CHAPTER 1 ดอกไม้กับการ์ดงานแต่ง
ร่างสูงโปร่งดูสมส่วนอยู่ในชุดเสื้อยืดรัดเข้ารูป เขาใช้ผ้าเช็ดเหงื่อบริเวณกรอบหน้าพลางหอบหายใจหนักหลังเพิ่งออกกำลังกายเสร็จในช่วงเช้า
เขาเดินเข้าไปที่ห้องทำงานหลังจากแม่บ้านรายงานว่ามีคนส่งดอกไม้มาให้ พอเดินเข้ามาสายตาก็ปะทะเข้ากับดอกไม้ช่อโตทันที แต่ยังไม่รู้ที่มาว่าใครเป็นเจ้าของดอกไม้กันแน่
ประธานบริหารเอเอ็นเอ็นทีกรุ๊ปหรือเพียงพายในวัยย่างสามสิบปีกำลังมองดอกกุหลาบช่อโตด้วยสายตาว่างเปล่า ใบหน้าสง่างามราวกับพระเจ้าทรงปั้นเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา เรียวปากสีระเรื่อเป็นกระจับขบกัดริมฝีปากล่างเล็กน้อย ก่อนเขาจะถอดหูฟังแอร์พอตไว้บนโต๊ะแล้วให้ความสนใจช่อดอกไม้แทน
เขาหยิบมันขึ้นมาเชยชมพลางพลิกช่อดอกไม้ก่อนจะพบเข้ากับการ์ดแต่งงานสีชมพูที่ติดมาพร้อมกัน พลันรอยยิ้มเชิงประชดประชันก็ผุดขึ้นบนมุมปากสวยทันทีที่ได้เห็นชื่อของเจ้าบ่าว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มดูเฉยชาปราศจากความรู้สึก แต่ภายในใจกลับร้อนรนดุจไฟสุมทรวง
“เหอะ” เขาแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ
ดอกไม้ช่อโตถูกโยนลงบนโซฟาอย่างไร้เยื่อใย มันจะไม่ทำให้เขาหัวเสียแต่หัววันเลยถ้าเจ้าของช่อดอกไม้ช่อนี้ไม่ได้ส่งมาจากคนรักเก่าอย่างเตชินท์
ทั้งที่อยากจะเกลียดเข้าไส้ แต่ยังอาลัยอาวรณ์เหลือเกิน
นัยน์ตาวูบไหวเพียงครู่หนึ่งกับคนคุ้นเคยที่กำลังจะเข้าประตูวิวาห์ รู้สึกใจหายไม่น้อยที่อีกฝ่ายกล้าส่งการ์ดเชิญให้เขาถึงที่ อีกทั้งยังไม่คิดว่าตัวเองจะยังรู้สึกมากมายขนาดนี้ ทั้งที่เรื่องราวระหว่างเขาสองคนก็จบลงไปแล้ว
“เตรู้ว่าพายอาจจะเกลียดเตไปแล้ว แต่เตยังอยากให้เราเป็นเพื่อนกันอยู่นะพาย”
“เตยังรัก.. ยังหวังดีในฐานะเพื่อนเสมอ”
เพียงพายยกมือขึ้นลูบคมหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นพิมพ์หาใครสักคน ก่อนจะคว้ากุญแจรถบนโต๊ะแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังสนามแข่งรถของเพื่อนสนิททันที
อารมณ์ภายในใจคุกรุ่นจนเขาขับรถมาถึงสนามแข่งภายในสิบห้านาที รถมอเตอร์ไซด์คันโปรดถูกจอดในสนามอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนานนับสัปดาห์
ไม่นานรถมอเตอร์ไซด์อีกคันก็ขับเข้ามาในสนาม ชายหนุ่มรูปร่างสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรเดินตรงมาหาเพียงพาย หลังจากได้รับข้อความจากเขาเจ้าตัวก็รีบมุ่งหน้าตรงมาทันที
“ไงวะ” เจ้าของสนามแข่งแยกยิ้ม ยกมือขึ้นทักทายพร้อมรอยยิ้มตามปกติที่เจอกัน
ซินหรือเจ้าของเซอร์เวย์อินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิต สนามแข่งที่ติดอันดับมาตรฐานสูงสุดของประเทศแล้วก็เป็นสถานที่จัดการแข่งขันในทุกปีได้ตามใจเปิดสนามให้เพื่อนรักประลองฝีมือ
เพียงพายถอดหมวกกันน็อกถือไว้ข้างสีเอว เขายกมือขึ้นเสยผมพลางผ่อนปรนลมหายใจดุจคลื่นทะเลคลั่งให้เย็นลง
“จะเอาแต่หัววันเลยเหรอมึง”
