ตอนที่ 9

1419 คำ
“...” เซกิจิโร่หัวเราะแผ่วพลิ้วในลำคอ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นที่รับรู้ถึงความร่ำรวยและมีอำนาจของเขา คงจะต้องรีบวิ่งเข้าใส่ แต่ราชาวดีไม่ใช่ เธอเลือกที่จะหลีกหนี แต่หารู้ไม่ว่านั่นยิ่งเป็นการยั่วยุให้เขาตามติดและกักขังเอาไว้ด้วยเพลิงเสน่หาอันเร่าร้อนที่จะเผาผลาญสองร่างให้มอดไหม้เป็นผงธุลี “ฤทธิ์มากจังเลยนะเธอนี่ ว่าแต่จะรีบไปไหนละ เรามีนัดกันไม่ใช่หรือไง” เซกิจิโร่กอดกระชับร่างบางแนบชิด ริมฝีปากหนาทาบลงไปบนลาดไหล่กว้างที่อยู่เหนือตัวผ้านุ่ม ขบกัดขยับเคลื่อนทีละน้อยไปตามลำคอระหงจนถึงใบหูเล็ก เรียวลิ้นนุ่มสอดเข้าไปในช่องหูจนกายอรชรสั่นไหวยะเยือกเหมือนกับอยู่ท่ามกลางลมพายุแรง “ไม่! ฉันไม่ได้นัดกับคุณเลยสักนิด ปล่อยฉันนะ ฉันจะกลับบ้าน” ราชาวดีพูดเสียงสั่น ขนตามเรือนกายลุกชันกับสัมผัสที่อีกฝ่ายจงใจมอบให้ เธอรู้สึกว่าหัวใจไหววูบและเต้นแรงอย่างน่ากลัว จะขยับกายก็ไม่กล้าเพราะกลัวการบดเบียดเสียดสีของสองร่างที่นำพาอารมณ์แปลก ๆ วาบหวามที่ไม่ควรมีมาสู่กาย “แน่ใจหรือที่ว่าไม่ได้นัดกับฉัน แล้วเมื่อกี้ที่เราตกลงกันอยู่ในห้องอาหารละ แล้วเราก็...” ชายหนุ่มจับรั้งร่างเล็กให้หันมาประจันหน้าด้วย มือใหญ่ยกขึ้นจับปลายคางมนบังคับให้ศีรษะทุยแหงนหงายขึ้นเพื่อที่จะได้คุยกันโดยที่เขาไม่ต้องก้มหน้าลงไปหา ปลายนิ้วยาวร้อนลากไล้จากปลายคางขึ้นไปจนถึงกลีบปากนุ่มอุ่น “หยุดพูดนะไอ้คนเลว ไอ้คนหน้าไม่อาย รังแกผู้หญิง” ราชาวดีพยายามเบือนหนี เธออยากจะปัดมือที่จับตรึงปลายคางอยู่ให้ห่างไป ไหนจะปลายนิ้วยาวที่ลากไล้เคลื่อนไหวตามอำเภอใจอยู่บนใบหน้าทำให้กายอรชรสั่นสะท้านไหว ทำตัวไม่ถูก “อ้าว...ก็ผู้หญิงอย่างเธอที่น่าถูกรังแกนี่น่า หวานจนฉันอยากที่จะ...” เซกิจิโร่รู้สึกมันเขี้ยวอีกฝ่ายจนต้องกดปลายจมูกโด่งเป็นสันลงบนพวงแก้มนุ่มที่แดงปลั่งเหมือนเชอรี่ ยิ่งทำให้เขาทวีความอยากได้ใคร่สำรวจความหวานจนแทบระงับอารมณ์เอาไว้ไม่ได้แล้ว แปลกแต่เป็นเรื่องจริงที่เขาต้องการราชาวดีมากจนถึงกับยอมถูกหญิงสาวด่าว่าเป็นคนเลว...