หนองน้ำอุ่นที่อบร่ำร่างระหงมีกลิ่นกำมะถันลอยปะปนอยู่เจือจาง
เมื่อเคล้าเข้ากับเสียงพิณแว่วแผ่ว ในทำนองหวาน ช่วยให้หลิวหงเหินผ่อนคลายกับภาวะแวดล้อมอยู่ไม่น้อย
" ได้แช่น้ำแร่ ท่ามกลางเสียงพิณขับกล่อม นับว่าผู้อาวุโสตอนรับผู้เยาว์ได้สุนทรีย์นัก "
หลิวหงเหินประสานมือคารวะกล่าวไปกับอากาศ ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนแช่น้ำแร่ พร้อมทั้งโคจรลมปราณเรื่อยแล่นภายใน...
มันสงบนิ่ง อบอุ่น ราวกับลอยล้าอยู่ในครรภ์มารดา...
....ทว่าความสงบสุขของผู้คนช่างแสนสั้นนัก...
เมื่อมีผงธุรีล่วงหลุดจากชั้นหินด้านบน ที่ซึ่งมีหินงอกหินย้อยดารดาษรอบโพรงที่มันหลุดรอดมา ปรากฏเศษหินเล็กบ้างใหญ่บ้าง ทยอยตกกระทบผิวน้ำดัง ต่อม แต่ม ต่อม แต่ม...
กระทั้งโพรงถ้ำหินสลายเป็นเศษหิน ล่วงกราวลงมาจากเบื้องบน ทำเอาหลิวหงเหินต้องกระโดดขึ้นจากหนองน้ำ หลบเลี่ยงการถูกหินถล่มใส่ไปชั่วอึดใจ
ร่างระหงเกลือกกลิ้งไปกับพื้น ท่ามกลางเสียงโครม คราม ที่ภูผาหินกำลังถล่มทลาย
" เฝิงหวง !....ท่านยินยอมพบหน้าข้าพเจ้าแล้ว !....ท่านปลดปล่อยข้าแล้ว...! "
ชายพิการทะยานออกจากโพรงหินที่กำลังพังทลาย พร้อมกับกู่ร้องตะโกนลั่นอย่างบ้าคลั่ง
ร่างมอซอของมันเผ่นพริ้วลงโฉบผิวน้ำ แล้วใช้ไม้เท้าสะกิดส่งพลังจนร่างมันลอยพุ่งเลยหนองน้ำ มุ่งตรงไปยังทางเข้าที่มีม่านไข่มุกตระการตา
ทว่าเทพกระบี่มรณะพลันต้องชะงักค้างกลางอากาศ ทันทีที่มีแสงสว่างวาบส่องออกจากม่านไข่มุก
...โลกหล้าล้วนหยุดนิ่ง สรรพสิ่งไร้ความไหวติง แม้แต่ลมหายใจยังแทบไม่รู้สึกว่ามีอยู่
" มุสิกโฉดชั่ว ! ไสหัวไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ อย่าได้เข้ามาใกล้กว่านี้...ข้าไม่ปราถนาจะพบเจ้าทั้งชีวิต ! "...เสียงจากหลังม่านไข่มุกแผดก้อง
สะท้อนสะท้านจนใบหน้าทรุดโทรมของมันเจ็บปวดสุดแสน เบ้าตาที่มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่เฉือนผ่านทั้งสองตา มีน้ำใส่ๆไหลซึมออกมาทั้งสองข้าง
...มันต้องทรมานประมาณไหน จึงจะหลั่งอุทกออกจากดวงตาอันบอดสนิทได้
หลิวหงเหินเหม่อมองมันด้วยใจสั่นเทา ทั้งสมเพชเวทนาปะปนอยู่กับความหวาดวิตกอันตราย
แต่แล้วความน่ากลัวภยันตรายพลันขยายเพิ่มขึ้น เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าตรงหน้าผากของเทพกระบี่ ปรากฏเงามืดดำแผ่ขยายเป็นรัศมีสีดำเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น
...ที่แท้บนหน้าผากมันมีจักรกาลสีดำฝั่งตรึงอยู่ !
