เพียงพายลอบมองเพื่อนสนิทอย่างคิรินที่นั่งไขว่ห้างอ่านนิตยสารแฟชั่นบนโต๊ะด้วยสีหน้าราบเรียบ ก่อนที่คนถูกมองจะหันมองเพียงพายแล้วว่าเรื่องที่พูดคุยกันไม่จบก่อนหน้านี้
“ว่าแต่มึงคิดอะไรอยู่ถึงไปงานแต่งแฟนเก่าตัวเอง รำลึกความหลังเหรอวะพาย” คิรินเอ่ยถามเสียงเรียบ อาจจะฟังดูแทงใจดำ แต่นั่นก็เป็นนิสัยของเจ้าตัวและเพียงพายก็เคยชินกับมันไปซะแล้ว
คิรินเป็นพวกชอบพูดจาโผงผางและตรงไปตรงมาไม่ต่างอะไรจากเพียงพาย ดูแรงกว่าเนื่องจากสายตาคิรินดูเป็นคนเหวี่ยง เพราะงั้นภายนอกเขาก็อาจจะดูเหมือนคนพูดแรง ทว่าทุกอย่างที่พูดออกไปล้วนแล้วแต่ออกมาจากความจริงใจทั้งนั้น
“จะกัดกูทุกทีที่เจอเลยว่างั้น ตกลงเป็นเพื่อนกันจริงหรือเปล่าวะ”
“เห้อ เพราะเป็นเพื่อนไงถึงไม่อยากให้มึงเจ็บ ไอ้ซินก็อีกคน ไม่คิดจะห้ามเพื่อนมันเลยหรือไงวะ”
ประธานหนุ่มถอนหายใจทิ้ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาไปงานแต่งแฟนเก่าเพราะยังคงคิดถึงความหลัง ในวันที่ฝ่าฝันอะไรมาด้วยกันหลายอย่าง แต่อีกคนกลับปล่อยมือของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าที่ผ่านมาไม่เคยรักกัน
อีกคนกำลังเริ่มต้นใหม่กับอีกคนที่ยังปล่อยวางอดีตไม่ได้ และไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกันที่ใจดวงนี้จะกลับมาเปิดโอกาสได้อีกครั้ง
“มึงเลือกที่จะไม่ไปงานแต่งเตก็ได้ ทำไมถึงเลือกที่จะไป” คิรินถามติดสงสัย ในวันที่เพื่อนสนิทอกหักเขาก็อยู่เป็นเพื่อน ดื่มจนถึงรุ่งเช้าเลยก็มี
“เพราะยังไงเตกับกูก็เคยเป็นเพื่อนกัน ต่อให้เลิกกันแล้วก็ตาม” เพียงพายตอบกลับไม่เต็มเสียง ต่อให้เคยเป็นเพื่อนกันยังไง แต่สิ่งที่เตชินท์ทำกับเขาเอาไว้มันแย่เหลือเกิน
เรื่องระหว่างเตชินท์กับเพียงพายมีไม่กี่คนที่รู้ว่าทั้งสองคบหากัน นอกนั้นในสายตาของคนภายนอกก็คงจะมองว่าพวกเขาเป็นเพื่อนซี้ที่สนิทกันมาก
ทว่าเหตุผลคือการหมดรักเขาแล้วออกจากปากของเตชินท์ คนที่ได้ยินก็ถึงกับฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้
“เวลาคนเราจะหมดรักใครสักคนมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เตแค่คิดว่าบางทีเราสองคนอาจจะเหมาะเป็นเพื่อนกันมากกว่าก็ได้ เตรู้ใจตัวเองแล้ว ว่าเตไม่ได้ชอบผู้ชาย”
“ถ้าไม่ได้ชอบผู้ชายแล้วจะขอคบฉันเพื่ออะไร”
“เตขอโทษ.. แต่ถ้าระหว่างเรามันใช่ เตก็หวังว่าสักวันเราจะกลับมาเจอกันอีกนะพาย”
มุมปากของเพียงพายกระตุกยิ้ม กลับมาเจอกับผีน่ะสิไม่ว่า วนมาเจอกันอีกทีในรอบปีก็ดันมีข่าวแต่งงานออกมา ต่างกันกับเขาที่ยังไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าวให้ตรงเวลา เพราะฉะนั้นเรื่องหาแฟนตัดออกไปได้เลย
แม้ว่าจะยินดีที่เพื่อนเก่าคนสนิทได้เริ่มปลูกต้นรักครั้งใหม่แล้วก็กำลังไปได้ดี เพียงพายก็คงได้แต่อวยพรให้ ต่อให้ภายในใจจะยังรู้สึกเวลาได้เห็นหน้าของคนรักเก่าก็ตาม
“ทั้งที่รู้ว่าไปแล้วจะเจ็บเนี่ยนะพาย”
“ต่อให้จุดจบมันจะเจ็บปวด แต่ระหว่างทางมันก็สวยงามไม่ใช่เหรอ”
