เสียงเครื่องยนต์ดับลงทว่าสายตาของประธานหนุ่มก็ยังไม่เลิกเหม่อ เพลิงกัลป์ถือวิสาสะจับต้นแขนของเพียงพายเพื่อเรียกสติ ก่อนจะมุ่นคิ้วเข้าหากันเมื่อเห็นว่าแววตาของเพียงพายหม่นลง
เพียงพายลอบถอนหายใจ ก่อนสะบัดแขนออกแล้วเปิดประตูลงทางฝั่งของตัวเอง
เจ้าของดวงตาคู่คมเดินตามเข้ามาในบ้าน มองท่านประธานที่ถอดเสื้อเบลเซอร์ออกมาพาดไว้บนแขน พลางเอี่ยวลำคอหันมองเขาที่ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแล้วระบายยิ้มเจื่อน เดาไม่ออกเลยว่าตอนนี้เพียงพายมาในโหมดอารมณ์ไหน
“วันนี้ไม่ออกไปข้างนอกหรือไง” เพียงพายถามเสียงค่อย สีหน้าดูเหนื่อยอ่อนร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงไปหมด
“วันนี้เหรอครับ” เพลิงกัลป์ทวนซ้ำประโยคคำถาม
เพียงพายพยักหน้ารับ สายตาก็กวาดไปทั่วบริเวณบ้านที่เงียบสงบ
บ้านหรือเรือนหอที่แทบจะไม่ค่อยมีเสียงพูดคุยหรือเสียงหัวเราะ จนในบางครั้งก็เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นก็มี
“วันนี้ผมน่าจะ..” เพลิงกัลป์เว้นวรรคเพื่อสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย “วันนี้ผมน่าจะไม่ได้ออกไปไหน เมื่อกี้เพื่อนมันทักมาบอกว่าคืนนี้ห้องไม่ว่าง”
พอได้ยินประโยคนั้นเพียงพายก็พยักหน้ารับ เขาหันกลับมามองเพลิงกัลป์เต็มร่าง ถึงจะมีสีหน้าเรียบนิ่ง ทว่าในน้ำเสียงของเขาที่เอ่ยบอกกับคนอายุน้อยกว่าล้วนมีแต่ความหวังดี
“ดีแล้ว นายควรตั้งใจเรียนให้มากนะเพลิงกัลป์”
“บอกแล้วไงครับว่าไม่ได้หายไปทำเรื่องไม่ดี แล้วเกรดผมก็ไม่ได้แย่เลยนะ” เพลิงกัลป์กัดริมฝีปาก “ก็อาจจะไม่ได้แย่”
“ไม่รู้เหรอว่าโลกภายนอกมันโหดร้าย หัดนึกถึงอนาคตตัวเองไว้บ้าง”
“ผมนึกถึงตลอดเลยนะ แค่ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันเฉยๆ ครับ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำกำลังเล่าในมุมของเขาเอง เพียงพายมองเจ้าเด็กดื้อกำลังอธิบาย แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าหรืออาการอะไรออกมา
“ผมเองก็มีความฝันเหมือนกันนะครับ”
“แล้วนายฝันอยากเป็นอะไร”
“ทำไม พี่จะทำให้ฝันผมเป็นจริงเหรอ”
“ถ้านายไม่ได้ฝันเป็นดาวเป็นเดือน ฉันว่ามันก็พอมีวิธีที่จะทำให้ฝันเป็นจริงอยู่นะเพลิงกัลป์”
“ช่างเรื่องความฝันผมเถอะ มันก็แค่.. ไม่ได้สำคัญอะไร”
ดวงตาเรียวสวยหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนพยักหน้ารับคำแต่แอบสังเกตเห็นว่าน้ำเสียงเพลิงกัลป์ดูเศร้าลงตอนที่พูดถึง
เพียงพายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงจะอยากรู้ว่าอะไรทำให้เพลิงกัลป์ตัดพ้อออกมา แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะละลาบละล้วงในเรื่องส่วนตัวของเพลิงกัลป์ไปมากกว่านี้
“พี่พักผ่อนเถอะครับ มีอะไรก็เรียกผมได้เลยนะ”
