสมองกำลังแล่นพุ่งพล่านว่าจะทำยังไงกับคนตรงหน้าดี
“งอนเหรอเรา”
“เปล่า...แต่ว่า...”
มุมปากของฉันเหยียดยกขึ้นหนึ่งด้าน สายตาที่กำลังจ้องมองใบหน้าเลื่อนต่ำลงมาหยุดบริเวณลำตัวและนิ้วทั้งสิบก็พุ่งเข้าจู่โจมเอวบาง ๆ ของพี่คริสทันที
ฉันรู้จุดอ่อนสำคัญของพี่คริสยังไงล่ะ
“ไอวา คิกคิก อย่า...ป-ปล่อย~”
คริสพยายามคว้ามือของฉันแต่ความบ้าจี้จึงทำให้ไม่มีแรงดึงออก
“อ๋ออย่าปล่อย พี่คริสได้สิทธิ์นั้นเดียวนี้”
และฉันก็ละเลงรัวนิ้วจนพี่คริสหงายหลังนอนแผ่หัวเราะคิกคัก กว่าจะรู้ตัวตอนนี้ฉันก็กำลังนั่งคร่อมพี่คริสอยู่กลางสนามหญ้าหน้าบ้านอย่างไม่อายใครต่อใครที่เดินผ่านไปผ่านมา
“คิดว่าพี่บ้าจี้คนเดียวเหรอไง!”
พี่คริสก็รู้จุดอ่อนจุดนี้ของฉันเหมือนกัน เราทั้งคู่ต่างพากันบ้าจี้
“พี่คริสสสสสสสสอย่า~”
แขนของฉันที่กำลังค้ำพื้นได้อ่อนแรงลงจึงทำให้ตัวฉันทิ่มทับพี่คริสทั้งตัว
“คิคิ สงสัยพี่คริสอยากให้วากอดเลยจงใจแกล้งกลับ”
“หนัก”
พี่คริสดันตัวฉันให้ลงจากการถูกทับ
“พี่คริส พรุ่งนี้เราไปเดินเล่นในงานกันนะ”
“งานอะไร?พรุ่งนี้มีอะไรเหรอ?”
“เมคเลิฟ…”
ฉันเว้นวรรคประโยคเม้มปากลงเล็กน้อยและช้อนตามองพี่คริสแสดงถึงกำลังเขินอายเล็กน้อย
“ไอวา!ทะลึ่งนะเรา!”
สีหน้าและน้ำเสียงของพี่คริสทำเอาฉันหลุดขำพรืดออกมา
“ขำอะไร?”
“ขำพี่คริสนั่นแหละ วายังพูดไม่จบเลยก็คิดไปไกลถึงดาวอังคารซะแล้ว เทศกาลเมคเลิฟเวอร์เฟสติวัลต่างหาก… ใครกันแน่ที่ทะลึ่ง”
เนื่องจากเทศกาลเมคเลิฟเวอร์เฟสติวัลเพิ่งจัดได้เมื่อสองปีก่อนซึ่งช่วงนั้นพี่คริสย้ายเข้าไปเรียนในตัวเมืองก็เลยไม่รับรู้ว่ามีเทศกาลใหม่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน ปรกติแล้วเทศกาลนี้เรียกอีกชื่อและจัดเพียงแค่วันศุกร์และวันเสาร์เท่านั้น แต่เมคเลิฟเวอร์เฟสติวัลจัดตลอดสัปดาห์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของหมู่บ้านเราโดยเฉพาะ
ฉันเบี่ยงสายตาหลบหน้าก่อนที่จะหลุดขำไปมากกว่านี้
“ขำอีกแล้ว!ใครใช้ให้วรรคแบบนั้นเล่า เป็นใครก็เข้าใจผิดทั้งนั้นคิดว่าเราทะลึงลามกทั้งนั้นแหละ”
“ตรู๊ดดดด!ผิดแล้ว พี่คริสคนเดียวนั่นแหละ แบร่!”
ฉันแลบลิ้นปริ้นตาใส่คนคิดลึกคิดไปไกล
“แกล้งพี่อีกแล้ว แกล้งพี่อีกแล้ว!เจอนิ้วพิฆาตหน่อยเป็นไรไป”
ฉันเลิ่กคิ้วเล็กน้อยจากนั้นก็กลิ้งตัวเข้าประชิดพี่คริสและทำสิ่งที่ถนัดที่สุดก็คือการกอด ฉันใช้มือทั้งสองกอดรวบหัวรวบหางจนพี่คริสไม่สามารถกระดุกกระดิกทำสิ่งที่หมายมั่นจะทำได้
“คิดจะจั๊กจี้วาเหรอ?คิดว่าวารู้ไม่ทันพี่เหรอ?เสร็จวาแหละ”
“ยิ้มทำไม”
“ไม่ยิ้มก็ได้”
ฉันหุบมุมปากให้กลับเข้าที่ ค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าเข้าไปหากลิ่นหอมซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคนตรงหน้าช้า ๆ
และตอนนี้ฉันสัมผัสได้ว่าพี่คริสกำลังเกร็งไปทั้งตัวแต่ก็ยังไม่เอ่ยปากไล่นั่นจึงทำให้ฉันได้ใจมากขึ้นไปอีก
บางทีฉันอาจจะเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ได้อีก อีกนิด…
ทันใดนั้นพี่คริสก็หลับตาพริ้มลงราวกับกำลังเชิญชวนอย่างไรอย่างนั้น
ฉันขบริมฝีปากล่างของตัวเองเล็กน้อยซึ่งในใจเต็มไปด้วยความลังเล
ตอนนี้ฉันได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ อุณหภูมิของร่างกายตีกันมั่วไปหมด
ตึกตัก… ตึกตัก
ในขณะที่บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิทฉันก็ได้ยินอีกหนึ่งเสียงของการเต้นไม่เป็นจังหวะ ซึ่งมันไม่ได้มาจากอกซ้ายของฉันแต่มันดังมาจากข้างหน้า
ถ้าอย่างนั้นฉันจะสนองความต้องการของตัวเอง เมื่อหัวสมองประมวลได้ดังนี้ก็หลับตาพริ้มตามพี่คริสก่อนจะค่อย ๆ วางริมฝีปากลงแตะ
พลั่ก!
จู่ ๆ ตัวฉันก็หงายกลิ้งออกไปทางด้านข้างของพื้นที่โล่งแจ้งทันที ฉันยกมือขึ้นป้องแสงอาทิตย์ก่อนจะลืมตาขึ้นมองสู้แสงแดด
และภาพตรงหน้าที่เห็นแทนที่จะเป็นใบหน้าอันน่าหลงใหลของพี่คริสกลับกลายเป็นเด็กสองขวบกว่ากำลังยืนจังก้าเอามือเท้าเอวหน้าบูดบึ้งบิดเบี้ยวแทน
“เจเจทำไรน่ะ?”
เด็กชายตัวเล็กแค่นี้แต่มีแรงพลักฉันออกห่างจากพี่คริสได้ยังไงกัน เห้อ!คนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม
“พี่วานิสัยไม่ดี”
“หืม?พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
ฉันพลิกตัวลุกขึ้นนั่งมองน้องชายที่กำลังกล่าวหา
“ก็พี่วาจะรังแกพี่คริส”
ฉันเหลือบสายตาแอบมองพี่คริสเล็กน้อยและรีบหันหน้ากลับไปทางเจเจตามเดิมเพราะเขินและทำตัวไม่ถูกแต่ก็ต้องพยายามทำตัวให้ปรกติที่สุด
“พี่จะรังแกพี่คริสทำไมคะ?พี่รักพี่คริสจะตายไป”
ว่าแล้วฉันก็ลุกขึ้นเดินไปเข้าโผกอดพี่คริสและแหงนหน้ามองเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามเจ้าตัว
“ใช่ไหมคะพี่คริส”
“… ไม่รู้”
“ใช่สิ วายืนยันเองเลย เห็นไหมเจเจพี่จะรังแกพี่คริสทำไมกัน”
ฉันมองหน้าเจเจที่กำลังจะเบะปากทำท่าทำทางเหมือนจะร้องไห้
ขาเล็ก ๆ สองขาวิ่งตรงเข้าไปพี่คริสและใช้มือเล็ก ๆ ปัดมือของฉันออกและเสียบแทนนี่ทันที
“พี่คริสของเจ”
“มั่วนิ่ม!พี่คริสของวาต่างหาก”
ฉันกลับเข้าไปกอดพี่คริสอีกครั้งหลังจากถูกเจเจดันออก
มือเล็ก ๆ ฟาดลงบนต้นขาฉันรัว ๆ และพยายามจะดันฉันให้ออกห่างจากพี่คริสอีกครั้ง แต่แรงเด็กก็สู้แรงผู้ใหญ่ไม่ได้หรอก
“ออกไปนะ!”
“ไม่ออก นี่พี่คริสของพี่วานะคะเจเจ เจเจต่างหากที่ต้องออก”
“เจสนิทกับพี่คริส!”
ฉันเหล่มองเจเจที่สมอ้างตัวเองทั้งที่ตั้งแต่ลืมตาดูโลกมาวันนี้และเมื่อกี้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเขาเพิ่งได้รู้จักพี่สาวตรงหน้าหยก ๆ
“มั่วนิ่ม”
“แง้~”
เมื่อรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้จึงใช้น้ำตาและเสียงเข้าสู้จนฉันถูกพี่คริสดุจนได้
“เราก็เลิกแกล้งน้องได้แล้ว เถียงกับเด็กไม่อายหรือไง”
“ก็มาโมเมว่าพี่เป็นของเจเจได้ยังไง”
“ยังอีก เรานี่นะ”
“โอเค ๆ วาไม่แกล้งน้องแล้วก็ได้”
ฉันยักไหล่จบและจบเรื่องทั้งหมด ก็ดีเหมือนหันฉันก็เริ่มขี้เกียจเถียงเด็กน้อยต่อแล้ว
“เจเข้าบ้านกัน”
ฉันยื่นมือไปหาเจเจทว่ากลับถูกปัดออก
“พี่คริสของเจ!”
เด็กน้อยเบะปากเหลือบมองดูท่าทีของฉัน
“อืม ๆ พี่คริสของเจก็ได้ เข้าบ้านกันดีกว่า”
และในที่สุดเจเจก็หายงอนยอมจับมือกับฉันตามปรกติ
“พี่มิราละ ไม่เห็นออกมาหาเจเจเลย”
ยังไม่ลืมเรื่องที่จะให้มิรามาอุ้มอีก ถ้าฉันบอกไปว่ามิราไม่อยู่บ้านตอนนี้ เผลอ ๆ เจเจอาจจะร้องไห้งอแงอีกก็ได้ ช่วงนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้เอาแต่ใจตัวเองเป็นพิเศษ
“พี่มิรา… เอ๊ะ!นั่นไง!”
ฉันชี้ไปหามิราที่กำลังเปิดประตูรั้วพร้อมกับวัตถุดิบประกอบอาหารพะรุงพะรัง
“มิราาาาาา~”
น้ำเสียงที่เปล่งออกไปเต็มไปด้วยความโล่งใจ โชคดีที่มิรากลับมาพอดีไม่งั้นนั้นฉันคงโดนเจเจป่วนร้องไห้งอแงและต้องให้พี่คริสช่วยกล่อมอีกรอบแน่นอน
“อยู่กันครบเลย แล้วไหงไม่เข้าบ้าน”
“เจเจดื้อน่ะสิ โชคดีมีพี่คริสมาช่วยชีวิตไว้ทัน”
“อุ้มเจหน่อยครับ”
เจเจอ้าแขนรอให้มิราอุ้มโดยไม่สนใจว่ามือเธอว่างหรือเปล่า
“มา ๆ ฉันถือของให้”
“ขอบใจ” มิราส่งข้าวของให้ทั้งหมดในมือให้ฉันก่อนหันไปถามพี่คริส “พี่คริสอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะคะ มิราซื้อมาเพียบเลย”
“งั้นเย็นนี้พี่ฝากท้องด้วยนะ”
“สำหรับพี่คริสได้เสมอค่ะ”
มิรายิ้มหวานก่อนจะแบกเจเจเข้าไปในบ้านและตระเตรียมจัดการอาหารเย็นอย่างชำนาญ
หลังจากรับประทานอาหารเย็นและเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วฉันก็รีบเอ่ยชวนพี่คริสย้ำอีกรอบหนึ่ง
“พี่คริสพรุ่งนี้อย่าลืมนะคะที่วาชวน”
“กี่โมงล่ะ?”
“สักเก้าโมงเช้าก็ได้ค่ะ”
“โอเค งั้นพี่กลับแล้วนะ”
“ครับผมมม ฝันดีนะคะพี่คริส”
ฉันกอดลาพี่คริสไปหนึ่งทีก่อนออกไปส่งนอกบ้าน ฉันยืนเกาะข้างรัวรอพี่คริสเข้าบ้านและเมื่อพี่คริสกลับเข้าบ้านของตัวเองแล้วฉันถึงกลับเข้าบ้านของตัวเองบ้าง