“มันก็น่าน้อยใจไหมล่ะ คนเคยตื่นมาเจอหน้ากันทุกเช้า ถึงจะขับรถออกไปทำงานคนละคันก็เถอะ แต่แล้วฉันกลับไม่ตื่นมากินข้าวเช้ากับเขา แทนที่จะถามไถ่แต่นี่เขากลับทำเฉย เหมือนฉันไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขาเลย” สีหน้าของคนพูดบอกว่ากำลังท้อใจในชีวิตคู่อยู่ไม่น้อย
“เขาอาจจะงานยุ่งหรือเปล่า”
“มั้งนะ งั้นก็อย่าเอาเรื่องของฉัน ไปทำให้เขายุ่งขึ้นกว่าเดิมดีกว่า คุยงานของเรากันต่อเถอะ”
“เอ้า ๆ ก็ได้ ๆ” ไปรยารู้ว่าเพื่อนคงแค่อยากระบาย ไม่ได้ต้องการคำแนะนำหรอก หรือถึงแนะนำไปก็คงไม่ฟังอยู่ดี ถ้าฟังตั้งแต่แรกคงไม่ตอบตกลงแต่งงานไปหรอก
“ร่างแบบมาให้ดูแล้ว ไอ้สไตล์มินิมอลอะไรของแกนี่แก้ตรงไหนอะไรยังไง ก็เชิญว่ามาได้เลย” คนพูดเปิดงานที่อยู่บนโต๊ะให้เพื่อนดู
“โอเค ไหนขอฉันดูหน่อย”
ธารินันท์ยุ่งอยู่แต่กับการวางแผนทำงานใหม่ของตัวเอง หญิงสาววาดฝันเอาไว้ว่า อยากมีร้านคาเฟ่ต์เป็นของตัวเอง ทำแบบครบวงจร มีให้เช่าสตูดิโอถ่ายรูปสำหรับงานต่าง ๆ มีมุมสวย ๆ ให้นั่งทานอาหารในร้าน เธอเคยขออนุญาตมารดา ซื้อที่แห่งหนึ่งเอาไว้ในราคาแสนแพงเมื่อหลายปีก่อน แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือทำ มารดาของเธอก็มาขอให้ไปช่วยงานพี่ชายที่บริษัทก่อน จึงต้องพับเก็บความฝันนี้ลง แต่ตอนนี้เธอสามารถทำมันได้แล้ว ใช้เวลาเพียงสองเดือนทุกอย่างก็ถูกเนรมิตได้เป็นผลสำเร็จ สมใจเจ้าของร้านคนสวยเป็นอย่างมาก
ธารีน่าคาเฟ่ต์
ณธายุคิดว่าเขากับภรรยา ใช้ชีวิตคู่แบบไว้เนื้อเชื่อใจกัน จะไม่มีการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย แม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมธารินันท์ถึงปรับเปลี่ยนเวลาไปทำงาน เพราะหญิงสาวตื่นสายกว่าทุกครั้ง และกลับบ้านก่อนเขาทุกวัน แต่คิดอีกทีภรรยาของเขาเป็นถึงลูกสาวเจ้าของบริษัท คงไม่จำเป็นต้องเข้าออกที่บริษัทเหมือนพนักงานคนอื่น เพราะคิดแบบนี้ชายหนุ่มเลยไม่ได้เอ่ยถามออกไป
“คุณยุจะไปไหนเหรอคะ” หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำ พบว่าสามีของตนเองกำลังพับเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ อีกทั้งยังมีใบขนาดกลางอีกสองใบ คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมามองภรรยาเล็กน้อย สีหน้าเหมือนคนมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
“ผมต้องไปดูแลงานที่ใต้ครับคุณนันท์” เขาบอกความจริงออกไปในที่สุด
“ใต้ ภาคใต้น่ะเหรอคะ” ธารินันท์ถามเขาแบบคนใจหาย กระเป๋าใบใหญ่ขนาดนี้เขาไม่ได้ไปแค่วันสองวันแน่
“ใช่ครับ ผมกะว่าจะบอกคุณไว้ล่วงหน้า แต่กลับมาบางทีคุณก็หลับก่อนผมไปแล้ว ช่วงนี้เวลาของเราไม่ค่อยตรงกัน ผมเลยไม่อยากรบกวนน่ะครับ” เขาบอกแล้วเงียบไป แต่คนที่ได้ยินแทบอยากกลอกตามองบนใส่ในทันที
‘ใครบอกว่าหลับ ฉันหลับตอนคุณมาแล้วต่างหาก ที่ผ่านมาฉันแกล้งหลับทั้งนั้นแหละ’ หญิงสาวเถียงเขาอยู่ในใจ
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณยุ” เห็นเขาเงียบนานเกินไป หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน
“ผมต้องบินพรุ่งนี้เช้าครับคุณนันท์ ระหว่างหนึ่งเดือนนี้คุณนันท์อาจต้องอยู่ที่บ้านหลังนี้คนเดียวนะครับ หรือว่าถ้าคุณกลัวจะให้ป้าน้อยมานอนเป็นเพื่อนก็ได้นะครับ ผมจะบอกแกให้” ณธายุยังจำคืนที่ภรรยาของตัวเองละเมอเรื่องหนังผีได้ดี เขานึกห่วงอยู่เหมือนกัน ว่าธารินันท์จะสามารถอยู่บ้านหลังนี้ ตอนกลางคืนคนเดียวได้ไหม
“บินพรุ่งนี้เหรอคะ” เหมือนหญิงสาวจะไม่ได้สนใจคำพูดประโยคหลัง ๆ ของเขา แต่ติดใจอยู่กับประโยคแรกมากกว่า
“ใช่ครับ”
“ไปหนึ่งเดือนเหรอคะ” ถามย้ำเหมือนไม่อยากเชื่อ
“เอ่อ ครับ คุณนันท์อยู่ได้ไหมครับ”
ธารินันท์ไม่ได้ตอบเขาในทันที หญิงสาวหันหลังให้เขา แล้วปีนขึ้นเตียงนอนไป ท่าทางเหมือนคนโกรธกันแบบนี้ ทำให้ณธายุนึกลำบากใจ เขารีบปิดกระเป๋าเสื้อผ้าลง แล้วขึ้นเตียงนอนตามหญิงสาวไป
“อย่าโกรธผมสิครับคุณนันท์ ผมไปทำงานนะครับ ไม่เชื่อลองถามพี่ชายคุณดูก็ได้ โครงการที่ใต้น่ะครับ ผมต้องเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด พอทุกอย่างเข้าที่ก็กลับมาทำงานที่นี่ตามปกติ” ณธายุพยายามอธิบาย ไม่ให้อีกคนรู้สึกโกรธมากไปกว่านี้
“ฉันไม่ได้โกรธค่ะ” น้ำเสียงแข็งกระด้างตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูดออกมา
“ไม่โกรธก็หันมาคุยกันก่อนสิครับ” คนพูดแตะหัวไหล่ภรรยาเบา ๆ อึดใจหนึ่งคนที่นอนหันหลังให้ก็ค่อย ๆ ขยับตัวแล้วหันหน้ามามองเขา ต่างฝ่ายต่างนอนตะแคงมองหน้ากัน
“ฉันไม่มีสิทธิ์ไปโกรธคุณหรอกค่ะ ก็ความสัมพันธ์ของเรามันเป็นแบบนี้อยู่แล้วนี่คะ แบบต่างคนต่างอยู่” ธารินันท์พูดเหมือนคนปลงตก
“เอ่อผม”
“ฉันก็แค่ตั้งตัวไม่ติดค่ะ ที่จะต้องนอนคนเดียวบนเตียงนี้ตั้งหนึ่งเดือน”
“แค่เดือนเดียวเองนะครับ”
“สำหรับคุณมันคงแค่เดือนเดียว แต่กับฉันมันตั้งหนึ่งเดือนเลยนะคะ คุณน่าจะบอกให้ฉันรู้ตัวล่วงหน้า ไม่ใช่บอกปุ๊บก็บินปั๊บแบบนี้”
“ผมจะคอลมาหาทุกวันดีไหมครับ”
“ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้นสักหน่อย”
“นะครับ เดี๋ยวผมจะคอลมาหาทุกวัน” เขาบอกแล้วยิ้มตาเป็นประกาย
“นี่คุณคงไม่ได้” ‘พาอีหนูคนไหนไปอยู่ด้วยใช่ไหมคะ’
“ไม่ได้อะไรครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ คุณเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วเหรอคะ” หญิงสาวเสมองไปที่กระเป๋าเดินทางของเขา
“ครับเสร็จแล้ว”
“งั้นก็ปิดไฟนอนเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวคุณจะตื่นไม่ทันเครื่องพรุ่งนี้เช้านะคะ” หญิงสาวพูดแล้วก็หันไปปิดไฟในห้อง
ทั้งคู่ต่างนอนหงายหน้ามองเพดาน ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน แต่ไม่กล้าที่จะหันหน้าไปมองกันในความมืด ขืนนอนแบบนี้ธารินันท์คิดว่าคงหลับยากแน่ ๆ หญิงสาวเลยพลิกตัวหันหลังให้เขาแทน ผ่านไปอึดใจใหญ่สามีของเธอก็เอ่ยขึ้น
“คุณนันท์ครับ”
“คะ”
“คืนนี้ผมขอนอนกอดคุณได้ไหมครับ”
“อะไรนะคะ” ถามกลับเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง มือกำผ้าห่มเอาไว้ด้วยความตื่นเต้น
“ผมหมายถึงนอนกอดเฉย ๆ น่ะครับ จะไม่ได้เจอกันอีกตั้งเป็นเดือน ขอกอดส่งท้ายหน่อยนะครับ”
“คุณจะบ้าเหรอคะคุณยุ มานอนกอดกันส่งท้ายอะไรเนี่ย” ธารินันท์หันไปทำตาเขียวใส่เขาในความมืด อดคิดไม่ได้ว่านี่ใช่เขาตัวจริงไหม เธอควรเปิดไฟดูหน้าเขาก่อนหรือเปล่านะ
“ไม่ได้เหรอครับ ผมเป็นสามีคุณนะ”