จักรกาลนั้นแผ่ขยายเงามืดดำแทนที่จะส่องแสงสว่าง อย่างที่หลิวหงเหินเคยเห็นมา ร้ายที่สุดคือถ้าเงามืดส่องสัมผัสไปที่ใด ณ จุดนั้นจะกลับกลายสภาพเป็นแห้งกรังผุกร่อน ผิวแตกระแหงเป็นเสี่ยงๆ
เพียงอึดใจผนังหินพลันล่วงหลุดเป็นเศษธุรี ถล่มทลายลงตามเงามืดที่เคลือบคลุม
ทันทีนั้นมันจึงสามารถเขยื่อนขยับตัว กระโดดหนีจากแสงออกมาหยัดยืนด้วยสองไม้เท้าเหล็ก
" เฝิงหวงเหตุใดท่านแร้งน้ำใจนัก หรือสิบกว่าปีมานี้ยังไม่เพียงพอชดใช้หนีให้ท่าน หรือดวงตาสองข้างของข้ายังไม่เพียงพอให้ท่านอภัยให้ข้า...." เทพกระบี่กู่ร้องเสียงเครือ คล้ายจะร่ำไห้คร่ำครวญแล้ว
ฮึ ฮึ ...เสียงหัวเราะเหยียดหยัน เยาะเย้ยมากับคำเหน็บแนมอันแสบสัน
" ดวงตาหนูโสโครกเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่ต้องการ แม้แต่ชีวิตเจ้าก็ไร้ความหมายต่อข้าพเจ้า ...ยังไม่รีบไสหัวไป ! "...
เสียงนางจากภายในเปล่งก้องมาพร้อมพลังปราณแกร่งกล้า จนเศษหินเล็กหินน้อยสะเทือนเขยือนไหว
" เฝิงหวง !...ท่าน ! ท่าน ! ...." มันร้องร่ำราวคนเสียสติ ซ้ำยังตวัดสองไม้เท้าปล่อยพลังปราณกรีดเฉือนไปทั่ว
ทำเอาหลิวหงเหินต้องกระโจนหลบเลี่ยงพลังปราณอันกราดเกรี้ยวเป็นพัลวัล...
" เป็นเจ้าเองรึที่ทำให้เฝิงหวงไม่ใยดีข้า ! "..
ชายพิการหันมาคำรามดุดันต่อหลิวหงเหินทันที ที่สัมผัสถึงการเคลื่อนไหว
" ผู้อาวุโสเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ?...ผู้เยาว์เป็นชนรุ่นหลัง ไหนเลยจะเป็นศตรูหัวใจของท่านได้ ? "...หลิวหงเหินกล่าวพลางโคจรลมปราณวนรอบกาย เพราะแน่ใจว่าชายพิการเบื้องหน้า กลายใกล้เสียสติอยู่เต็มประดา
" เดรัจฉานแซ่เจินยังกล้าหลอกลวงผู้คนอีก !.. มา มา...มาประลองให้แตกหักกันเถิด ! "...
