พิมพ์กานต์ยืนนิ่งมองบ้านหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์นตั้งอยู่บนเนินสูงสุดของไร่ชากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาที่เธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อจากนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เธอต้องจากแม่ของเธออีกครั้ง..และจะต้องจากกันอีกกี่ครั้งชายที่ชื่อ การิน ถึงจะพอใจ อีกกี่ครั้งถึงจะสาสมกับความแค้นเคืองที่เธอและแม่ไม่ได้เป็นผู้ก่อขึ้น คำอธิบายใดๆ เมื่อหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยได้ผลยังไง วันนี้มันก็ยังไม่ได้ผลเหมือนเดิม ดวงตาที่ฉายแววเศร้าสร้อยของสาวน้อยทำให้ชายสูงวัยที่ยืนอยู่ข้างๆ สะท้อนใจ จรัสพงษ์สงสารพิมพ์กานต์เหลือเกินแต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ปกป้องเธอไม่ให้ได้รับอันตรายทางร่ายกายเท่านั้น แต่ด้านจิตใจ..เขาเองก็หวังพึ่งความดีงามในตัวตนของพิมพ์กานต์เองที่อาจจะช่วยให้เธอรอดพ้นจากเพลิงแค้นของการินได้
จรัสพงษ์ย้อนนึกถึงเมื่อสามวันก่อนหน้านี้ การินโทรมาหาเขากลางดึกเพื่อที่จะบอกสิ่งที่เขากลัวที่สุดคือชายหนุ่มเจอพิมพ์กานต์แล้ว การินยื่นคำขาดว่าจรัสพงษ์ต้องพาพิมพ์กานต์มาส่งให้เขาที่ไร่ชาโดยเร็วที่สุดไม่เช่นนั้นเขาจะซื้อบ้านที่แม่ของพิมพ์กานต์อาศัยอยู่แล้วไล่ผู้อาศัยทั้งหมดออกไป จรัสพงษ์รู้ดีว่าสุรีย์รักบ้านหลังนั้น เขาเคยเสนอจะซื้อบ้านให้ใหม่หลายครั้งหลายหนเธอก็ไม่เอา ถึงแม้จะบอกว่าซื้อแล้วเธอไปอยู่จะจ่ายค่าเช่าก็ได้เธอก็ไม่ยอม เธอยินดีอยู่บ้านน้อยหลังเล็กๆ ของเธอด้วยเหตุผลว่าเธอสุขสบายและอบอุ่นที่อยู่ที่นั่น เจ้าของบ้านก็ใจดีไม่เคยขึ้นค่าเช่าเนื่องจากไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทอง แต่หากการินทุ่มเงินซื้อบ้านหลังเล็กๆ นั่นด้วยราคามหาศาลจรัสพงษ์ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเจ้าของบ้านจะยังไม่ยอมขายหรือไม่ แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นสุรีย์จะไปอยู่ที่ไหน เขาสามารถช่วยเธอได้แม้กระทั่งซื้อบ้านให้เธออยู่แต่เธอคงไม่ยอมรับ
จรัสพงษ์ตัดสินใจขอสุรีย์แต่งงานแบบปัจจุบันทันด่วนเพื่อที่จะช่วยสองแม่ลูก แต่ถึงแม้จะดีใจสุรีย์ก็เคลือบแคลงว่าทำไมถึงรีบร้อนนักเธอจึงซักถามละเอียดยิบจนในที่สุดเขาก็ต้องบอกความจริง ซึ่งสุรีย์ก็เข้าใจผิดว่าเป็นเพราะจรัสพงษ์อยากช่วยจึงขอเธอแต่งงานเธอจึงปฎิเสธและบอกว่ายินดีย้ายออกจากบ้านหลังนี้ไปพร้อมกับพิมพ์กานต์ พิมพ์กานต์ได้ยินการสนทนาทั้งหมดตั้งแต่ต้นจึงบอกจรัสพงษ์ไปว่าเธอตกลงจะไปอยู่ที่ไร่ชาเอง ไม่ว่าสุรีย์จะร้องห่มร้องไห้ทัดทานอย่างไรพิมพ์กานต์ก็ยังยืนยันคำเดิม เธอบอกแม่ว่าเธอยินดีจะต่อสู้กับความเข้าใจผิดครั้งนี้ของการิน เธอและแม่จะได้หลุดพ้นจากบ่วงแค้นของการินสักที