แต่ยังไงเขาก็เป็นอยู่แล้วนี่น่า ถูกด่าว่ารังแกผู้หญิงอีกหน่อยจะเป็นไรไป ไหล่กว้างเลิกขึ้นสูง ปกติแล้วผู้หญิงสำหรับเขาคือเครื่องระบายความใคร่และความเครียดที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่เมื่อได้พบกับราชาวดีความรู้สึกนั้นก็ได้เริ่มเปลี่ยนไป อย่างที่เขาเองก็ไม่อยากจะรู้ด้วยว่ามันเพราะเหตุใดกันแน่ รู้เพียงอย่างเดียวว่าจะเก็บหญิงสาวเอาไว้บนเตียงก่อนจะเบื่อ แล้วเมื่อนั้นก็ค่อยคิดอีกทีว่าจะเอายังไงกับเธอดี “ปล่อยฉันนะไอ้คนเลว ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องเรียกให้คนช่วย” เพราะเห็นว่าตอนนี้มีผู้คนเดินสัญจรไปมาอย่างขวักไขว่ ถ้าหากว่าใจกล้าสักหน่อย ร้องเรียกให้คนช่วย คงจะทำให้เธอมีเวลาพอที่หนีอีกฝ่ายไปได้ “ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู” ชายหนุ่มเอ่ยท้า เพราะรอโอกาสอยู่แล้ว เพียงแค่อีกฝ่ายเปิดปากเท่านั้นใบหน้าคมก็ฉกปากลงไปจุมพิตบนเรียวปากอิ่มในทันที เขาสอดแทรกปลายลิ้นสากระคายล่วงล้ำเข้าไปควานหาความหวานหอมจากโพรงปากอุ่นนุ่มอย่างรวดเร็ว “อือ...อื้อ...” ดวงตาราชาวดีเบิกกว้าง เมื่อเสียงที่จะร้องเรียกขอความช่วยเหลือกลับกลายเป็นยั่วยุให้อีกฝ่ายรังแกโดยไว มือเล็กกำหมัดแน่น กายสั่นสะท้านไหวกับเปลวเพลิงที่มันลามเลียไปทั่วกาย เรียวลิ้นเล็กที่พลิกพลิ้วขยับหนีสลับกับดุดดันขับไล่ลิ้นใหญ่ แต่ดูเหมือนจะเป็นการยั่วยุให้อีกฝ่ายทำตามใจปรารถนามากยิ่งขึ้น จนเธอรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังโดนสูบเอาวิญญาณออกจากกาย เซกิจิโร่บดเบียดจุมพิต พลางซอกซอนปลายลิ้นตวัดไล้เกี่ยวพัวพันกับลิ้นเล็กนุ่ม แขนแข็งแกร่งกอดกระชับร่างเล็กจนแนบชิดทั่วสรรพางค์ ฝ่ามือไล้ไปบนผิวเนื้อนวลเนียน กายเล็กที่เห็นว่าอรชนอ้อนแอ้น แต่เมื่อได้สัมผัสจริง ๆ กลับรับรู้ถึงความอิ่มเต็มกลมกลึงชวนให้อยากจับต้องคลึงเคล้น เลือดในกายหนุ่มร้อนฉ่าเหมือนอยู่ท่ามกลางกองเพลิง จนต้องรีบถอนจุมพิตอย่างเสียดาย เพราะกลัวระงับอารมณ์ตัวเองไม่ไหวปล้ำหญิงสาวเสียบนสนามหญ้าหน้าโรงแรมนี้เสียก่อน “ว่าไงช่อม่วง ยังจะร้องไห้คนอื่นช่วยอีกไหม” ชายหนุ่มถามเสียงกระเส่า ซุกไซ้ใบหน้าระหว่างลำคอระหง ขบกัดสอดแทรกปลายลิ้นสากระคายไปในช่องหูเล็ก ปลายนิ้วยาวขยับเคลื่อนไปบนผิวเนื้อนุ่มแผ่วเบา มาถึงตอนนี้ราชาวดีทำอะไรไม่ถูกแล้ว กายอรชรสั่นเทาเอนอิงร่างหนาแกร่ง ลมหายใจหอบแรงและเร็ว เธอเงยหน้าขึ้นมองสบดวงตาคมกริบกึ่งโกรธกึ่งเขินอาย แต่ถ้าจะถามว่าความรู้สึกไหนมากกว่ากัน บอกได้เลยว่าเป็นความรู้สึกหลังที่รุนแรงเหมือนกับค้อนที่ทุบลงท้ายทอย