มันกล่าวลั่นราวฟ้าคำราม ผสานเข้ากับท่าร่างเพลงกระบี่สุดล้ำลึก คลี่คลุมรอบกายชายร่างระหงไว้ทุกด้าน
หลิวหงเหินเลือกที่จะเบี่ยงหลบ โดยพุ่งพริ้วไปทางเข้าที่มีม่านไข่มุกห้อยระย้า
ทว่ามันกลับเชื่องช้ากว่าไม้เท้าเหล็กไปเสี้ยวอึดใจ พลังปราณแกร่งกล้าพุ่งเข้ากระทบไหล่ซ้ายหลิวหงเหิน จนร่างมันปลิวกระเด็นผ่านม่านไข่มุก เข้าสู่ภายในอันแปลกประหลาดตา
ร่างระหงลอยลงกระแทกพื้น พร้อมสำลักโลหิตออกมาคำใหญ่ แต่ชายหนุ่มยังไม่วายชื่นชมเพลงกระบี่อันเยี่ยมยอดมิได้
เสียดายที่มันไม่ได้ชื่นชมเพลงกระบี่อันพิสดารตามต่อ เพราะชายพิการได้สะกดตนไว้เพียงปากทางเข้า หาได้ล่วงล้ำเข้าสู่ภายใน
" เจ้าเดรัจฉานอย่าได้หดหัวหุบหาง รีบออกมาตัดสินแตกหักโดยพลัน เจ้ากลายเป็นคนขลาดเขลาไปแล้วหรือ เจินเซิงตง ! "...
มันร่ำร้องเครียดแค้น พลางฉายรังษีดำทะมึนออกจากหน้าผาก โฉบฉาบจนม่านไข่มุกสลายเป็นเศษผุกร่อนร่วงกราว
หลิวหงเหินต้องรีบขยับถอยหนี สายตาก็สอดสายไปรอบๆ มองดูความเป็นไปภายใน...
แล้วชายร่างระหงมีอันต้องเบิกตากว้าง เมื่อพบว่าสิ่งที่แวดล้อมตนหาใช้ผนังถ้ำคับแคบอีก แต่มันเป็นช่องหน้าผาเปิดโล้ง โดยมีขุนเขาตระหง่านตั้งเป็นกำแพงสูงระฟ้า อยู่ด้านตรงข้าม
ที่น่าตื่นตระหนกคือขุนเขาลาดชันนั้น ปรากฏสิ่งปลูกสร้างติดกับผนังหิน เหมือนเป็นเจดีย์เรียงซ่อนกัน12ชั้น ที่ชั้นบนสุดมีแผ่นโลหะทรงกลมครึ่งขาวครึ่งดำ ขนาดเท่าสำเภาลำใหญ่ สูงเสียดวับวาวอยู่กลางฟ้า....
ส่วนด้านล่างสุด มีเก๋งทรงแปดเหลี่ยมปลูกสร้างอยู่หน้าเชิงผา บนหลังคาเก๋งมีรูปสลักนกศักดิ์สิทธิ์ วางพาดอยู่ทั้งแปดมุมหลังคา
" นกเฝิงหวงอย่างนั้นซินะ !..." หลิวหงเหินพึมพำกับตัวเอง ขณะขบคิดถึงโครงสร้างต่างๆที่มันมองเห็น
...นกเฝิงหวงมีหัวเป็นไก่ฟ้า ปีกหงษ์ หางนกยูง กรงเล็บอิทรี ....จัดเป็นนกวิเศษที่ปรากฏเมื่อใดจะสร้างความรุ่งเรืองแก่บ้านเมือง ...
ถ้าเก๋งน้อยนั้นคือนกเฝิงหวง แล้วอาคารที่ติดกับผนังหินนั้นละคืออะไร ?.....
" วังมังกร..."