เพียงพายลอบถอนหายใจไม่ได้ติดใจถามอะไรต่อ ทว่าตอนที่เขากำลังจะก้าวเข้าไปที่ห้องทำงาน เจ้าตัวก็ชะงักฝ่าเท้าก่อนจะหันหลังกลับมองไปยังเพลิงกัลป์แล้วพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทำให้ใจคนฟังถึงกับสั่นไหว
“อย่าดูถูกความฝันตัวเองขนาดนั้นเพลิงกัลป์”
สายตาคู่คมหยุดมองริมฝีปากสีระเรื่อที่กำลังขยับขึ้นลง
“คนอื่นจะพูดยังไงก็เรื่องของเขา แค่เราอย่าดูถูกตัวเองก็พอ”
แสงจากดวงไฟด้านนอกส่องเข้ามาในห้องพอให้เห็นแสงสลัว แต่เพลิงกัลป์ยังเอาแต่พลิกตัวไปมาบนเตียงนอนนานร่วมยี่สิบนาที พลันเรียวคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันเป็นปมกระสับกระส่ายจนร่างกายร้อนระอุ
สุดท้ายเขาก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความไม่สบอารมณ์ พ่นลมหายใจอุ่นร้อนดับความฟุ้งซ่านที่ถาโถมเข้ามาในความรู้สึก
เพลิงกัลป์เป็นบุคคลที่ไม่สามารถนอนคนเดียวได้ บ่อยครั้งที่ต้องการเพื่อนหรือใครสักคนมานอนด้วย เพราะพื้นที่กว้างบนเตียงมันทำให้เขารู้สึกอ้างว้าง ราวกับว่าผู้คนทั้งโลกกำลังหันหลังให้เขาอยู่ เพราะงั้นเพลิงกัลป์ถึงเอาแต่นอนห้องเพื่อนแทนการอยู่บ้านที่แม้จะแต่งงานมีคู่ชีวิต แต่ทั้งสองก็ยังไม่เคยนอนร่วมเตียงกันเลยสักครั้ง
สองขาทิ้งตัวลงบนพื้น ใบหน้าคมคายคล้ายว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในแววตาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ตัดสินใจลงไปด้านล่างเพื่อไปสอดส่องดูว่าเพียงพายนอนหลับในห้องทำงานอีกแล้วหรือเปล่า
“ฮึก”
ทว่ายังไม่ทันจะตรงไปยังห้องทำงานของเพียง เพลิงกัลป์ก็ได้ยินเสียงสะอื้นดังเล็ดลอดออกมาจากห้องครัวซะก่อน เสียงน้ำหนักของเท้าที่หนักก็เริ่มย่องเบาแล้วตรงไปยังต้นตอของเสียงทันที
เรียวคิ้วของเพลิงกัลป์ขมวดเข้าหากันอัตโนมัติ เขามองเห็นแผ่นหลังของเพียงพายที่ยืนอยู่ สองแขนเท้าลงบนเคาน์เตอร์ครัวแล้วก้มหน้ากลั้นเสียงสะอื้นจนไหล่ของอีกฝ่ายสั่นเทา
แม้ว่าเพียงพายพยายามที่จะกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้ แต่ก็เหมือนว่าหัวใจจะปวดร้าวเกินทนไหวจนมีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาให้อีกคนได้ยิน
กำปั้นของเพียงพายทุบลงที่อกข้างซ้าย ที่คล้ายว่ามันกำลังบีบรัดให้เขาต้องเจ็บปวด ก่อนสายตาเพลิงกัลป์จะเลื่อนขึ้นมองขวดไวน์พร้อมแก้วที่ถูกเทเอาไว้ด้วยสายตาที่วูบไหวไปมา
เจ้าของดวงตาคู่คมชะงักเล็กน้อยตอนที่จะเรียกให้อีกคนรู้ตัว ช่างใจอยู่ครู่หนึ่งว่าควรแสดงตัวหรือไม่ ทว่าอีกใจก็อยากจะปลอบเพียงพายให้รู้สึกดีเช่นกัน
ต่อให้ในสายตาของเพียงพายจะดูไม่ค่อยชอบเขาก็ตาม แต่เขาก็ไม่สามารถมองข้ามเรื่องนี้แล้วทำเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นได้
“พี่พาย” เพลิงกัลป์ตัดสินใจเรียกชื่อของคนตรงหน้าออกไป
สิ้นเสียงเขาคนที่ถูกเรียกขานก็ยกมือทั้งสองข้างปัดป้ายบนแก้มขาวอย่างลวกๆ ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วทำท่าจะเดินหนีแต่ถูกเพลิงกัลป์ยกแขนขึ้นกั้นเอาไว้ก่อน
“พี่ร้องไห้..”