“กระท่อนกระแท่นสิไม่ว่า มึงเอาแต่ทำงาน ไอ้เตก็เลยกลับไปซบอกแฟนเก่าจนแต่งงานกันละ ยังมีหน้ามาขอเป็นเพื่อนกันอีก คิดได้ไงวะ”
“ขยี้เก่ง ย้ำจนกูช้ำในไปหมดแล้ว”
ไม่ว่าจะเลิกกันด้วยเหตุผลอะไร แต่สุดท้ายคนที่ต้องอยู่กับความเสียใจก็คือเพียงพายอยู่ดี
“มันกล้ากลับไปหาแฟนเก่า แต่งงานกับแฟนเก่า แล้วก็เสือกมาชวนมึงไปงานแต่งอีก โคตรใจกล้าแล้วก็หน้าด้านเลยว่ะ” คิรินเลิกคิ้ว ก่อนคว่ำริมฝีปากเล็กน้อยเพราะเขาเองก็ขยาดพวกนอกใจเหมือนกัน ไม่ใช่แค่ได้ยินจากปากเพื่อนรอบตัวจนชินหู แต่มันเป็นเพราะเขาเองก็เคยเผชิญสถานการณ์นี้มาแล้วต่างหาก
“เพราะกูเองแหละที่ปล่อยให้มันเหงา ไม่มีเวลาให้”
“โทษตัวเองอีกแล้ว มันไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยซ้ำ..” คิรินถอนหายใจแบบปลงๆ “แต่กูก็ยังไม่เข้าใจ มึงจะไปให้ตัวเองเสียใจเล่นทำไม มีผู้ชายอีกเยอะแยะที่อยากจะจีบประธานเอเอ็นเอ็นทีกรุ๊ป ถึงตอนนี้จะมีสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วก็ตาม”
“กูก็แค่อยากไปแสดงความยินดีด้วยเท่านั้นเอง อีกอย่างมันส่งการ์ดมาหากูถึงบ้าน ถ้ามันกล้าส่งมา กูก็กล้าไปเหมือนกัน”
“มึงไปแสดงความยินดีหรือยังลืมเขาไม่ได้กันแน่ จริงใจกับตัวเองหน่อยเพียงพาย”
ประโยคเชิงคำถามไม่ได้ถูกตอบกลับ แต่กลายเป็นสายตาของเพียงพายที่เผยคำตอบให้รู้ทุกอย่างแทน
ดวงตาเรียวสวยดูอาลัยอาวรณ์ เหมือนอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แต่ก็ถูกความเจ็บปวดเข้าเล่นงานจนจุกหน่วงช่วงลำคอพูดอะไรไม่ออก
คิรินถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ เพราะเขาเองก็อยากเห็นเพื่อนเลิกจมปลักอยู่กับความรักที่ผ่านมา อย่างน้อยเปิดใจเรียนรู้ใครสักคนก็ยังดี
“แล้วมึงล่ะมีอะไร ถึงได้ถ่อสังขารมาที่นี่” เพียงพายโยนคำถามกลับ วางเอกสารไว้บนโต๊ะก่อนเลื่อนสายตาวางไว้ที่เพื่อนสนิท
คิรินไหวไหล่ “ก็แค่ไม่มีอะไรทำ เพื่อนรอบตัวก็มีแฟนไปหมดแล้ว รวมถึงมึงเพื่อนคนสุดท้ายก็ดันแต่งงานแล้ว ส่วนกูยังค้างอยู่บนคานอยู่เลย”
“มึงเองก็รู้ว่ากูกับเด็กนั่นแต่งงานกันเพราะอะไร”
“แต่เด็กมันก็น่ารักดีออก ทำไมมึงถึงดูไม่ชอบน้องมันวะ”
เรียวคิ้วสวยมุ่นเข้าหากัน ยอมรับว่าเพียงพายแอบมีอคติกับเพลิงกัลป์ด้วยความที่อีกฝ่ายอายุน้อยกว่า ประการแรกคงเพราะว่าเขาไม่ได้อยากแต่งงานตั้งแต่แรก ประการที่สองคงเพราะเขาไม่ชอบให้ใครมาสนใจ ไม่อยากแสดงความอ่อนไหวให้ใครก็ตามได้เห็นมัน
“ไม่เชิงว่าไม่ชอบ ก็แค่.. กูแค่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัว”
“แต่ก็อย่าใจร้ายกับเด็กมันนักเลย ลดอีโก้ซะบ้างพาย เผื่อจะทำให้มึงเปิดใจกับรักใหม่ได้ง่ายขึ้น”
สิ้นประโยคจากเพื่อนสนิท หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเพียงพายก็สว่างวาบขึ้นมา ก่อนจะปรากฏชื่อและข้อความจากคนคุ้นเคย ที่พอกวาดสายตาอ่านคร่าวๆ เพียงพายก็ถึงกับแค่นหัวเราะในลำคอออกมา
ข้อความจากเพลิงกัลป์ “ทานข้าวเที่ยงด้วยนะครับ เป็นห่วง..”