มันอุทานอย่างลืมตัว แล้วเหลียวมามองภายในเก๋งน้อยอีกครั้ง เพราะภายในเก๋งยังมีสองหญิงสาวนั่งผนึกลมปราณ อยู่หลังพิณประดับมุกเรือนงาม
ส่วนซึ่งแวดล้อมเก๋งล้วนอุดมด้วยแปลงดอกไม้หลากสายพันธุ์ โดยท่ามกลางกลุ่มดอกไม้ยังมีชายวัยกลางคนสวมใส่ขุดขาวราวหิมะ ประหลาดที่มันยืนหยุดนิ่งในท่ารำเพลงกระบี่วิชาใดวิชาหนึ่ง
" เจ้าเองรึ คนโฉดชุดคราม ? ....ที่ชอบล่อลวงเด็กสาวให้เจ็บตัวแทน ! "
เสียงกังวานใสของหญิงสาวในเก๋ง ทำเอาหลิวหงเหินสะดุ้งตัวโยน
ผู้กล่าวเป็นหญิงวัยกลางคน ที่มีเคล้าโครงหน้าสามัญธรรมดา ไม่งดงามจับตา ไม่ขี้ริ้วน่ารังเกียจ เป็นหญิงที่พบได้ดาษดื่นทั่วไป แม้แต่เสื้อผ้ายังเป็นผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ ย้อมสีเขียวอ่อนดั่งหญ้าแพรกแรกผลิ
มือข้างหนึ่งของนางร่ายพรมเหนือพิณประดับมุก ส่วนมืออีกข้างประกบอยู่หลังเด็กสาว ที่กำลังนั่งโคจรลมปราณอยู่ด้านข้างนาง
" ผู้น้อยหลิวหงเหิน น้อมคารวะผู้อาวุโส "
ไม่ทันที่หญิงสาวในเก๋งจะเอ่ยทักทายตอบ เงาทะมึนเป็นวงกลมพลันสาดความมืดเข้าสู่แปลงดอกไม้ จนดอกไม้ต้องแห้งเหี่ยว ร่วงหลุดไปกับตา
" เจินเซิงตงออกมาเถิด มาตัดสินแพ้ชนะกันเสียที "...ชายพิการยังคงแผดเสียงท้าทาย คล้ายคิดระบายโทสะเข้ากับการโรมรันครั้งนี้ให้สิ้น
" คนโฉดชุดคราม เจ้ามานี่ ข้าจะบอกวิธีขับไล่มุกสิกโฉดชั่วนั้นให้ "...นางกล่าวเยียบเย็น โดยไม่ปรายตามองหลิวหงเหินด้วยซ้ำ
หลิวหงเหินได้แต่กุมไหล่ที่บาดเจ็บเดินดุ่มเข้าใกล้ ใจนึกไปถึงเพลงกระบี่อันลึกล้ำ ที่มันไม่อาจต้านรับสักเพียงครึ่งท่า ไหนเลยจะใช้เวลาอันสั้นเรียนรู้วิชาขับไล่มันได้
" ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปสัปยุทธกับมันหรอก อย่าได้วิตกไป เด็กโง่ ! "...
นางกล่าวดั่งอ่านใจคนออก ก่อนแย้มยิ้มมุมปาก แล้วปล่อยมือจากการบรรเลงพิณ เอื้อมมือมาหยิบปิ่นหยกยื่นส่งให้ชายหนุ่ม
" เจ้านำปิ่นนี้ไปส่งมอบให้มัน แล้วให้มันกระทำตามสัญญาในคืนจัทรคราสให้เสร็จสิ้นก่อน ค่อยมาพบข้าพเจ้า...เจ้ากระทำที่ข้าพเจ้าบอกได้หรือไม่ ? "...นางกล่าวกำชับ พร้อมกับเหลือบดวงตาสุกสกาว มองชายหนุ่มราวแสงดาวห่อหุ้มมันไว้
" ฮิ ฮิ ฮิ...เจ้าคนโฉดชุดครามไม่โง่งมนักหรอกมารดา รับรองเรื่องแค่นี้มันทำได้แน่ '
เด็กสาวเบือนหน้ามากล่าวแย้มยิ้ม ทั้งที่ยังนั่งขัดสมาดโคจรลมปราณ โดยมีฝ่ามือมารดาทาบหลัง กำลังถ่ายเทลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บภายใน
" ยังจะมาพูดดีอีก เจ้าด็กซุกซน !...ไม่ใช้เพราะเจ้าปล่อยมันหรอกรึ เราถึงต้องมาอยู่ในลักษณะนี้ ! "...
" โธ่ !..มารดา !. ถ้าสืบสาวราวเรื่องกันจริงๆ ต้องโทษคนร้อยพิษนั่น เพราะฝีมือมันลึกล้ำเกินไป ข้าพเจ้าเลยต้องพึ่งพาคนอื่นช่วยเหลือ ถ้าไม่อย่างนั้นซียี้คงไม่ได้กลับมาพบหน้ามารดาแล้ว "...
เด็กสาวเจรจาหน้าเป็น แก้มนางเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาด แตกต่างจากเด็กสาวหน้าซีดเซียวเมื่อครู่ เป็นคนละคน
" ช่างฉอเลาะนักนะเจ้า !...ยังไม่รีบโคจรลมปราณอีกรอบ อาการของเจ้ายังไม่หายดีหรอกนะ "
" ค่ า า า....ผู้น้อยรับบัญชา ฮิ ฮิ..."
เด็กสาวตอบรับแย้มยิ้ม ก่อนจะหันมาหลับตา ผนึกลมปราณตามคำสั่งมารดา
ส่วนเฝิงหวงจึงใช้อีกฝ่ามือประกบหลังบุตรี พร้อมทั้งพรั่งพรูลมปราณ ถ่ายถอดพลังรักษาภายในนาง
หลิวหงเหินจ้องมองมือขวาของจูกัดเฝิงหวงเขม็ง เพราะมีจักรกาลสีเงินเงางามฝังตรึงติดอยู่บนนั้น นั่นคงเป็นจักรกาลที่หยุดเวลาได้แน่แท้แล้ว
" เจ้ายังไม่รีบไป จะรอให้มันถล่มทลายภูเขาให้สิ้นก่อนหรือไร ? " นางกล่าวกำชับเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหน้าแล้วหลับตาเร่งรุดลมปราณสู่บุตรีอย่างมุ่งมั่น
ชายร่างระหงเคร้นครึงปิ่นหยกในฝ่ามือ สลับกับการมองช่องทางศิลา ที่กำลังผุกร่อนล่วงสลายลงที่ละน้อย ที่ละน้อย เพราะจักรกาลของชาบพิการคงเร่งสลายให้สรรพสิ่งสูญสิ้นอายุไขเร็วขึ้น เร็วขึ้น...
ไม่เสียแรงได้ฉายาเทพมรณะจริงๆ...
ชายหนุ่มบ่นพึมพำขณะเดินเชื่องช้าผ่านชายชุดขาวกลางแปลงดอกไม้ ซึ่งบัดนี้ขยับกายมาอีกคืบ ....ที่แท้มันไม่ได้หยุดนิ่ง หากแต่เคลื่อนขยับได้เชื่องช้ากว่าเต่าคลานเสียอีก...
" เจินเซิงตงยังไม่รีบออกมา เจ้าเป็นเต่าหดหัวไปแล้วหรือไร "
เทพกระบี่มรณะร่ำร้องราวเสียสติ ทันทีที่หลิวหงเหินเดินมาถึงปากทางเข้า
" มาแล้วท่านเทพกระบี่ ข้าพเจ้ามีสาส์นมาส่งมอบแด่ท่าน หากท่านมุทะลุใช้กำลังมากเกินไป เกรงว่าสาส์นจะไม่ถึงมือนะ "
ถ้อยคำของหลิวหงเหินทำเอาชายพิการชะงักงัน พร้อมทั้งเงี่ยหูฟังผู้เข้ามาใกล้
" เป็นสาส์นอันใด ? ส่งมอบมา ! "...มันกล่าวเร่งร้อน พลางปักไม้เท้ากับพื้น แล้วยื่นมือมารับปิ่นหยกไว้ในมือ
มือหยาบกร้านของมันเคร้นครึงปิ่นหยกอย่างลุ่มหลง ปากบ่นพึมพำแต่คำว่าเฝิงหวง เฝิงหวง
หลิวหงเหินได้แต่ส่ายหัวอย่างเวทนา....ที่กล่าวว่ารักไม่เคยฆ่าคน นั้นจริงหรือ ?....