“เออ”
เพียงพายพยักหน้ารับ เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์ขายาวสีดำกับเสื้อแจ๊คเก็ตหนังคู่ใจ ใส่ถุงมือพร้อมหมวกกันน็อกใบโปรดเตรียมปลดปล่อยอารมณ์ขุ่นมัวไปกับความเร็ว
“ทั้งวันเลยมั้ยวันนี้” ซินถามพลางหรี่ตาลงเล็กน้อยตอนที่มองสนามท่ามกลางแสงแดด
“กูมีประชุมช่วงบ่าย แค่อยากมาระบายนิดหน่อยว่ะ” น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับ
ซินพยักหน้ารับคำ “อ้อ แล้วนี่มึงมีเรื่องให้เครียดอีกแล้วเหรอวะ คราวนี้เรื่องอะไรอีก”
“มึงก็น่าจะได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอซิน” เพียงพายเหลือบสายตามอง
ซินทำหน้าเหมือนหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทำท่าคล้ายว่านึกบางอย่างขึ้นมาได้
“อ่า มึงหมายถึงการ์ดงานแต่งไอ้เตใช่มั้ย”
“เออ ใช่”
“แล้วมึงจะไปมั้ย”
“มันกล้าส่งมา กูก็กล้าไปเหมือนกัน”
เพียงพายขยับถุงมือเล็กน้อย ก่อนจะสวมหมวกกันน็อก สายตาก็กวาดมองไปทั่วสนามแข่งรถที่กว้างขวางแล้วกำมือแน่นเมื่ออยากปะลองกับสิงห์สนามแข่งอย่างซินดูสักตั้ง
ถึงอารมณ์จะขมุกขมัวเหมือนท้องฟ้าที่ฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล แต่เพียงพายกลับไม่แสดงออกทางสีหน้าให้เพื่อนตนได้รู้ ราวกับว่าสีหน้าตายด้านและสายตาเฉยชาจะกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเขาไปเสียแล้ว
“แต่ว่าวันนี้มึงมาแข่งกับกูก่อนดิ อารมณ์ไม่ค่อยดีเลยว่ะ”
“เอาจริงดิ”
“เอาจริงดิวะ”
“ได้ครับเพื่อน ตามนั้นเลยครับผม”
รถมอเตอร์ไซด์คู่ใจของสิงห์นักบิดทั้งคู่จอดอยู่ที่จุดสตาร์ท สายตามุ่งมั่นของเพียงพายมองตรงไปข้างหน้า ก่อนรถจะออกตัวหลังทั้งคู่หันมองหน้ากัน
รถของเพียงพายแซงหน้าซินอยู่ไม่กี่ช่วงแขน แต่เหมือนว่าปลายทางของเขาจะไม่ได้คิดถึงเส้นชัย เขาเอาแต่คิดเรื่องของเตชินท์จนไม่มองสองข้างทาง
ร่างกายลู่ไปกับลมที่โกรกปะทะใบหน้า เสียงหวือของลมดังกลบทุกอย่างแม้กระทั่งเสียงหัวใจของเพียงพายที่กำลังเต้นแรง
มอเตอร์ไซด์เอียงลาดไปทางขวาเมื่อเข้าโค้ง เพียงพายทำมันออกมาได้ดีสมกับที่เป็นเพื่อนสิงห์สนามแข่ง ทว่าซินที่ขับเข้าโค้งไล่เลี่ยกันมามุ่นคิ้วเข้าหากัน เขาไม่เคยเห็นเพียงพายระเบิดอารมณ์แบบโวยวายเป็นบ้าเป็นหลัง มีแต่จะเอาอารมณ์ร้ายของตัวเองมาลงกับสนามแข่งรถซะมากกว่า แล้วคราวนี้เพียงพายก็ระเบิดอารมณ์ออกมาของจริง
สายลมและความเร็วเท่านั้นที่จะทำให้อารมณ์ของเพียงพายเย็นลงได้ สายตาที่พร่าเบลอของเขามองตรงไปยังข้างหน้าไม่มีวอกแวก มือบิดคันเร่งโดยไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนแรงลง
เพียงพายผู้ไม่เหมาะกับความรัก ไม่ใช่ใครนิยาม แต่เขานิยามตัวของเขาเองหลังจากจบความสัมพันธ์กับรักครั้งล่าสุด
เคยคิดเอาไว้ว่าเข้มแข็งพอที่จะลืมเรื่องราวในอดีต ทว่าเมื่อได้วนกลับมาเจอกันอีกครั้ง เพียงพายถึงได้รู้ว่าเขาไม่เคยลืมเลือนรักครั้งเก่าได้เลย