“สวัสดีเจ๊า คุณพงษ์” เสียงแม่ชื่นแม่บ้านที่ดูแลบ้านใหญ่วัย 50 ต้นๆ ทักทายจรัสพงษ์เป็นภาษาเหนืออย่างคุ้นเคยดึงเขาออกจากภวังค์ความคิด
“หวัดดีจ๊ะ แม่ชื่น นี่หลานฉัน..พิมพ์กานต์ พิมพ์..นี่แม่ชื่นเป็นแม่บ้านของบ้านใหญ่ สวัสดีซะสิลูก” จรัสพงษ์แนะนำง่ายๆ ว่าพิมพ์กานต์เป็นหลาน
“สวัสดีค่ะ ป้าชื่น” พิมพ์กานต์พนมมือไหว้
“สวัสดีค่ะหนูพิมพ์ สวยน่ารักอะไรอย่างนี้นะลูก” แม่ชื่นจับมือที่พนมไหว้ของพิมพ์กานต์แล้วลูบหลังลูบไหล่ด้วยความเอ็นดู
“ขอบคุณค่ะ” พิมพ์กานต์ยิ้ม
“ยิ้มก็น่าเอ็นดู! มีหนูมาอยู่ด้วยป้าคงหายเหงาแน่ๆ เลย บ้านนี้มีแต่ผู้ชายถึกๆ ป้าเบื่อจะแย่ระ ไม่ค่อยได้เห็นอะไรสวยๆ งามๆ มั่งเลย”
พิมพ์กานต์หันมาสบตาจรัสพงษ์ด้วยความไม่แน่ใจ
“แม่ชื่นแกอยู่กับคุณพี่รินมาตั้งแต่ยังเพิ่งเริ่มไถปรับที่ดินโน่นแน่ะ แกมีรถแบ็คโฮ รถไถรถบรรทุกนะ ไม่ใช่ธรรมดา ลูกหลานแกก็ทำงานที่ไร่ชานี่ทุกคน แกไม่ใช่แม่บ้านธรรมดาๆ นะ”
“แหม๊! คุณพงษ์ละก็ มีร้งมีรถอะไรที่ไหนนักหนาแค่มีอยู่บ้างให้ลูกๆ หลานๆ มันหากิน ตอนนี้ก็สบายไม่ต้องเร่ร่อนเหมือนก่อนแล้ว ทำงานกับพ่อเลี้ยงกันทั้งตระกูลไม่ยอมไปไหนกันแล้ว พ่อเลี้ยงใจดีรักลูกน้อง ฉันเองก็สบายที่ได้อยู่บ้านใหญ่ได้ดูแลบ้านให้พ่อเลี้ยง พ่อเลี้ยงให้ความไว้วางใจฉัน ให้เกียรติฉันเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่คนนึง ฉันก็จะไม่ทำให้พ่อเลี้ยงผิดหวังแค่นี้บั้นปลายชีวิตของฉันมีความสุขมากแล้ว”
“รินเป็นคนดี ใครๆ ก็รักเขา ผมเองก็รักเขาเหมือนลูก”
“จริงค่ะ ฉันก็รักพ่อเลี้ยง ลูกๆ หลานๆ ฉันก็รักเขาทุกคน อีกหน่อยหนูพิมพ์มาอยู่ด้วยหนูพิมพ์ก็ต้องรักพ่อเลี้ยงแน่ๆ เลยค่ะ ป้ารับรอง”
“เอ่อ...ค่ะ..” พิมพ์กานต์รับคำอ้อมแอ้ม ไม่แน่ใจในชีวิตเลยสักนิดว่าจะได้เข้าใกล้คำว่า รัก รึเปล่า
“เอาเถอะ.. เข้าบ้านกันเถอะ รินอยู่บ้านรึเปล่าล่ะแม่ชื่น” จรัสพงษ์ตัดบท
“อยู่ค่ะคุณพงษ์ พ่อเลี้ยงรออยู่ตั้งแต่เช้าแล้วค่ะไม่ได้ออกไร่ เชิญค่ะ” แม่ชื่นนำหน้าพาทั้งคู่เข้าไปนั่งรอในห้องรับแขกส่วนตัวด้านในสุดของบ้าน
น้ำแดงโซดาเย็นๆ ถูกเด็กรับใช้นำมาเสิร์ฟตามคำสั่งคุณป้าชื่น จรัสพงษ์กับพิมพ์กานต์จิบกันไปจนเกือบหมดแก้วรู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยต่างคนต่างความรู้สึก จรัสพงษ์เป็นกังวลเรื่องสวัสดิภาพของเด็กที่รักดั่งลูกสาวจนต้องคิดเรื่องที่จะพูดกับการินซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว ส่วนพิมพ์กานต์...เธอไม่รู้ว่าจะคิดยังไงดี กลัวมั้ยเธอก็ไม่รู้ เขาเป็นคนยังไงเธอเองก็ไม่รู้ เธอจึงคาดเดาอะไรไม่ได้สักอย่างได้แต่นั่งใจเต้นอย่างเดียว