ไวน์รสเลิศถูกเสิร์ฟจากพนักงานทางร้านของคิริน เจ้าของ DOUBLE B ที่กำลังเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในหมู่นักท่องราตรีที่ชื่นชอบการดื่มและสังสรรค์โดยเฉพาะ
ปกติคิรินจะอยู่ดื่มเป็นเพื่อนเพียงพายจนกว่าจะเมากันไปข้าง ทว่าครั้งนี้เจ้าของร้านไม่ได้มาร่วมดื่มด้วยเพราะรู้ว่าเพื่อนตัวเองอยากจะสงบสติอารมณ์เพียงลำพัง
เพียงพายนั่งไหล่ห่อคอตกอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์คนเดียว สั่งเครื่องดื่มเพิ่มติดต่อกันแต่ยังไม่มีวี่แววว่าสมองจะลืมภาพจำในอดีตได้เลยแม้แต่นิดเดียว
เขาเองเริ่มกลับมาดื่มหลังจากเลิกกับเตชินท์ และกลับมาติดบุหรี่อีกครั้งก็หลังจากที่เลิกกับเตชินท์เช่นกัน
ตอนแรกก็คิดว่ามันจะไม่เจ็บเท่าไหร่กับการไปร่วมแสดงความยินดี แต่ในเวลานี้เขาไม่ปฏิเสธเลยว่ามันเจ็บจนพูดไม่ออก ภาพฝันที่เคยวาดไว้ด้วยกันมันเกิดขึ้นกับคนอื่นไปแล้ว
“เริ่มต้นใหม่เถอะพาย มึงมีสิ่งที่คู่ควรอยู่แล้ว”
“สิ่งที่คู่ควรเหรอ ยกตัวอย่างให้ฟังหน่อยสิ”
“ก็อย่างเช่น.. เด็กที่ชื่อเพลิงกัลป์”
เสียงเพลงอีดีเอ็มมันส์สุดเหวี่ยงชวนให้เหล่าหนุ่มสาวโยกย้ายไปตามจังหวะ เพียงพายในชุดสูทพร้อมมาดท่านประธานที่ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยราวกับหงส์ขาวที่สยายปีก ส่งผลให้สายตานับสิบคู่จับจ้องไปที่เขา
หลายคนเข้ามาทักทายเพราะอยากจะทำความรู้จัก แต่สุดท้ายก็ต้องถอยทัพกลับไปเมื่อได้เห็นแหวนแต่งงานที่นิ้วข้างซ้าย ทั้งสายตาเฉยชาที่ดูไม่อยากจะเสวนาด้วยสักเท่าไหร่ พวกเขาถูกเมินอย่างไร้เยื่อใยรวมถึงสายเรียกเข้าจากคิริน
ผู้คนเข้ามาแล้วก็ผ่านไป สุดท้ายก็เหลือแค่ตัวเขาที่ดื่มด่ำกับค่ำคืนแสนเหงานี้คนเดียว
นัยน์ตาสีเข้มกวาดมองไปรอบบริเวณอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก ทว่าดันไปสะดุดกับใครสักคนที่เพิ่งเดินเข้ามา ฉับพลับเรียวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันจนเป็นปม เมื่อคนคุ้นตาคือเพลิงกัลป์
“เพลิงกัลป์เหรอ” ชื่อหนึ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนเขาจะหลับตาแล้วสะบัดหัวเล็กน้อย กลัวว่าตัวเองจะตาฝาด กระทั่งเขาเผลอหลับตาลงเพียงพริบตาเดียวร่างสูงก็หายไปในฝูงคนซะแล้ว
เพียงพายเอียงคอแก้อาการเมื่อยขบ พลางยกมือขึ้นลูบรั้งท้ายทอยก่อนจะเอี่ยวลำคอหันมองไปยังด้านหลังตน
ราวกับฟ้าเป็นใจเมื่อหญิงสาวที่สายตาเขาทอดมองตรงไปยังเธอขยับกายเดินออกจากโต๊ะพอดี เพียงพายถึงได้เห็นคนคุ้นตาอย่างเพลิงกัลป์กำลังนั่งสังสรรค์กับหญิงชายที่เขาไม่คุ้นหน้าเลยสักนิดเดียว