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ายุ่งเรื่องของฉันเพลิงกัลป์”
“แล้วจะให้ผมทำเป็นเหมือนว่ามองไม่เห็นเหรอครับ จะให้ผมทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งๆ ที่เพิ่งเห็นว่าพี่ร้องไห้เนี่ยนะ” เพลิงกัลป์ขึ้นเสียงเล็กน้อย ก่อนจะพ่นลมหายใจผ่านริมฝีปากกับความดื้อดึงของเพียงพาย
แสงไฟจากห้องครัวมันทำให้เพลิงกัลป์ได้เห็นว่าใบหน้าขาวขึ้นสีระเรื่อ ปลายจมูกแดงฉานลามไปยันใบหู ใต้ตาแดงก่ำเริ่มบวมเล็กน้อยผลมาจากการร้องไห้หนัก
เพียงพายปกปิดอะไรไม่ได้เลย เพราะคำตอบทุกอย่างมันแสดงผ่านสายตาของเขาไปหมดแล้ว
“หลบไป” เพียงพายเอ่ยเสียงสั่น สะกดกลั้นอารมณ์อ่อนไหวไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็น
“ไม่ ผมไม่หลบ” เพลิงกัลป์ขยับตัวกั้นไม่ให้อีกฝ่ายเดินหนี
“เพลิงกัลป์” เจ้าของใบหน้าสีแดงระเรื่อกดเสียงต่ำ
ดวงตาคู่สวยที่บวมช้ำสบเข้ากับนัยน์ตาคู่คม เพลิงกัลป์ชะงักงันไปชั่วขณะ เขาดูตกใจไม่น้อยที่ได้เห็นคนที่ดูเฉยชากับสิ่งรอบข้างจะร้องไห้ได้น่าสงสารจับใจขนาดนี้
ใบหน้าขาวราวกับไข่ปลอกขึ้นสีแดงระเรื่อ ยิ่งตอนเบะริมฝีปากคล้ายว่ากลั้นเสียงสะอื้น ภาพของเพียงพายในสายตาของเพลิงกัลป์ก็ยิ่งน่าเอ็นดูเข้าไปใหญ่
“เพราะเขาเหรอพี่ถึงเป็นแบบนี้”
“.....”
“เพราะผู้ชายคนนั้นใช่มั้ย”
นัยน์ตาคู่คมไม่มีความล้อเล่น เวลานี้เพลิงกัลป์กำลังจริงจังเพราะความเป็นห่วงอีกฝ่าย เขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสีหม่นของเพียงพาย ก่อนจะถือวิสาสะเช็ดน้ำตาบนแก้มขาวอย่างทะนุถนอม
เพียงพายเบี่ยงหน้าหลบเล็กน้อย เขาไม่ได้อยากให้เพลิงกัลป์ได้เห็นน้ำตา ทว่าก็ไม่รู้จะปิดซ่อนมันในเวลานี้อย่างไรดี
“นายจะไปรู้อะไร เด็กอย่างนายจะไปรู้อะไรเพลิงกัลป์”
“รู้ว่าพี่กับเขาเคยคบกันล่ะมั้ง”
เพียงพายชะงักงันไปชั่วขณะ ก่อนจะหันกลับมาวางสายตาที่เพลิงกัลป์อีกครั้ง ไม่คิดมาก่อนว่าเพลิงกัลป์จะรู้เรื่องนี้
“ผมบังเอิญเห็นรูปของพี่กับเขาในหนังสือบนห้อง แต่ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ แค่เผลอหยิบมันออกมา”
“นายจะรู้มากเกินไปแล้วนะ รู้ตัวมั้ย”
“ตอนแรกผมก็ไม่มั่นใจว่าพี่กับเขาเป็นอะไรกันเพราะเห็นแค่รูปภาพ จนได้เห็นสายตาที่พี่มองเขา ผมถึงได้รู้ว่าทุกอย่างมันคืออะไร”
ภาพถ่ายเป็นหลักฐานที่ทำให้เพลิงกัลป์มั่นใจว่าระหว่างเพียงพายและเตชินท์ต้องมีอะไรกันมาก่อน ยิ่งได้เห็นสายตาของเพียงพายที่มองเพื่อนที่เคยสนิท เพลิงกัลป์ก็ยิ่งมั่นใจว่าทั้งคู่คงจะเคยผ่านอะไรมาด้วย
แค่ไม่ได้ไปต่อด้วยกันเท่านั้นเอง
เพียงพายผ่อนปรนลมหายใจหนัก หน่วยน้ำตาเอ่อคลอจนต้องกลอกตามองเพดานด้านบน
“ถ้าไม่ไหว.. ถ้ามันเจ็บขนาดนั้นก็ร้องออกมาเถอะครับ”
“.....”
“ผมอยู่เป็นเพื่อนพี่ได้นะ ถ้าพี่ต้องการ”
“.....”
“อยู่กับผมไม่ต้องทำเป็นเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้นะครับ พี่ไม่ใช่หุ่นยนต์นะ พี่ทนเก็บความรู้สึกแย่ๆ เอาไว้คนเดียวไม่ไหวหรอก” เพลิงกัลป์เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก แววตาดูอ่อนโยนกำลังปลอบประโลม จนทำให้ใจคนที่กำลังอ่อนแอสั่นไหวอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไม่ใช่ว่าเพียงพายเงียบเพราะไม่อยากโต้ตอบ แต่มันเป็นเพราะเขากลัวว่าตัวเองจะปล่อยโฮออกไปต่างหาก
ไม่ควรมีใครมาเห็นเขาในมุมนี้.. ไม่ควรเลย
คมเขี้ยวขบลงบนริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นไห้ ทว่าสายตาอ่อนโยนของเพลิงกัลป์ที่มองมา มันทำให้หมอกหนาในใจเบาบางลง
“ให้ผมดูแลพี่นะครับ”
สิ้นประโยคนั้นกำแพงภายในใจก็พังทลายลงไม่เป็นท่า บุคคลที่แสร้งว่าอยู่ตัวคนเดียวได้สบายกำลังก้มหน้าพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย
เพลิงกัลป์ที่สูงกว่าเพียงพายก้าวเท้าไปหยุดอยู่ตรงหน้า ก่อนจะดึงเพียงพายเข้ามากอดเอาไว้แนบอก เรียวแขนโอบรัดให้คนที่กำลังร้องไห้จนตัวสั่นเทารู้สึกดีขึ้น
นัยน์ตาคู่คมหม่นลงที่ได้เห็นว่าเพียงพายร้องไห้จนตัวสั่นโยน เสียงร้องไห้ของอีกฝ่ายบาดลึกเข้ามาในความรู้สึก มันเหมือนจะขาดใจซะให้ได้
“ไม่เป็นไรนะครับ.. ไม่เป็นไรนะ”
ฝ่ามือหนาลูบลงบนแผ่นหลังของเพียงพาย แม้ว่าจะไม่เคยเผยมุมอ่อนแอให้เพลิงกัลป์เห็น แต่ก็ใช่ว่าเพลิงกัลป์จะดูไม่ออกว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายต้องแบกรับอะไรไว้บ้าง
สำหรับเพลิงกัลป์แล้วเพียงพายเป็นผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งที่เก่งมาก เป็นทั้งประธานบริษัทและคณะกรรมการให้บริษัทชื่อดังอีกหลายแห่ง
ทว่าต่อให้เก่งแค่ไหนก็ยังมีมุมอ่อนแอ ต่อให้ร้องไห้ยากแค่ไหน สักวันหนึ่งก็ต้องมีน้ำตาไหลออกมาบ้าง
เพียงพายเองก็ไม่ต่างกัน ต่อให้ภายนอกจะแข็งแกร่งหรือแข็งก้าวแค่ไหน แต่ภายในของเขาก็มีมุมที่ต้องการคนเอาใจใส่เหมือนกัน
เขาก็อยากมีรักที่ดีไม่ต่างจากคนอื่นหรอก
เช้าในวันที่เพลิงกัลป์อารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขานั่งทานข้าวเช้าในชุดนอนของเมื่อคืนดูไม่ได้รีบร้อนเท่าไหร่แม้จะมีเรียนช่วงเช้าก็ตาม
เพลิงกัลป์เป็นนักศึกษาสถาปัตยกรรมสาขาออกแบบภายในปีสาม เป็นความชอบส่วนตัวที่แม้พ่อตนเองจะไม่ค่อยเห็นด้วยเพราะอยากให้เรียนคณะอื่นมากกว่าก็ตาม แต่เขามีความฝันเป็นของตัวเองแล้ว คือการเปิดสตูดิโอถ่ายภาพส่วนตัวที่เขาต้องเป็นคนออกแบบเองทั้งหมด และต้องมาจากน้ำพักน้ำแรงของเขาเอง ไม่ใช่ในนามของเพลิงกัลป์ที่มีการหนุนหลังจากราชาฉัตรบดินทร์
เขารักอิสระเหมือนนกบนฟ้าที่อยากจะบินเดี่ยวไปได้ทุกที่ เพราะงั้นการแต่งงานสำหรับเพลิงกัลป์มันเป็นเหมือนใบเบิกทางให้เขาทำอะไรในมุมของตัวเองได้เต็มที่ อย่างน้อยก็ไม่มีสายตาใครคอยจับผิด ถึงจะไม่เก่งเท่าลูกชายคนอื่น แต่เขาก็ไม่เคยอยากจะเรียกร้องอะไรจากราชาฉัตรบดินทร์เลยแม้แต่อย่างเดียว
เขารักอิสระแล้วก็รักสนุกเพราะเพลิงกัลป์เองก็เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มธรรมดาเท่านั้นเอง
เพลิงกัลป์ขยับสายตามองไปเรื่อยเปื่อยก่อนหยุดวางไว้ที่ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเข้ม เพียงพายในชุดสูทเข้ารูปทำให้รูปร่างสมส่วนดูโดดเด่นขึ้นมาทันที
“พี่พาย อรุณสวัสดิ์ครับ” เขาเอ่ยทักทายในยามเช้า แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
เพียงพายแค่เปรยสายตามองเพลิงกัลป์แต่ไม่ได้พูดอะไร ทุกอย่างยังคงเหมือนปกติในทุกวัน แต่วันนี้กลับมีบางอย่างแปรเปลี่ยนไป
ใบหน้าหวานลิ้มปานน้ำผึ้งของเพียงพายมีปฏิกิริยาเล็กน้อยตอนที่ได้สบตากับเพลิงกัลป์ ใต้ตาของประธานหนุ่มยังมีรอยเจือจางจากการร้องไห้หลงเหลือให้ได้เห็น นั่นคือเหตุผลหลักที่ทำให้เขาไม่ค่อยกล้าสบตากับเพลิงกัลป์เท่าไหร่
คนอายุน้อยกว่าไล่สายตามองเพียงพายตั้งแต่เดินไปกดกาแฟ ยืนรออยู่ครู่หนึ่งจนเสร็จถึงหยิบแก้วกาแฟที่มีควันหอมฉุยขึ้นมา รวมถึงมองริมฝีปากสีระเรื่อที่แนบชิดกับแก้วกาแฟ ก่อนเขาจะเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
ทุกการเคลื่อนไหวของเพียงพายอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด ถึงคนที่ถูกจับตามองจะรู้ตัว แต่ก็แสร้งทำเหมือนว่ามองไม่เห็นอยู่ดี
“กินข้าวด้วยกันก่อนสิครับ พี่จะรีบไปทำงานแล้วเหรอ” เพลิงกัลป์ยิ้มกว้าง เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปยังเพียงพายที่ยืนดื่มกาแฟอยู่
“บอกแล้วไงว่าอย่าทำเหมือนเราสนิทกัน”
“แต่ว่าเมื่อคืนเรายัง..”
พอพูดถึงเรื่องเมื่อคืนเพลิงกัลป์ก็ยิ้มกว้างออกมาทันที ถึงจะพยายามหุบยิ้มแล้วแต่ก็กักเก็บความสุขที่เอ่อล้นเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี
เพราะเมื่อคืนนี้เป็นครั้งแรกที่เพียงพายยอมนอนร่วมเตียงกับเพลิงกัลป์ ถึงจะนอนหันหลังให้กัน แต่มันก็ทำให้เมื่อคืนของเพลิงกัลป์นั้นหลับฝันดีตลอดทั้งคืน
“ฉันไม่อยากให้นายพูดถึงเรื่องเมื่อคืนอีกเพลิงกัลป์”
ดวงตาเรียวสวยตวัดมอง ไม่ใช่ประโยคขอร้องจากปากของเพียงพาย แต่มันเป็นประโยคคำสั่งและกำชับเพลิงกัลป์ต่างหาก
“เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจแล้วครับ”
เพลิงกัลป์พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ทว่าก็ยังยืนขวางไม่ให้เพียงพายเดินหนี
เรื่องราวเมื่อคืนจบลงด้วยการที่ต่างคนต่างนอนหันหลังให้กัน ใช้เวลาอยู่นานกว่าที่ทั้งสองคนจะหลับ เพราะยังไม่ชินเวลาใกล้ชิดกันมากขนาดนี้
“แต่พี่จะไม่ทานข้าวก่อนเหรอ จะกินแค่กาแฟอีกแล้วหรือไง ป้านวลเตรียมข้าวเช้าให้พี่แล้วนะ ทานหน่อยสิครับ”
“ไม่ล่ะ”
เพียงพายผ่อนปรนลมหายใจเพลิงอย่างไม่สบอารมณ์ ยิ่งจำได้ว่าเมื่อคืนเขายืนกอดกับเพลิงกัลป์ หนำซ้ำยังร้องไห้ต่อหน้าแบบหมดเปลือก เขาก็แทบจะมุดดินหนีแล้วก็ไม่กล้าสบตาอีกต่างหาก
หมดกันภาพลักษณ์ประธานหนุ่มผู้เคร่งขรึม เหลือแค่เด็กน้อยเพียงพายในวัยยี่สิบเก้าปีที่ร้องไห้ขี้มูกโป่งเหมือนตอนสิบขวบไม่มีผิด
“แล้วฉันก็ขอเตือนนายเป็นครั้งสุดท้าย.. ว่าอย่าทำเหมือนว่าเราสนิทกัน ต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิม เข้าใจที่พูดใช่มั้ย”
“ผมก็อยากเข้าใจเหมือนกัน แต่..”
“แต่อะไร”
“แต่ผมเมินพี่ไม่ได้หรอก”
คำตอบจากเพลิงกัลป์ทำเพียงพายชะงักงันไปนานหลายวินาที ดวงตาคู่คมไม่มีความล้อเล่นในแววตา จนทำให้คนที่ได้สบตาถึงกับเกิดอาการประหม่าเล็กน้อย
“ต่อให้พี่เมินผมเก่งแค่ไหน ผมก็ไม่มีทางเมินพี่ได้อยู่ดี”
เพียงพายกระแอมไอในลำคอ ก่อนจะวางแก้วกาแฟลงแล้วเดินเบี่ยงตัวเองออกไป เหลือทิ้งไว้แค่เพลิงกัลป์กับรอยยิ้มบนมุมปาก
ต่อให้ทำตัวแข็งก้าวราวกับคนไม่มีความรู้สึก ทว่าวูบหนึ่งในแววตาของเพียงพายกลับอ่อนไหวยามได้สบสายตากับเจ้าเด็กที่ยิ้มเก่งนั่น
ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อจิตใจ หรือเป็นเพราะได้ร้องไห้กับใครสักคนแบบหมดเปลือกในรอบปีกันแน่
เพียงพายเดินตรงไปยังรถยนต์ส่วนตัว มือที่ยื่นจะจับที่จับประตูชะงักเล็กน้อยเมื่อภาพในหัวแวบนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
“ต่อให้พี่เมินผมเก่งแค่ไหน ผมก็ไม่มีทางเมินพี่ได้อยู่ดี”
“เด็กบ้านี่” เพียงพายสบถอยู่คนเดียว ทว่ากลับมีรอยยิ้มอย่างที่ไม่เคยยิ้มให้เพลิงกัลป์ผุดขึ้นบนมุมปาก ก่อนที่เขาจะขึ้นรถแล้วขับออกไปในที่สุด