“หวัดดีครับ อาพงษ์” เสียงทุ้มๆ ทักทายจรัสพงษ์ดังอยู่ด้านหลังพิมพ์กานต์ เธอนั่งหันหลังให้ทางเข้า
“หวัดดี ริน”
“หวัดดี .. พิมพ์กานต์” การินเอามือวางบนไหล่พิมพ์กานต์บีบหนักๆ ทักทาย เธอนั่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าหันกลับไปมองใจเต้นไม่เป็นส่ำ สะดุดใจสะดุดหูนิดๆ กับเสียงคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินที่ไหน
“ริน อาขอคุยด้วยหน่อย” จรัสพงษ์เห็นท่าทีของการินแล้วหวั่นใจยิ่งนัก เขารีบดันตัวการินไปอีกห้องนึงทันที
“ริน เวลามันก็ผ่านไปนานแล้ว อาคิดว่ารินจะคลายความทุกข์ความแค้นไปได้บ้างแล้วนะ ทำไมรินยังเก็บเอาไว้ให้ตัวเองต้องทุกข์ทรมาน แล้วไม่พอยังต้องไปเอาคนอื่นมาเกี่ยวข้องสร้างบาปให้เป็นเวรเป็นกรรมต่อเนื่องกันไปอีก ทำไมรินไม่ปล่อยวางบ้างล่ะ”
“ปล่อยวางงั้นเหรออาพงษ์? ผมจะปล่อยวางได้ยังไง แม่ผมอยู่ห่างไปไม่ถึงกิโลผมยังไม่สามารถไปหาแม่ไปกอดแม่ได้เลยสักครั้ง! อาพงษ์จะให้ผมปล่อยวางได้งั้นเหรอ?!” การินเข่นเขี้ยวแต่ก็ไม่กล้าโวยวายใส่คนที่เปรียบเสมือนพ่ออีกคนนึง
“อาเข้าใจว่ารินเจ็บปวดแต่ถ้ารินยิ่งตอกย้ำมีแต่จะทำให้ตัวเองต้องทุกข์ระทม อาเคยบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าพิมพ์กานต์กับแม่น่ะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยนะ รินไปเอาตัวน้องมากักขังไว้ที่นี่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้รินสร้างบาปกรรมให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว”
“น้อง? อาพงษ์เรียกยัยนั่นว่าน้องเหรอ? ยัยนั่นเป็นน้องผมตั้งแต่เมื่อไหร่? ผมไม่มีน้อง!” การินสบัดหน้าอย่างขัดใจ
“อาเลี้ยงพิมพ์มาเกือบสิบปี อารักพิมพ์เหมือนลูกสาวอาคนหนึ่งอาขอบอกให้รินรู้เอาไว้เลย แต่อาจะไม่ขอร้องรินให้ปล่อยพิมพ์ไปหรอกนะ เงินทุกบาททุกสตางค์ของรินที่อาขอมา อาเอาไปเลี้ยงดูพิมพ์กานต์ทั้งหมด ทั้งส่งเสียทั้งให้การศึกษาซึ่งพิมพ์ก็ไม่ได้ทำให้ค่าเงินของรินเสียไปเลยแม้แต่บาทเดียว พิมพ์เป็นเด็กดีขยันตั้งใจเรียนเป็นที่รักของครูบาอาจารย์ เพื่อนๆ รวมทั้งอาและพี่ขวัญด้วย พิมพ์ไม่เคยทำให้อากับพี่ขวัญผิดหวังเลยสักเรื่อง”
“งั้นแปลว่าอะไร? แปลว่าอาจะให้ผมปล่อยนังเด็กนั่นลอยนวลไปเฉยๆ ปล่อยให้มันไปลอยหน้าลอยตามีความสุขกับแม่มันหลังจากมาทำลายครอบครัวผมย่อยยับ ปล่อยให้มันมีอนาคตจากต้นทุนชีวิตที่สร้างจากเงินของผมงั้นเหรอ!”
“ก็ไม่ใช่แบบนั้นริน ฟังอาก่อน อาก็เห็นควรว่าพิมพ์ควรตอบแทนรินบ้างเพราะถึงแม้รินจะไม่เห็นด้วยในการกระทำที่อาได้ทำลงไปซึ่งนั่นจริงๆ แล้วก็ดีกับตัวรินเอง ถึงมันจะผิดจากแผนที่รินวางไว้จากที่จะให้เอาเด็กนั่นไปทิ้งให้เป็นคนใช้แต่อาตัดสินใจเอาไปให้ยายขวัญเลี้ยง ยังไงเสีย...เงินทั้งหมดที่เลี้ยงดูพิมพ์กานต์มาก็เป็นเงินของรินและก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ อาใส่ตัวเลขลงไปเต็มที่เพื่อที่จะเอาไว้ดูแลพิมพ์กานต์จนโต และตอนนี้เธอก็โตแล้ว เรียนจบปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ1จากมหาวิทยาลัยชื่อดังของอังกฤษ อาเห็นว่าเธอก็ควรตอบแทนรินถึงแม้รินจะไม่รู้ว่าได้ให้อะไรแก่เธอไปก็ตาม”
“มันก็แน่อยู่แล้ว ถึงผมจะรู้หรือไม่รู้แต่ความจริงที่ว่ายัยนั่นมีวันนี้ได้ก็เพราะเงินผมนั่นแหละ มันก็สมควรที่จะต้องชดใช้ให้ผมมั่ง”
“อาจะให้พิมพ์อยู่ที่นี่เพื่อ ตอบแทน ที่รินให้อนาคตแก่เธอ เพราะถึงแม้อาจะอยากพาพิมพ์หนีไปไหนๆ อีกอาก็เชื่อว่ารินก็จะต้องตามจนเจอ อาจึงตัดสินใจให้พิมพ์อยู่ที่นี่เพราะอยากให้พิมพ์ได้ตอบแทนรินส่วนนึง อีกส่วนนึงอาจะให้พิมพ์อยู่เพราะในสักวันนึงรินจะเข้าใจว่าทั้งสองคนแม่ลูกนั่นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเศร้าในครอบครัวรินเลยสักนิด เราทั้งหมดจะได้หลุดจากห้วงความแค้น รินจะเป็นอิสระจากความทุกข์ที่กัดกินหัวใจมาเป็นเวลาหลายปี อาหวังอย่างยิ่งว่าวันนั้นจะมาถึงในเร็ววัน”
“........” การินนิ่งไป
“อามีข้อตกลงขอให้รินทำตาม ไม่เช่นนั้น ณ วันนี้อาก็ยังมีเพาเวอร์พอที่จะใช้กฎหมายเพื่อช่วยพิมพ์กานต์ เธออายุยังไม่ถึง 20 ซึ่งอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเธอก็จะบรรลุนิติภาวะ ตอนนี้ถ้าหากอาจะขัดขืนอาก็ทำได้ และอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าถ้าพิมพ์จะต่อสู้เธอก็จะสู้ด้วยตัวเองได้แล้ว รินทำอะไรตามใจอีกไม่ได้แล้ว เพราะงั้น...เรามาตกลงกัน”
“....อาก็ว่ามาสิครับ จะตกลงว่าไง” การินเสียงอ่อนลงเพราะชายสูงวัยกว่าเริ่มมีทีท่าเอาจริง
“ข้อแรก..อาจะให้พิมพ์อยู่ที่นี่ในฐานะ หลานสาว ของอาโดยที่รินต้องแนะนำกับใครๆ ว่าอย่างนั้น ข้อสอง..รินจะให้พิมพ์ช่วยงานในไร่หรืองานเอกสารหรืองานใดๆ ก็ได้ตามแต่ที่รินเห็นควรแต่ต้องไม่ทำลายเกียรติของเธอต่อหน้าคนอื่นๆ ข้อสามสำคัญที่สุด..ห้ามใช้กำลังทำร้ายร่างกายเธอเด็ดขาด! อาขอเตือน ถ้าอาเห็นว่าพิมพ์โดนทารุณกรรม อาจะเอาพิมพ์ออกจากที่นี่ทันทีและเราคงไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก” จรัสพงษ์บอกเสียงกร้าว
“ก็ได้ครับอาพงษ์ ผมก็ไม่ใช่ยักษ์ใช่มารอะไรที่ไหน จะไปทำอะไรลูกสาวสุดที่รักของอาได้” การินรับคำหางเสียงน้อยใจนิดๆ
“ขอบใจนะริน อารักริน รักพิมพ์เหมือนลูกชายลูกสาวทั้งสองคน สำหรับรินอาเห็นมาแต่เล็กแต่น้อยรินก็เหมือนลูกชายของอา อารักและหวังดีกับรินเสมอ อาอยากให้ลูกทั้งสองของอาเข้าใจกันได้ วันนั้นคงเป็นวันที่อามีความสุขมาก อาอยากให้รินหลุดพ้นจากความทุกข์ซึ่งคงจะเป็นสักวันนึงในอนาคตข้างหน้า วันนี้รินยังปิดกั้นความรู้สึกและไม่ยอมรับอะไรหลายๆ อย่างแต่อาก็หวังอย่างยิ่งว่าจะมีวันที่รินยิ้มได้เต็มที่หัวเราะได้เต็มเสียงเหมือนก่อน อาอยากพบเด็กหนุ่มที่ร่าเริงคนนั้นอีกครั้ง”
“เด็กคนนั้นตายไปเมื่อหลายปีก่อนแล้วครับอา คงไม่กลับมาอีกแล้วละ”
“แต่อาเชื่อว่าวันนึงเขาจะกลับมา”
พิมพ์กานต์จะทำให้เด็กคนนั้นกลับมาอีกครั้ง จรัสพงษ์คิดต่อในใจ
เขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าพิมพ์กานต์จะดึงการินกลับมาเป็นคนเดิมได้ เธอจะเติมเต็มทุกสิ่งที่การินขาดหายไป ภาพลักษณ์เธอสวยงามน่ารักแต่จรัสพงษ์รู้ดีว่าพิมพ์กานต์นั้นเข้มแข็งยิ่งนัก ขอเพียงให้เธอทนไหวจรัสพงษ์เชื่อว่าพิมพ์กานต์จะช่วยการินได้แน่ เขาเองก็ไม่อาจจะทนเห็นการินเป็นเช่นนี้ไปตลอดชีวิตได้ จะเรียกว่าเสี่ยงที่เอาเนื้อมาส่งเข้าปากเสือแต่เขาก็ยอม เขารักทั้งการินและพิมพ์กานต์ หัวอกคนเป็นพ่อ...ถึงแม้จะเสี่ยงเขาก็ยอม
“ผมตกลงแล้วนะครับ อาคงพอใจแล้ว” การินยังคุกรุ่นที่จรัสพงษ์แสดงอาหารห่วงใยพิมพ์กานต์ออกนอกหน้า
“อาพอใจ แล้วอาก็หวังว่ารินจะค้นพบสิ่งที่หายไปในชีวิตนะ อารักรินนะลูก” จรัสพงษ์ดึงการินเข้ามากอด
“ผมก็รักอาครับ” ชายหนุ่มกอดตอบรู้สึกอบอุ่นขอบตาชื้นๆ ร้อนผ่าว
“ไปเถอะ...ไปพาพิมพ์ไปห้องพักเถอะ” จรัสพงษ์ตบไหล่หลานชาย
“ครับ..” การินรับคำปรับสีหน้าเป็นปกติเมื่อนึกถึงหญิงสาวที่อยู่ห้องรับแขก แววตาคุกคามกลับมาอีกครั้ง
‘เธอเป็นของฉันแล้ว พิมพ์กานต์’ การินแสยะยิ้ม พิมพ์กานต์เวลานี้ก็เหมือนลูกไก่ที่เขารอเวลาจะเคี้ยวให้กระดูกกรอบไปทั้งตัวเลยทีเดียว!