….ต่อให้ใช้ดาบฟันคอคนให้ด้าวดิ้น ยังเทียบไม่เท่ากับความเคลิ้มฝันที่อิสตรีมอบให้....
" นางมีคำกล่าวมาแจ้งข้าหรือไม่ ? " เทพกระบี่กล่าวอย่างเคลิ้บเคลิ้ม ใบหน้าปะปนทั้งโกรธขึง เศร้าตรม และอมยิ้มเปี่ยมสุข...
" นางว่า ให้ท่านทำตามสัญญาในคืนจันทรคราสให้เสร็จสิ้นก่อน ค่อยมาพบนาง ! "...
คำกล่าวเรียบสั้นของชายหนุ่ม กระตุ้นให้เทพกระบี่กระปี่กระเป่า ราวถูกพลังจากฟากฟ้าเร่งส่งแรง...มันปรี่เปรมร้องก้องกังวาน
" ถูกต้องแล้ว ข้าต้องทำตามสัญญา ! ถูกต้อง ! ถูกต้อง !...ข้าต้องไปหาจ้าวจักรกาล ! "...มันคึกคักขึ้นอักโข แล้วจึงคว้าไม้เท้ามั่นไว้ในมือ คิดจะถาโถมออกจากโพรงถ้ำที่ผ่านเข้ามา
ทว่าเทพกระบี่ยังเชื่องช้าไปครึ่งก้าว เพราะมีสองเงาร่างกระโจนฝ่ามาจากโพรงธารน้ำ ก่อนมันเพียงชั่วอีดใจ
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า...ท่านหลงกลนางแล้วเทพกระบี่มรณะ ! หากจะหาตัวจ้าวจักรกาลไม่ต้องไปไกลนักหรอก เพราะมันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้เอง ! "...
ผู้กล่าวคือเซียนโอสถที่ลอยละล่องมากับการหิ้วชายชราผมหงอกขาวไปทั้งศรีษะ
มันล่อนร่างลงหยัดยืนกับพื้น พร้อมกับปล่อยชายชรากระแทกพื้นอย่างไม่ใยดี รวดเร็วพอๆกับไม้เท้าหัวมรกตของมันพลันจี้ตรงเข้าที่ต้นคอหลิวหงเหิน
เพียงชั่วอึดใจผู้เฒ่าก็ควบคุมสถานการณ์ไว้หมดสิ้น !...
มันควบคุมจิตใจเทพกระบี่ ใช้อาวุธคร่ากุมหลิวหงเหิน และเหนืออื่นใดคือมันสยบอาจารย์ของตน ให้กลับกลายเป็นชายชราวัย80 กว่า ที่แทบขยับตัวไม่ขึ้น
" เจ้าหมายความว่ายังไงเซียนโอสถ ? จ้าวจักรกาลอยู่ทีใดกันแน่ ? "...ชายพิการร้องถามรนราน ราวมีไฟสุม
เซียนโอสถหัวร่อเหี้ยมเกรียม พลางชี้ตรงไปที่ผาสูง ซึ่งมีอาคารปลูกสร้างไปถึงยอดเขา ...
" มันอยู่ที่นั้นมาตลอด นั้นล่ะคือวังมังกร !..."
ทุกศัพธ์สำเนียงกลับเงียบหายไปกับคำของมัน มีเพียงจอมพิษเฒ่าที่นอนอยู่แนบพื้นเท่านั้น ที่แค่นหัวร่อเจ็บปวด พลางกล่าวราวคลุ้มคลั่ง
" วังมังกร วังมังกร ...เป็นวังอันบัดซบของจ้าวจักรกาลจริง ๆ ”