ปลายลิ้นเล็กยื่นออกมาไล้กลีบปากนุ่ม เธอมองสบกับดวงตาคมที่กำลังสะกดจิตให้ลุ่มหลงในรสชาติหวานละมุนอย่างที่หักห้ามเอาไว้ไม่ได้ แวบหนึ่งที่เธออยากรู้ ถ้าหากยื่นมือขึ้นไปแตะต้องใบหน้าคร้ามแกร่งซึ่งสะท้อนกับแสงไฟจนดูลึกลับจะเป็นยังไง เพียงแค่คิด ราชาวดีก็ยกมือยื่นขึ้นไปสัมผัสปลายคางสากระคาย เมื่อครู่ตอนที่มันบดคลึง เธอรู้สึกวูบวาบเหมือนกับถูกไฟช็อต แม้ตอนนี้ก็ไม่แตกต่างไปเลย แต่ยิ่งจะเป็นหนักกว่าเก่าเพราะคนตัวใหญ่ดูจะไม่ยอมปล่อยเนื้อออกจากปากเสือเลย ที่ราชาวดีแปลกใจตัวที่ไม่ได้นึกจะกลัวและรังเกียจกับสัมผัสที่ได้รับเลยแม้แต่น้อยนิด เธออยากรู้...อยากเห็นและอยากลอง นิ้วเล็กลากไล้ไปบนกลีบปากหนาหยักที่ทำให้เธอสั่นสะท้านไหวเหมือนได้เดินไปหยุดอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟ เซกิจิโร่ขบกับไล้เลียปลายนิ้วเล็กเรียว ขณะมองหญิงสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความต้องการอันเร่าร้อน “ฉันรอไม่ไหวแล้วช่อม่วง ไปห้องฉันกันเถอะสาวน้อย” เซกิจิโร่ย่อตัวลงอุ้มกายเล็กพาเดินไปด้านหน้าอย่างที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยใด ๆ เพราะดูเหมือนว่าราชาวดีเองก็จะยอมรับในสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นเช่นกัน ‘ค่ะ’ แม้อยากจะต่อต้าน แต่ราชาวดีค่อนข้างจะมั่นใจ เธอหนีผู้ชายคนนี้ไม่พ้นแน่ ถ้าไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ เขาไม่มีวันที่จะปล่อยเธอไปแน่นอน เลยยกแขนขึ้นไปโอบรอบลำคอแกร่ง ซบหน้ากับอกกว้างตรงส่วนที่หัวใจชายหนุ่มเต้นอยู่ ประตูลิฟต์ปิดลง เซกิจิโร่วางร่างเล็กลง จับปลายคางมนให้แหงนขึ้น แนบริมฝีปากหนาบนหน้าผากมนไล่ลงมายังดวงตา จมูกโด่งก่อนจะหยุดบนกลีบปากอวบอิ่ม ขบย้ำบนสลับล่าง ลูบไล้ไปทั่วกายกลมกลึง สอดแทรกฝ่ามือไปบนผิวเนียนนุ่มเหมือนกับใยไหม เซกิจิโร่รู้สึกว่าความใกล้ชิดที่มีไม่เพียงพอ มือใหญ่ขยำนวดสะโพกกลมกลึง เคลื่อนลงไปจับรั้งสองขาเรียวขึ้นโอบรัดรอบสะโพกสอบ กอดกระชับร่างเล็กกระชับแนบอก กดคลึงจูบเม้มจนกลีบปากบางนุ่มบวมแดงขึ้นทันตา แม้กระทั่งถึงชั้นที่ต้องการแล้ว ชายหนุ่มก็ยังพาราชาวดีออกจากลิฟต์โดยไม่ยอมถอนจุมพิต ถึงหน้าห้องพักก็เพียงแค่หยุดยืนให้ลูกน้องที่ยืนทำหน้าเข้มขรึมดุร้ายเป็นคนเปิดและประตูให้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม