“โอ๊ย!...ตายแล้ว...น้องต้นตาเขียวทั้ง 2ข้างเลยหรือคะ” ขวัญชนกร้องออกมาด้วยความตกใจ ไม่นึกว่าเด็กๆ จะทะเลาะกันรุนแรงขนาดนี้
“ครับ ทั้ง 2 ข้างเลยครับ”
ขวัญชนกทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ พรุ่งนี้เธอต้องโดนผู้ปกครองน้องต้นมาเล่นงานที่โรงเรียนแน่เลย
“ครูหลินไม่รู้เลยนะคะ ครูนึกว่ามีเรื่องเถียงกันนิดหน่อย ไม่นึกเลยว่าจะมีแผลทุกคน”
“แล้วคุณทำอะไรอยู่ ตอนที่นักเรียนทะเลาะกัน คุณไม่ได้อยู่ดูแลเด็กๆ หรือไง ไหนว่ารักเด็กแล้วทำไมไม่อยู่ดูแลเด็กๆ” ผู้กองหนุ่มตำหนิคูรหลินเป็นชุด
“ฉันยอมรับผิดเรื่องที่ไม่ได้อยู่ดูแลเด็กๆ ช่วงนี้ใกล้จะสิ้นเดือนแล้วฉันต้องทำบัญชีของโรงเรียน ทำรายงานผลการเรียนการสอนจึงไม่ได้ออกมาดูเด็กๆ ด้วยตนเอง แต่ปกติเราก็มีครูประจำชั้นที่คอยดูแลเด็กๆ อยู่ เราไม่ได้ปล่อยให้เด็กๆ เล่นตามลำพัง แต่วันนี้มันเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ”
ขวัญชนกพยายามอธิบายให้ผู้กองฟัง ดวงตากลมโตสีดำสนิทฉายแววเสียใจออกมานิดหนึ่ง เธอรู้สึกเหนื่อยเหมือนจะเป็นลม เพราะตั้งแต่เที่ยงยังไม่มีข้าวตกถึงท้องสักเม็ด
ผู้กองพันเห็นแววเสียใจฉายออกมาจากดวงตากลมโตก็รู้สึกผิดนิดหนึ่งที่ต่อว่าครูสาวรุนแรง แต่ความเป็นห่วงลูกชายก็ยังมีเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ผู้กองหนุ่มรู้สึกสงสารครูสาวได้นิดเดียวก็เริ่มโวยวายต่อ
“คุณต้องพาน้องอาร์ตไปหาหมอ ให้เขาตรวจรอบๆ ดวงตา ไม่รู้ว่าตาจะบอดหรือเปล่า” ผู้กองแกล้งทำเสียงเศร้า
“เว่อร์ไปหรือเปล่าคะคุณ...แค่นี้ไม่ทำให้ตาบอดหรอก” ขวัญชนกรู้สึกหมั่นไส้นายตำรวจหนุ่มเหลือกำลัง
“จะไปรู้หรือครับ คุณดูหลักฐานสิครับ ตาน้องอาร์ตเขียวไปหมด แบบนี้ไม่ให้ผมกลัวได้ยังไง”
ขวัญชนกถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความอ่อนใจ “เอาเถอะค่ะ ฉันจะชดใช้ค่าเสียหายให้ทั้งหมด พอใจหรือยังคะ”
“ก็พอใจในระดับหนึ่ง” ผู้กองหนุ่มยิ้มกวนๆ
“เฮ้อ!...ไม่รู้วันนี้เป็นอะไร ซวยจริงๆ เลย” ขวัญชนกบ่นออกมาดังๆ ตั้งใจให้คนข้างๆ ได้ยิน ผู้กองหนุ่มได้ยินแล้วกลับยิ้มกว้างไม่ทุกข์ร้อนที่ถูกครูสาวประชดกลายๆ
ผู้กองหนุ่มกับครูสาวสงบศึกชั่วคราวเมื่อขับรถมาถึงบ้านของคุณโดมินิทพ่อของบลู ขวัญชนกแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นน้องบลูปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายใดๆ หญิงสาวมองภาพที่พ่อแม่ลูกกำลังกอดกันแล้วก็อมยิ้มกับความน่ารักของครอบครัวน้องบลู ครูสาวหันไปมองผู้กองหนุ่มเผลอยิ้มสดใสให้ผู้กอง ลืมข้อบาดหมางเมื่อสักครู่ไปหมด
“หลินดีใจจังเลยที่น้องบลูปลอดภัยไม่ได้รับอันตราย ถ้าน้องบลูเป็นอะไรไป หลินคงรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต”
ขวัญชนกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นอย่างลืมตัว
“แทนตัวเองว่าหลินแบบนี้น่ารักดีน่ะครับ” ผู้กองหนุ่มยิ้มกว้างรู้สึกถูกใจครูสาวเป็นอย่างมาก
“คะ! อะไรนะคะ คุณพูดว่ายังไงนะคะ หลินไม่ทันได้ฟัง” ครูสาวหันมาถามเพราะมัวแต่มองครอบครัวของน้องบลูเลยไม่ทันได้ฟังว่าผู้กองพูดว่ายังไง
“ผมบอกว่าคุณพูดแทนตัวเองว่า หลิน...ดูน่ารักดี คราวนี้ชัดหรือยังครับ” ผู้กองย้ำด้วยน้ำเสียงติดกลั้วหัวเราะ ใบหน้าคมเข้ม หล่อเหลายิ้มกว้างเห็นฟันขาวสะอาด ขวัญชนกหุบยิ้มทันทีทำหน้าเด๋อเมื่อได้ยินคำตอบจากผู้กองพัน
คุณโดมินิทพ่อน้องบลู อุ้มน้องบลูด้วยมือข้างหนึ่งมืออีกข้างก็กุมมือภรรยาไว้เดินเข้ามาหาผู้กองพันกับขวัญชนก
“เชิญผู้กองกับคุณครูเข้าไปในบ้านก่อนนะครับ”
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ตอนนี้หาน้องบลูเจอแล้วหลินก็ค่อยโล่งอกหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่
หลินบกพร่องดูแลน้องบลูไม่ดี ทำให้แกเกือบได้รับอันตราย หลินยินดีรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดค่ะ”
ขวัญชนกยกมือขึ้นไหว้ขอโทษปรีชยาพรและโดมินิท
“ไม่เป็นไหร่ค่ะ หมูเองก็ต้องขอบคุณครูหลินที่ช่วยตามหาน้องบลู ครูหลินกับคุณพันเข้าไปในบ้านก่อนนะคะ”
ปรีชยาพรจับมือครูสาวไว้และเอ่ยชวนให้เข้าไปในบ้านอีกครั้ง
“คงต้องขอตัวก่อนดีกว่าค่ะ หลินจะพาน้องอาร์ตไปหาหมอ เมื่อสักครู่ตอนที่ขับรถมาพ่อเขาโวยวายใหญ่ตัวเรื่องที่หลินไม่ยอมพาน้องอาร์ตไปหาหมอตรวจอาการรอบๆ ดวงตา”
ขวัญชนกยิ้มให้ปรีชยาพร แต่หันไปทำหน้าบึ้งมองค้อนผู้กองหนุ่มด้วยความโมโหเมื่อนึกถึงเรื่องที่งัดข้อกันระหว่างที่ขับรถมาบ้านน้องบลู
“ผมก็คงต้องขอตัวเหมือนกันครับ อยากพาน้องอาร์ตไปหาหมอก่อนครับ ถ้าอาการหนักจะได้เรียกค่าเสียหายค่าทำขวัญให้หนัก เป็นคุณครูไฮโซแบบนี้คงไม่ลำบากเรื่องค่าทำขวัญใช่มั้ยครับ”
ผู้กองหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ ตอนที่พูดกับปรีชยาพรก่อนจะหันหน้าไปถามเลิกคิ้วใส่ครูสาวที่ยังทำหน้าบึ้งใส่เขาอยู่
“ขอบคุณผู้กองกับคุณครูมากนะครับที่ช่วยตามหาน้องบลู วันหลังผมจะเข้าไปขอบคุณผู้กองกับลูกน้องที่สน.อีกครั้งนะครับ” โดมินิทยิ้มขอบคุณยื่นมือไปสัมผัสกับผู้กองหนุ่ม
“ไม่เป็นไรครับมันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ แค่เราตามหาน้องบลูเจอและน้องบลูปลอดภัยผมก็โล่งอกแล้วครับ” ผู้กองพันยิ้มให้โดมินิทกับปรีชยาพร “น้องอาร์ตลาน้าหมูกับคุณอาโดมินิทก่อนนะลูก เดี๋ยวพ่อจะพาไปหาหมอ”
“สวัสดีครับคุณอาโดมินิท น้าหมู” น้องอาร์ตยกมือไหว้โดมินิทและปรีชยาพร
“น้องบลู! พี่ต้นตาเขียวเหมือนเราทั้งสองข้างเลย” น้องอารต์เดินไปกระซิบเบาๆ กับน้องบลู
“สมน้ำหน้าพี่ต้นชอบแกล้งพวกเราดีนัก” น้องบลูยิ้มร่า
“อาร์ตกลับก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน”
“บ๊าย บาย” น้องบลูโบกมือบ๊ายบายให้น้องอาร์ตที่เดินไปขึ้นรถพร้อมกับคุณพ่อและครูหลิน
เมื่อออกมาจากบ้านของน้องบลูแล้วขวัญชนกพาน้องอาร์ตมายังโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในกรุงเทพฯ หญิงสาวทำบัตรประจำตัวให้น้องอาร์ตเสร็จแล้วก็นั่งรอน้องอาร์ตหน้าห้องตรวจ เธอไม่ได้เข้า
ไปในห้องตรวจด้วย เพราะคิดว่าหน้าที่เหล่านั้นควรจะเป็นของผู้กองจอมยียวน แต่ถ้าหากเธอเข้าไปในห้องตรวจด้วยเธอก็จะรู้ว่าอาการของน้องอาร์ตไม่ได้เป็นอะไรมาก กินยาแก้อักเสบแค่วันสองวันก็หาย แต่ผู้กองหนุ่มตัวแสบกลับบอกให้หมอจักษุแพทย์ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันเขียนอาการให้ดูหนักหน่อยและต้องมาตรวจเช็คอาการทุกวัน
นายแพทย์ศิรากร จักษุแพทย์มือหนึ่งประจำโรงพยาบาลทำสีหน้าแปลกใจที่อยู่ๆ เพื่อนรักก็มาหาถึงโรงพยาบาล เพราะปกติแล้ว ร.ต.อ.พันธวุธ ไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตัวเองเนื่องจากมีงานราชการค่อนข้างมาก
“สวัสดีไอ้เกลอ เป็นไงมาไงถึงได้แวะมาหากันได้” นพ.ศิรากรยิ้มกว้างจับมือทักทายกับผู้กองหนุ่มเพื่อนรัก
“พาน้องอาร์ตมาให้แกรักษา” ผู้กองพันยิ้มจับมือทักทายกับเพื่อนแล้วดึงตัวน้องอาร์ตให้มายืนอยู่ใกล้ๆ กับนายแพทย์หนุ่ม
“สวัสดีครับคุณอาหมอ” น้องอาร์ตยกมือไหว้คุณหมอโดยไม่ต้องรอให้คุณพ่อบอก