ดวงตาเรียวสวยหรี่ลงอย่างจับผิด มองกลุ่มเพื่อนกลุ่มใหญ่ของเพลิงกัลป์พลันเรียวคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน
ทว่าดวงตาของเพียงพายก็เบิกโตเล็กน้อย เมื่อหนึ่งในนั้นกลับมีหญิงสาวกำลังหยอกล้อเล่นกันอย่างสนิทสนม เธอหัวเราะร่าเอนศีรษะซบบ่ากว้าง โดยที่เพลิงกัลป์ใช้แขนล็อคลำคอคล้ายว่ากำลังหยอกล้อจนทำให้เพียงพายถึงกับพูดอะไรไม่ออก
“ผมบอกพี่แล้วนะว่าผมมีอ่านหนังสือกับเพื่อน”
เพียงพายมองภาพตรงหน้าพร้อมกับประโยคของเพลิงกัลป์ที่ดังเข้ามาในโสตประสาท
อ่านหนังสือกับเพื่อนที่ร้านเหล้า คงจะเป็นความแปลกใหม่ที่คนในวัยเขาเพิ่งจะได้เห็นเหมือนกัน
“อ่า ร้ายนักนะเพลิงกัลป์”
รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นบนมุมปากหยักได้รูป เพียงพายยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกดื่ม ขณะเดียวกันสายตาก็มองไปยังเพลิงกัลป์เพื่อสังเกตพฤติกรรมอีกฝ่าย
ตรงกันข้ามกับรอยยิ้มที่ดูอ่อนน้อมถ่อมตนของเพลิงกัลป์ ตอนนี้กลับกลายเป็นรอยยิ้มของเสือร้ายที่ดูเจ้าเล่ห์ แต่ทว่าในขณะเดียวกันมันกลับทำให้เพียงพายไม่สามารถละสายตาจากเพลิงกัลป์ไปไหนได้เลย
“เหอะ” เพียงพายแค่นหัวเราะ ก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มไม่พัก
เด็กมันร้ายเขามองปราดเดียวก็รู้แล้ว
อีกมุมหนึ่งของร้านมีกลุ่มนักศึกษาหลายคนกำลังนั่งร่วมโต๊ะสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน หนึ่งในนั้นมีเพลิงกัลป์ที่กำลังใช้เรียวแขนแกร่งล็อคลำคอหญิงสาวในเชิงหยอกล้อ ท่ามกลางเสียงหัวเราะครึกครื้นภายในกลุ่ม
“ไหนบอกจะคว้าใจพี่พายไง แต่ทำไมพาเพื่อนมาดื่มเหมือนย้อมใจเลยนะเพลิง” หญิงสาวเอ่ยแซวแล้วยิ้มกว้าง มือก็จับท่อนแขนเพลิงกัลป์ที่ล็อคช่วงบนเธอเอาไว้
“กวนตีนเพลิงเหรอวา” เพลิงกัลป์พูดกรอดไรฟัน “ตอกย้ำเพื่อนใช่มั้ยครับ”
เธอส่ายหน้าติดกวนประสาท “วาเปล่าเลยเพื่อน เป็นกำลังใจให้เพื่อนตลอดนะ”
“บอกแล้วว่าเดี๋ยวจะจีบให้ติด”
“แบบนี้หรือเปล่า”
ไม่พูดเปล่าเธอยังยกมือขึ้นทำท่าจะจีบแต่นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ไม่ติดกัน สื่อความหมายในเชิงหยอกล้อเพลิงกัลป์ว่าเจ้าตัวไม่สามารถจีบอีกฝ่ายติด
พูดโอ้อวดสรรพคุณไปตั้งมากมายว่าจะทำให้เพียงพายมาตกหลุมรักตน แต่สุดท้ายก็แอบหลบมุมมาดื่มย้อมใจตัวเองอยู่ดี
เพลิงกัลป์ยังจำสายตาของเพียงพายที่มองไปยังชายคนรักเก่าได้ ถึงจะมีเศษเสี้ยวของความโกรธแค้นแต่มันก็แฝงไปด้วยความเสียใจและท่าทางที่ดูอาลัยอาวรณ์
คำตอบจากเหตุการณ์เมื่อคืนมันชัดเจนกว่าเดิมว่าเพียงพายยังไม่ลืมคนรักเก่า ซึ่งเขาทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้เลย
“เลิกแกล้งวามันได้แล้วไอ้เพลิง” ต้าถังยกมือขึ้นปราม
แพรวากระทุ้งศอกเข้าที่สีข้างเพลิงกัลป์ที่กระชับตัวนั่งหลังตรง ก่อนต้าถังจะชูแก้วเหล้าขึ้นมาหลังทั้งคู่ยอมสงบศึกต่อกัน
“ใครดื่มหมดแก้วขอให้ไม่ปวดหลังจากต้าถังคนนี้ครับผม”
พูดจบประโยคเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงแก้วหลายใบกระทบกันจนเกิดเสียงกังวาน ตามมาด้วยเสียงเฮฮาจากคนในกลุ่มเพื่อนที่สนิทสนมกัน
เพลิงกัลป์ยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกดื่มอย่างช่ำชอง ไม่ได้ฉลองเนื่องในโอกาสอะไร แต่เพราะเขาเป็นสายดื่มอยู่แล้ว ทั้งยังเคยทำยอดหลายร้อยดื่มจนเพื่อนในกลุ่มขนานนามว่าตัวพ่อเลยทีเดียว
“แล้วมึงมาเที่ยวแบบนี้ แฟนมึงจะไม่ว่าอะไรเหรอวะ” ต้าถังที่นั่งฝั่งตรงข้ามเพลิงกัลป์เลิกคิ้วถาม
“นั่นสิ” แพรวาหันไปเพยิดหน้ารับกับต้าถังอีกแรง
คนที่ถูกรุมหลบตาไม่ตอบ แต่หยิบแก้วเหล้าขึ้นกระดกดื่มจนเหลือแค่น้ำแข็งแล้วกระแอมไอในลำคอ
“ไอ้เพลิง เดี๋ยวก็งานเข้าหรอกมึง” ต้าถังว่าต่อ
เพลิงกัลป์เอนหลังพลางไหวไหล่เชิงไม่เกรงกลัว
“ไอ้เพลิงเมียมึงมา” เสียงของเจย์ที่ตะโกนดังขึ้นพร้อมสายตาที่มองไปยังด้านหลังของเพลิงกัลป์ ทำให้เจ้าตัวถึงกับรีบหันหลังกลับไปมองจนคอแทบเคล็ด
แต่นอกจากจะไม่พบอะไรแล้ว เสียงหัวเราะจากเพื่อนในกลุ่มยังดังตามมาเพราะสีหน้าของเพลิงกัลป์ที่ดูตื่นตระหนกเมื่อครู่
“ไอ้เจย์” เพลิงกัลป์ขลึงตาแข็ง ก่อนจะเขกกบาลเพื่อนตัวเองไปหนึ่งที
“กูล้อเล่น เอาซะหัวกูโยกเลยนะเพื่อนรัก”
“ใครให้มึงเอาเรื่องนี้มาล้อเล่น กูตกใจหมด”
เจย์กลั้วหัวเราะ “เออ กูหยอกเล่น แต่หน้ามึงซีดจริงนะไอ้เพลิง”
มือถือที่กระเป๋ากางเกงของเพลิงกัลป์สั่นต่อเนื่อง ทำให้เจ้าตัวหยิบมันขึ้นมากดรับ หลังจากนั้นไม่นานคนที่กำลังสังสรรค์อยู่ก็ลุกขึ้นยืนท่ามกลางผู้คน พลางกวาดสายตามองหาคนที่กำลังตามหาอยู่
“ไปไหนวะ” โปเต้ชายหนุ่มที่สวมแว่นทรงกลมเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนที่คนอื่นในกลุ่มจะหันไปมองกันเป็นตาเดียว
“เออ จะไปไหนเพลิง” แพรวาเองก็เลิกคิ้วถามเช่นกัน
“เดี๋ยวกูมา” เพลิงกัลป์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรน
เขาเดินออกมาจากฝูงชนตรงไปยังเคาน์เตอร์บาร์ทันที แล้วก็พบกับเป้าหมายตามที่คิรินโทรสายมาบอกว่าเห็นเพียงพายนั่งอยู่มุมนั้นของร้านมานานกว่าสามชั่วโมงแล้ว
ดวงตาคู่คมมองแผ่นหลังที่คุ้นเคยด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าเพียงพายกำลังดื่มเพราะกลุ้มใจเรื่องอะไรอยู่
“พี่พาย” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อคนที่กำลังยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เจ้าของชื่อหันหลังกลับมาแล้วขมวดคิ้วใส่ วินาทีที่เพลิงกัลป์สบสายตาของเพียงพาย โลกของเขาก็เหมือนจะหยุดหมุนไปชั่วขณะ ดวงตาคู่สวยหวานฉ่ำยามถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าเล่นงาน ใบหน้าขาวแดงฉานแต่สายตายังคงแข็งกร้าวราวกับว่าเหล้าทำอะไรเขาไม่ได้
นัยน์ตาคู่คมไล่สายตามองเพียงพาย พลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
“ไง” เพียงพายโปรยรอยยิ้มให้คนตรงหน้า แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มราบเรียบจนไร้ชีวิตชีวาก็ตาม
“พอแล้วครับ” เพลิงกัลป์บอกเสียงเรียบ
“จะทำอะไร” เพียงพายหันไปบอกเพลิงกัลป์ที่หยิบแก้วเหล้าในมือเขาออก ก่อนหันไปกระดิกนิ้วให้พนักงานเอามาเสิร์ฟเพิ่ม
พนักงานที่กำลังจะเสิร์ฟชะงักค้างเมื่อเพลิงกัลป์ช้อนสายตามอง พลางเพยิดหน้าให้นำกลับไป
“นายนี่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเขาสินะ.. ทีกับเรื่องของนายฉันยังไม่ยุ่งเลย” เพียงพายตวัดหางตามองอย่างไม่สบอารมณ์
“ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่ครับ”
“ฉันหรือเปล่าที่ต้องถามว่าทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ ไหนบอกมีอ่านหนังสือห้องเพื่อน”
“ผมก็แค่มาดื่มปกติ แล้วพี่ก็ตอบคำถามผมด้วยว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
“อ่า เด็กดีจังเลยนะเพลิงกัลป์” เพียงพายฉีกยิ้มเย็นเยียบส่งไปให้เพลิงกัลป์ ก่อนจะกระดิกนิ้วให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้
เพลิงกัลป์ลอบถอนหายใจ ก่อนโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ตามที่เพียงพายเรียกร้อง จนลมหายใจอุ่นเป่ารดข้างแก้มเพลิงกัลป์เป็นระยะ
ชายหนุ่มถึงกับตัวเกร็งยามปลายจมูกโด่งสันทัดเฉียดแก้มไปนิดเดียว ฉับพลันใจก็เต้นแรงเมื่อเพียงพายวางริมฝีปากไว้ข้างใบหู มุมปากยกสูงที่เห็นคนอายุน้อยกว่าเกร็งรับ
“นายคิดว่าตัวเองกร้านโลกแค่ไหนเพลิงกัลป์ถึงได้กล้าล้ำเส้นฉันขนาดนี้”
“ผมหวังดีนะครับ ทำไมพี่ถึง..”
“เป็นเด็กดีหน่อยเพลิงกัลป์ เป็นเด็กดีน่ะ เข้าใจมั้ย”
ใบหน้าคมคายกระตุกยิ้มมุมปาก จังหวะที่หันหน้าเข้าหาใบหน้าเพียงพาย ปลายจมูกโด่งสันทัดของเพลิงกัลป์ก็เฉียดแก้มนิ่มไปเพียงนิดเดียว
เพลิงกัลป์ขยับกายประชิดเพียงพาย เท้าแขนลงบนเคาน์เตอร์บาร์ทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งคู่เหลือน้อยนิด
“บอกให้ผมเป็นเด็กดี แล้วทำไมพี่ถึงดื้อจังครับ” ใบหน้าหล่อเหลาเลิกคิ้วขึ้น
“ฉันน่ะเหรอดื้อ” น้ำเสียงนุ่มลึกตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขากระตุกยิ้มมุมปากแล้วส่ายหน้าให้คนอายุน้อยกว่า
“ครับ พี่น่ะโคตรดื้อเลย รู้ตัวมั้ย” เพลิงกัลป์หลุบตามองริมฝีปากสีชมพูที่เผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นสบนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม
“เหอะ” เพียงพายแค่นหัวเราะในลำคอ “นายจะไปไหนก็ไปเถอะเพลิงกัลป์ ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“แต่พี่คิรินโทรมาบอกให้ผมพาพี่กลับบ้าน ไม่งั้นคืนนี้พี่ติดลมยันเช้าแน่นอน” เพลิงกัลป์ตอบกลับทันที เขาได้รับสายจากคิรินที่บอกว่าเพียงพายนั่งดื่มคนเดียวมานานกว่าสามชั่วโมงแล้ว แต่ยังไม่ยอมขยับไปไหนหรือรับสายจากใครเลยสักคนเดียว
“แล้วมันเรื่องอะไรของนาย ทำไมถึงเป็นเดือดเป็นร้อนแทนฉันขนาดนั้น หืม”
“อย่าลืมสิครับว่าเราแต่งงานกันแล้ว พี่จะมานั่งดื่มเหมือนคนอกหักคนเดียวแบบนี้ได้ยังไง กลับบ้านเถอะครับ เดี๋ยวผมขับรถให้เอง”
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา เพียงพายเอาแต่ก้มหน้าแล้วผ่อนปรนลมหายใจหนักทิ้งกับความวูบไหวในแววตา ที่เขาจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้เห็นน้ำตาเขาเป็นรอบที่สองแน่นอน
“คิดว่าทำแบบนี้แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเหรอครับ”
“นี่มันเรื่องของฉันเพลิงกัลป์ ฉันจะจัดการเอง”
“ไปกับผม”
“นายคิดว่าตัวเองเป็นใครเพลิง..”
พูดยังไม่ทันขาดคำเพลิงกัลป์ก็จับแขนเพียงพายให้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตาม กึ่งบังคับเพราะเพียงพายยังติดลมอยู่แต่ก็ต้องสมยอมเพราะแรงของเพลิงกัลป์ที่มีมากกว่า โดยที่เพื่อนในกลุ่มอย่างต้าถังและแพรวาเดินออกมาเห็นเหตุการณ์พอดิบพอดี
สุดท้ายเพลิงกัลป์ก็ลากประธานหนุ่มออกมานอกร้านได้สำเร็จ พวกเขาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้เกือบจะถึงลานจอดรถ ก่อนที่เพลิงกัลป์จะยื่นมือมาตรงหน้าเพื่อขอกุญแจรถจากเพียงพาย
“กุญแจรถล่ะครับพี่พาย”
“มีบุหรี่มั้ย”
เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นถาม งุนงงกับคำตอบที่ไม่ตรงคำถามเลยแม้แต่นิดเดียว
“บุหรี่ มีมั้ย”
เพียงพายหลุบตามองมือตนที่ยื่นขออย่างสุภาพ
แววตาของเพลิงกัลป์ดูซุกซนคล้ายว่าคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาพยักหน้ารับก่อนจะหลุบตามองต่ำที่เป้ากางเกง
“ถ้าอยากได้ก็หยิบเอาสิครับ”
“ล้อฉันเล่นเหรอเพลิงกัลป์”
เพลิงกัลป์เลิกคิ้ว ที่บอกว่าอยากถือไพ่เหนือกว่าเพียงพายเขาไม่เคยโกหก แต่ทุกครั้งก็กลายเป็นเพียงพายทุกทีที่ได้ถือไพ่เหนือเขาอยู่ตลอด
“ก็ถ้าพี่อยากได้ พี่ก็ต้องหยิบเอาเองครับ”
“คิดว่าฉันไม่กล้าสินะ”
“ผมก็แค่..”
สิ้นประโยคที่ขาดห้วงเพลิงกัลป์ก็ขบกรามแน่นเมื่ออีกคนล้วงเข้ามาที่กระเป๋ากางเกงแต่กลับเฉียดความเป็นชายไปเพียงนิดเดียว แล้วเพียงพายก็เจอกล่องบุหรี่ที่เขาต้องการ แต่ยังขาดไฟแช็กอยู่
“เด็กน้อยชะมัด” เพียงพายยกยิ้ม “ไฟแช็กล่ะ”
เจ้าของดวงตาคู่คมถอนหายใจพรืดยาว ก่อนจะหยิบไฟแช็คจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลังชูขึ้นมา
เพียงพายหยิบบุหรี่จากซองแล้วคาบมันไว้ที่ริมฝีปาก เขาแบมือขอไฟแช็ก แต่กลับเป็นเพลิงกัลป์เองที่ยกมือขึ้นป้องลมพร้อมกดไฟแช็กจนเกิดประกายไฟสีส้ม จ่อไปที่มวลบุหรี่จนไฟติด
เพียงพายแสยะยิ้มมุมปากขณะที่เปรยสายตาขึ้นมองเพลิงกัลป์ ก่อนจะพ่นควันสีเทาออกมา
ทุกการเคลื่อนไหวของเพียงพายอยู่ในสายตาของเพลิงกัลป์ทั้งหมด สายตาดูเบื่อโลกของเพียงพายเป็นประกายรอยยิ้มขึ้นมา หลังได้อัดควันเข้าปอดผ่อนคลายจากความเครียดที่รุมเร้า ซึ่งรอยยิ้มที่ประดับไว้บนใบหน้าของเขาทำให้เจ้าตัวดูดีไม่น้อย
จากที่เพลิงกัลป์เคยมองเพียงพายด้วยสายตาชื่นชม ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาเริ่มสนใจในตัวของอีกฝ่ายมากกว่าเดิม
แม้ไม่มีประโยคสนทนา ทว่าหัวใจของเพลิงกัลป์กลับเต้นแรงไม่หยุด
“รู้สึกดีขึ้นมั้ยครับ” เพลิงกัลป์ถามขึ้น
“อือ ขอบใจ สำหรับนี่” เพียงพายชูมวลบุหรี่พร้อมกับพ่นควันสีเทาลอยขึ้นสู่อากาศ
“พึ่งรู้ว่าพี่เองก็สูบเหมือนกัน ผมนึกว่าพี่จะไม่สูบแล้วก็ไม่ดื่มซะอีก”
“ฉันดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ”
“ก็ไม่รู้สิครับ คงเพราะผมเห็นพี่แค่มุมทำงาน แต่ยังไม่เคยเห็นพี่ในมุมนี้เลย”
ใบหน้าของประธานหนุ่มราบเรียบจนยากที่จะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ทั้งที่ในหัวมีเรื่องให้คิดมากมาย แต่เพียงพายกลับไม่ยอมแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาให้ใครได้เห็น
“ดื่มคนเดียวคงเหงาแย่ ให้ผมดื่มเป็นเพื่อนมั้ย พี่คงไม่อยากอยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้หรอก.. ใช่มั้ยครับ” เพลิงกัลป์ระบายยิ้มอย่างห่วงใยอีกฝ่าย แววตาอ่อนโยนทอดมองไปยังคนหน้านิ่งที่อัดควันเข้าปอด
คนที่ถูกถามไหวไหล่แทนคำตอบ
“ผมรู้ว่าพี่อาจจะรำคาญใจเวลาผมเซ้าซี้หรือเจ้ากี้เจ้าการกับพี่มากเกินไป”
เพียงพายลอบมองเพลิงกัลป์แต่ไม่ได้พูดอะไร
“แต่ผมเป็นห่วงพี่จริงๆ นะครับ ยิ่งเห็นพี่ทำแบบนี้ผมก็ยิ่งไม่สบายใจ”
ปกติก็เป็นคนยิ้มยากอยู่แล้ว แต่หลายวันมานี้เพียงพายเหมือนคนอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ได้เจอหน้าเขาก็แทบจะไม่เคยยิ้มอย่างจริงใจเลยสักครั้ง
“ฉันโตแล้วนะ เรื่องแค่นี้ทำไมจะดูแลตัวเองไม่ได้” เพียงพายพูดพลางพ่นควันสีเทาผ่านริมฝีปาก ยืนกวาดสายตามองความเงียบภายนอกแล้วลอบถอนหายใจทิ้งออกมา
“งั้นก็ทำให้ผมเห็นสิครับว่าพี่ดูแลตัวเองได้ อย่าทำให้ผมต้องเป็นห่วงพี่แบบนี้”
“.....”
“เพราะถ้าพี่ยังทำให้ผมเป็นห่วงอยู่แบบนี้ ผมก็จะไม่ปล่อยพี่ไปเหมือนกัน”
สิ้นประโยคนั้นเพียงพายก็ก้มหน้าแล้วแสยะยิ้มบนมุมปากด้วยสายตาที่อธิบายได้ยาก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฟ้าในค่ำคืนที่ไร้ดาว
อ้างว้างแล้วก็เดียวดายอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าคืนนี้พี่ไม่อยากอยู่คนเดียว.. ผมจะอยู่เป็นเพื่อนพี่เอง”