ความเร็วระดับเพียงพริบตาเดียวที่จะมองได้ทัน ทั้งสองต่างก็ฟาดฟันกันด้วยความเร็ว กระทั่งเพียงพายขับเข้าจุดเส้นชัยก่อน เขาถึงค่อยจอดรถแล้วก้มหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่างอยู่กับตัวเอง
ซินขับเข้าตามมาทีหลัง จอดรถเสมอเพียงพายแล้วถอดหมวกกันน็อกพลางเสยผมที่ไม่เป็นทรง
เพียงพายถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ ปัดเป่าหมอกร้ายที่เกาะกุมใจเขาให้เบาบางลง ก่อนจะก้าวขาลงจากรถโดยที่ยังสวมหมวกกันน็อกอยู่
อยากจะหาที่นั่งสงบจิตสงบใจ ดีกว่าฟุ้งซ่านเพราะเรื่องของใครบางคนที่เขาไม่ควรนึกถึงในเวลานี้
“ไหวมั้ยวะ” เสียงซินตะโกนถามด้วยความเป็นห่วง
ประโยคคำถามถูกส่งไปแต่ไม่มีการตอบกลับ เพราะอีกคนมัวแต่เหม่อลอยจนหูอื้อไปหมด
“ไอ้พาย”
“เออ ไหว”
เพียงพายโบกมือปฏิเสธที่จะคุยต่อ เขาดูไม่สบอารมณ์ตั้งแต่ก้าวเท้าลงจากรถ ทว่าภายใต้หมวกกันน็อคที่สวมใส่กำลังปิดบังใบหน้าที่เอ่อคลอไปด้วยหน่วยน้ำตา
ไม่ไหวบอกไหวของจริง
สิงห์นักบิดสลัดคราบเป็นประธานบริหารทันทีหลังปลดปล่อยอารมณ์สีหม่นไปกับความเร็วและสายลม เขานั่งลงที่เก้าอี้มีป้ายกำกับตำแหน่งบนโต๊ะว่า เพียงพาย อธินันท์พันธสกุล กำลังรับฟังข้อคิดเห็นจากดารินเลขานุการสาวเรื่องวาระในที่ประชุม ทว่าในหัวของเขากลับนอกเรื่องคิดถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า กว่าจะดึงสติกลับมาได้ก็ตอนที่เลขาสาวอธิบายเสร็จเสียแล้ว
เพียงพยักหน้ารับทราบ ก่อนมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะจะสั่นคลอน เขาเหลือบสายตามองมันแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจกดรับสาย
“ท่านประธานคะ” ดารินคลี่รอยยิ้ม พลางเอียงศีรษะมองเจ้านายที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“เดี๋ยวฉันตามออกไป” เพียงพายหันไปกำชับกับเลขา เธอค้อมศีรษะลาพร้อมกับกระชับเอกสารไว้แนบอกแล้วเดินออกจากห้องไป
พอพูดคุยธุระเสร็จเขาก็กดรับสายเรียกเข้าที่ยังสั่นต่อเนื่อง ก่อนจะกรอกเสียงลงไปตามสาย
“ครับแม่” เสียงนุ่มลึกตอบรับ มือก็เปิดเอกสารแล้วไล่สายตาอ่านไปพลาง
( ว่างคุยมั้ยลูก ) ปลายทางตอบกลับมา น้ำเสียงติดเกรงใจเพราะลูกชายตนมักจะทำงานแบบเป็นบ้าเป็นหลังจนแทบจะไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน
“คุยได้ครับ แต่เดี๋ยวผมมีประชุมต่อ”
( ถ้างั้นเดี๋ยวเรากลับมาคุยกันที่บ้านดีกว่า พายกลับมาทานข้าวที่บ้านนะลูก แม่มีเรื่องอยากจะคุยด้วย )
น้ำเสียงของมารดาหรือคุณหญิงณลิลฟังดูนุ่มนวล แต่กลับสร้างความวิตกกังวลให้เพียงพายไม่น้อย
เขาเองเติบโตมาอย่างดีในครอบครัวของอธินันท์พันธสกุล จนบางครั้งตัวของเพียงพายเองก็เป็นฝ่ายกดดันตัวเองเพื่ออยากจะทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดี เพราะฉะนั้นบริษัทเป็นเสมือนลมหายใจของครอบครัว เขาจะไม่ยอมเสียสิ่งที่พ่อแม่สร้างมาไปอย่างง่ายดายแน่นอน
เรียวคิ้วสวยขมวดมุ่นเข้าหากัน ก่อนจะตอบรับคำอย่างปฏิเสธไม่ได้
“ได้ครับแม่ ไว้เจอกันครับ”