กลิ่นของแอมโมเนียอ่อน ๆ ลอยโชยเตะจมูกทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตัวและหลุดออกจากภวังค์ในอดีตและมีลมบางเบากระทบใบหน้าเป็นจังหวะ
ฉันยกเปลือกตาขึ้นอย่างช้า ๆ และเมื่อเปิดเต็มตาก็เห็นใบหน้าที่รอคอยมาหลายปีกำลังก้มมองด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“รู้สึกตัวแล้วเหรอวา”
“พี่คริส”
ฉันเรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยเสียงแผ่วเพราะสติยังกลับมาไม่ครบเท่าไรนัก
และสีหน้าอ่อนโยนก็เปลี่ยนไปทันที
“ทำไมเราไม่ยอมกินข้าว!ป้าแจงบอกพี่ว่าเรานั่งรอพี่ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้!ทำไมไม่กินข้าว!”
“คือว่าวา…”
ฉันค้ำมือเพื่อเตรียมพยุงตัวนั่งแต่ก็ถูกพี่คริสดันกลับให้นอนหนุนตักตามเดิม
“ลุกไหวแล้วแน่เหรอ?”
“เป็นห่วงวาเหรอคะ?”
ฉันยิ้มถามด้วยความดีใจ
“ลุกขึ้นพรวดพราดเดี๋ยวหน้ามืดอีกรอบหรอก พี่ไม่อยากให้เรามาตายคาตักพี่เฉย ๆ”
“ชิ!งั้นวาจะตายคาอกพี่คริสแทนแล้วกันค่ะ”
ฉันพยุงตัวเองขึ้งนั่งโดยคราวนี้ค่อย ๆ ลุกและจากนั้นจึงทำท่าทางตามที่เพิ่งเอ่ยออกไปเมื่อครู่นั้นก็คือเอาหน้าซบลงแนบอกพี่คริส
“ยังจะมาเล่นอีก ถ้าไหวแล้วก็กลับบ้าน”
“ค่าาาาา~”
ฉันหันไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้
“ทุ่มครึ่ง?”
“อืม เราหลับยาวเลย ตกใจหมด”
“ฮั่นแน่ พี่คริสห่วงวาจริง ๆ ด้วย”
“เป็นใครก็ต้องห่วงไม่ใช่แค่พี่หรอก เอานี่น้ำหวานไปดื่มซะ ป้าแจงชงมาให้”
ฉันรับขวดน้ำที่บรรจุน้ำหวานสีแดงเย็นเจี๊ยบไว้ในมือก่อนยกขึ้นจิบ
“โอ้โห สดชื่นมีกำลังขึ้นมาเลยอะ”
“เว่อร์!”
“จริง ๆ นะคะเพราะพี่คริสเลย”
“พี่?”
เธอชี้นิ้วเข้าหาตัว
“อือ วาจะสดชื่นกว่านี้อีกถ้าทำแบบนี้”
พูดจบฉันก็อ้าแขนและเข้ากอดพี่คริสที่กำลังนั่งสงสัยว่าฉันจะทำอะไรต่อไป
“คิดถึงพี่คริสจังเลย สดชื่นด้วย”
ฉันเอาหน้าซุกไปซุกมาระหว่างที่พี่คริสอยู่ในอ้อมกอดของฉัน
“ปล่อยได้แล้ว”
เธอตีแขนฉันสองสามทีเพื่อให้ปล่อยและเลิกประวิงเวลาก่อนที่ฟ้าจะมืดไปมากกว่านี้
“วาช่วยถือใบหนึ่ง”
ฉันยื่นมือไปตรงหน้าแต่พี่คริสเบี่ยงกระเป๋าหลบทั้งสองใบ
“เอาตัวเองให้รอดก่อนช่วยคนอื่น”
“ค่าาาา จริงสิพี่คริสคือว่า… วายังไม่ได้จ่ายเงินค่าขนมป้าแจงเลย”
“จ่ายให้หมดแล้ว!”
พี่คริสยกนิ้วขึ้นดีดหน้าผากฉันหนึ่งทีอย่างเบามือ
“โอ๊ยยยย!หัวแตกเลยเนี่ย”
ฉันยกมือขึ้นกุมหน้าผากจุดที่โดนดีดพร้อมกับแสดงสีหน้าเจ็บปวดเหยเก
“โอเวอร์อีกแล้ว!นิ้วพี่ไม่ใช่ก้อนอิฐ”
พี่คริสส่ายหัวให้กับความเล่นใหญ่เกินเบอร์ของฉัน
“อิอิ กลับบ้านกันดีกว่า”
ฉันรีบแย่งกระเป๋าเดินทางใบโตหนึ่งใบและรีบตรงไปที่รถแท็กซี่ที่กำลังจอดรออยู่คันสุดท้าย
“อย่าวิ่ง เดี๋ยวก็ล้มทั้งคนทั้งกระเป๋าหรอก”
พี่คริสตะโกนไล่หลัง ส่วนฉันถึงโดยสวัสดิภาพไม่ล้มคะมำตามที่คริสห่วง
ลุงแท็กซี่ยกกระเป๋าเก็บหลังรถจากนั้นก็ออกรถทันที
“พี่บอกว่าอย่าวิ่ง ดื้อจริง ๆ”
“วาก็อยู่รอดปลอดภัยดีนี่คะ เห็นไหมไม่บุบสลายสักหน่อย”
“ขี้ดื้อ!”
“ใครคะ?”
“เรานั่นแหละ”
“ไม่สักหน่อย”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าวันนี้พี่จะกลับมา?”
“เพราะใจเราส่งถึงกัน”
ฉันฉีกยิ้มหวานอย่างเคอะเขิน พูดเองเขินเองสักอย่างนั้น
“เห้อ… ถึงแล้วปลุกด้วยแล้วกัน”
“ค่าได้เลย ไหล่นี่ก็ซบเป็นหมอนได้เลยนะคะ”
“ไม่ละ ขอบใจ”
สิ้นประโยคเธอก็หลับตาลงด้วยความอ่อนล้าเพราะเหนื่อยกับการเดินทาง ความจริงแล้วเธอต้องมาถึงหมู่บ้านรอบแรกแต่เหตุสุดวิสัยบางอย่างเลยต้องเลื่อนรอบเรือเป็นรอบสุดท้ายแทน
และเธอนึกไม่ถึงเลยว่าไอวาเด็กที่ตามติดตามจีบเธอตั้งแต่เด็กจะมารอรับตั้งแต่เช้า ถ้าเธอไม่ได้กลับมาวันนี้เด็กนี่ก็คงมารอในวันถัดมาเป็นแน่
ฉันนั่งมองพี่คริสหลับตาหน้านิ่งตลอดทางกลับบ้าน จนกระทั่งรถเข้าโค้งเลี้ยวทำให้ศีรษะของพี่คริสทำท่าจะโขกเข้ากับกระจกรถ ฉันจึงรีบเอามือเข้าไปขวางและเลื่อนมาพักซบหมอนชั่วคราวที่เสนอก่อนหน้า
“พี่คริสถึงแล้ว”
ฉันสะกิดไหล่
“…”
“พี่คริสถึงบ้านเราแล้ว ลุงคะช่วยยกของลงให้ก่อนแล้วกันค่ะ”
ฉันจึงบอกลุงคนขับรถให้ยกของลงก่อน เมื่อลุงลงไปแล้วฉันจึงปลุกพี่คริสอีกครั้ง
“พี่คริสสสส ถึงแล้ว ตื่นได้แล้วไปนอนต่อที่บ้านเถอะ พี่คริสสสส”
คราวนี้ฉันเอานิ้วจิ้มแก้มพี่คริสเป็นจังหวะก่อนจะถอนมือออกและโน้มใบหน้าลงไปจุ๊บแก้มแทน
“วา?”
พี่คริสค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมองและเอามือลูบแก้มข้างที่ถูกขโมยหอมแก้ม
“มอนิ่งคิสค่ะพี่คริส ถึงบ้านแล้ว”
“อืม ๆ”
เมื่อฉันและพี่คริสลงจากรถแท็กซี่ มิราก็วิ่งออกมาต้อนรับพร้อมกับเสียงบ่นไม่หยุดหลังจากทักทายพี่คริสเสร็จ
“ไอ้วา!ทำไมเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้!จะสามทุ่มอยู่แล้ว ไปเถลไถลที่ไหนมาก่อนไปรับพี่คริสเนี่ย?เจเจมันงอแงหาแกจนหลับไปทั้งน้ำตาแล้ว”
“ขี้บ่นจริง ๆ ฉันไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหน”
“พี่คริสคะ ไอ้วามันออกไปตั้งแต่เช้ามืด หนีเที่ยวแน่ ๆ แล้วเอาพี่คริสมาอ้าง”
มิราหันไปบ่นฉันให้พี่คริสฟัง
“ฉันก็ไปรอพี่คริสนั่นแหละ ไปรอตั้งแต่เรือรอบแรกแค่พี่คริสมารอบสุดท้ายน่ะ” ฉันอธิบาย “อะฝากร่มหน่อย จะช่วยพี่คริสยกกระเป๋าเข้าบ้าน”
ฉันส่งร่มสีลูกกวาดที่เอาไปตั้งแต่เช้าเพราะกลัวมาฝนจะตกส่งให้มิราถือ
“ไม่ต้อง เข้าบ้านไปทั้งคู่นั่นแหละ ฝากวาด้วยรีบกินข้าวแล้วเข้านอนซะ เนี่ยมิรารู้ไหมว่าไอวาอดข้าวอดปลาทั้งตั้งแต่เช้าจนเป็นลม”
พี่คริสบอกเล่าเรื่องราวจนมิรารู้สาเหตุที่กลับบ้านช้า
“อย่างนั้นเหรอคะพี่คริส เดี๋ยวหนูจัดการน้องเอง” มิราคุยกับพี่คริสเสร็จก็ส่งสายตาพิฆาตมาหา “เข้าบ้าน เดี๋ยวทำข้าวให้กิน แล้วพี่คริสกินอะไรมายังคะ เดี๋ยว…”
“พี่คริสยังไม่กิน เดี๋ยววาทำอาหารให้พี่คริสค่ะ เดี๋ยวยกไปส่งถึงห้องนอนเลย”
“ไม่ต้อง!/ไม่ต้อง!”
เสียงร้องห้ามของมิราและพี่คริสปฏิเสธขึ้นพร้อมกัน
“อ่าววว คนอุตส่าห์ตั้งใจทำให้”
ฉันหน้างอเสียงจ๋อยก่อนจะลากเสียงออดอ้อน
“พี่คริสสสสสส”
“หนูไม่รบกวนพี่แล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะมาเหนื่อย ๆ เดี๋ยวไอ้แสบนี่หนูจัดการมันเอง”
และมิราก็ลากคอฉันเข้าบ้าน
“พี่คริสฝันดีค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้วาไปหานะคะจุ๊บบบบ”
ฉันโบกมือลาและมองพี่คริสที่กำลังเดินเข้าบ้านตัวเอง
“มิราทำไมชอบขัดอยู่เรื่อย คนอุตส่าห์หาจังหวะสร้างความประทับใจต้อนรับพี่คริสกลับบ้าน”
“ด้วยการทำอาหารบูดให้พี่คริสน่ะเหรอ?”
“ปากเสียอีกแล้ว!”
“ก็อาหารที่แกทำแต่ละอย่างมันกินได้ที่ไหน ขืนแกทำให้พี่คริสกินนะมีหวังคืนนี้ท้องเสียไปอีกสามวันสามคืนแน่นอน”
“มิรา!มิราก็พูดใส่ความเกินไป”
“จำคราวก่อนที่แกฝึกทำต้มยำได้ไหม?”
“ไม่เห็นจะจำได้”
ฉันรีบปฏิเสธทั้งที่จำเหตุการณ์เรื่องราวได้แม่นยำ
“ต้มยำนั้นทำเอาฉันและพี่คริสอ้วกเป็นวัน อาหารเป็นพิษต้องหามกันเข้าโรงฯบาล”
“… ก็นั่นต้มยำ มันทำยาก เครื่องเยอะ!”
“งั้นต้มจืดที่แกเคยทำก็ทำเอาท้องเสีย!เค็มปี๋อีก”
“เออ!ไม่เถียงแล้วก็ได้!มิรารีบทำข้าวเลย หิวแล้ว ทำเผื่อพี่คริสด้วยล่ะ”
“เออ รู้แล้วน่า!”
หลังจากมิราทำอาหารเมนูสิ้นคิดเสร็จเรียบร้อย ฉันก็รีบจัดจานอาหารสำหรับพี่คริสทันที
“กะเพราหมูสับหอมเนาะ เอาไปให้พี่คริสก่อนนะ”
“ไปด้วย”
ฉันหันขวับไปมองหน้ามิราอย่างเอาเรื่อง
“จะไปเป็นก้างขวางคอฉันทำไมมิรา”
“จะไปคุมแกไง”
และฉันก็เดินหน้ามุ่ยถือจานใส่กะเพราไปเคาะประตูบ้านพี่คริส
“พี่คริสสสสส วาเองค่ะพี่คริส”
ไม่นานประตูก็เปิดออกโดยเจ้าของบ้าน
“พี่คริส ข้าวร้อน ๆ ค่ะ”
ฉันยื่นจานตรงหน้าให้และกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปข้างในแต่ก็ถูกมิราดึงคอเสื้อไว้
“ให้แล้วก็กลับค่ะ อย่ากวนพี่เขา”
“ขอบใจนะมิรา”
พี่คริสรับจานข้าวในมือฉันแต่หันไปยิ้มให้มิรา
“พี่คริสวาเอามาให้พี่นะ”
ฉันหน้ามุ่ยเถียงออกไป หันมายิ้มหวานให้ฉันบ้างสิ
“ก็พี่รู้ว่ามิราทำไง”
“ถ้าวาเป็นคนทำล่ะ?”
“ไม่มีทาง หอมขนาดนี้เราไม่มีทางทำหรอก ขอบใจนะ”
พี่คริสหัวเราะชอบใจก่อนจะปิดประตูเข้าบ้าน
“พี่คริสฝันดีนะคะ ฝันถึงวาด้วยนะ”
ฉันตะโกนบอกฝันดีอีกรอบ
“ไอ้วา!ชู่ว์!!เสียงดังเดี๋ยวรองเท้าก็ลอยมาหรอก”
จากนั้นฉันก็ถูกมิราลากกลับเข้าบ้านไปรับประทานอาหารเช้าเที่ยงและเย็นในมือเดียวกันก่อนขึ้นนอน