" ข้ามันตัวโง่งม...โง่งมยิ่งนัก... ฮ่า ฮ่า ฮ่า..." ปรมาจารย์พิษหัวเราะแห้งโหย สุดเวทนา
" ข้ารอนแรมเดินทางไกลพันลี้ ทำร้ายชีวิตนับหมื่นนับพัน ที่แท้มันอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกนี่เอง ! "...ปรมาจารย์พิษที่หัวร่อทั้งน้ำตา มันเงยหน้าขึ้นฟ้าราวเย้ยหยันลิขิตสวรรค์
" ท่านอาจารย์อย่าได้ทดท้อไปนัก รักษาชีวิตน้อยๆของท่านไว้ ให้ข้าสะสางบัญชีที่ละนิดเถิด" เซียนโอสถคล้ายจะกลายเป็นปีศาจชำระแค้น มันก้มลงกล่าวกับปรมาจารย์ก่อนจะหันไปพูดดุดันกับหลิวหงเหิน...
" จอมยุทธหลิวเป็นเพราะท่านแท้ๆ ที่ทำให้ข้าพเจ้ามีวันนี้ ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก " มันกล่าวเทิดทูลแต่น้ำเสียงช่างเหน็บแนม เสียดเย้ยจนหลิวหงเหินรู้สึกเป็นตัวโง่งมในพริบตา
" ท่านทุ่มเทอยู่ในเกาะนี้มานับสิบๆปี ยังไม่อาจขึ้นสู่วังมังกรไปหาจ้าวจักรกาลได้ ท่านเชื่อจริงๆเหรอว่าข้าพเจ้าที่เพิ่งมาเยือนเกาะนี้ไม่กี่วัน จะหาหนทางไปพบจ้าวจักรกาลได้ง่ายดายเพียงนี้ " ชายหนุ่มกล่าวทีเล่นทีจริง สายตาก็สอดส่ายหาทางรอดไปทั่ว
" โอ !.. เรื่องอยากเย็นในการหาจ้าวจักรกาลข้าพเจ้าไม่รบกวนเจ้าหรอก แค่เจ้าปลดปล่อยเทพมรณะได้ เพียงนำอาจารย์ข้ามาอยู่ในจุดอับจนเช่นนี้ ก็นับเป็นคุณแก่ข้ามากแล้ว ถึงครานี้ท่านสมควรได้รับรางวัลตอบแทนอย่าสาสมแล้ว ! "...
เพียงสิ้นเสียง หัวไม้เท้ามรกตพลันสว่างวาบอาบไปทั่วร่างกาย จนหลิวหงเหินรู้สึกถึงพลังบ่าทะลักเข้าร่างกาย ทำให้มันร่วงลงไปคุกเข่ากับพื้นเคียงข้างปรมาจารย์พิษที่โรยรา
" ที่แท้วิญญูชนจอมปลอมอยู่นี่เอง เสียดายข้ามีตาหามีแววไม่ " เสียงเยียบเย็นจากเก๋งน้อย ลอยล้อมาขัดขวางการทำร้ายผู้คนของมัน
" แม่นางจูกัดเฝิงหวง ต้องรบกวนท่านแล้ว ท่านรับภาระเฝ้าวังมังกรมาหลายปีดีดัก วันนี้สมควรล่าถอยให้ข้าพเจ้าเข้าพบมันเถิด "...
เซียนโอสถกล่าวพลางปลดผ้าหนังแพะลงจากหัว เผยให้เห็นศรีษะโล้นเลี่ยน ที่ซึ่งบนกระหม่อมเบื้องบนปรากฏจักรกาลสีทองอล่ามเรืองรองอยู่
" เซียนโอสถท่านสมควรทราบซึ้งกับคำว่า การก่อกำเนิดมักเริ่มจากความเจ็บปวดเสมอ....ท่านรู้อยู่เต็มอกว่าจักรกาลให้คุณแก่ท่านมิใช่น้อย เหตุใดต้องเคืองแค้นจ้าวจักรกาลด้วยเล่า ? "....เสียงเยียบเย็นของนางเลื่อนไหลมากับสายลมเบาบาง
" แม่นางเฝิงหวง ท่านมาที่นี้เพราะแรงปราถนาในความรู้ไม่ยิ่งหย่อนไปจากข้า แต่การถูกคุมขังไว้เช่นนี้ สรรพวิชาที่เราเรียนรู้จะไม่สูญเปล่าไปหรอกหรือ "
" ฮิ ฮิ ...ท่านกล่าวน่าฟังยิ่ง แต่พฤติกรรมโฉดชั่วเกินไป เทพมรณะท่านว่าข้าพเจ้ากล่าวถูกต้องหรือไม่ ? "...
เซียนโอสถหรี่ตามองชายพิการอย่างไม่ไว้วางใจนัก ที่ผ่านมามันช่วงใช้เทพมรณะได้เพราะอ้างชื่อเฝิงหวง แต่ยามนี้นางกลับเรียกร้องให้มันเข้าเป็นพวก ดูท่าคงหลีกเลี่ยงการลงไม้ลงมือไม่ได้แล้ว
" เซียนโอสถ !...เจ้ามันวิญญูชนจอมปลอม ! " เทพมรณะแผดเสียงคำรามลั่น พลางขยับตัวหันเผชิญหน้ากับมัน
" ฮ่า ฮ่ ฮ่า...หากข้าเป็นวิญญูชนจอมปลอม แล้วเจ้าละเป็นตัวอะไร....เจ้าหลงลืมราตรีจันทรคราสไปหมดสิ้นแล้วหรือ ! ....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ..."
คำกล่าวของมันทำเอาเทพมรณะตัวสั่นเทา สีหน้ารุกรื่รุกลนราวกับโจรน้อยถูกจับได้ก็ไม่ปาน
" เจ้าอย่าได้ผายลมสุนัขส่งเดช ! " ชายพิการร้องระร่ำระลักห้ามปราม
" ตัวข้าเป็นวิญญูชนจอมปลอม ย่อมไม่มีใครเชื่อถืออยู่แล้ว แต่ถ้ามีปิ่นในมือท่านช่วยส่งเสริม คำกล่าวข้าคล้ายจะมีน้ำหนักขึ้นในบัดดลแล้ว "...
" อ๊า ก ก ก ...เดรัจฉานอันชั่วร้าย ! " เทพมรณะแผดเสียงพร้อมสะบัดไม้เท้าเหล็กเข้าจู่โจม ไปสามกระบวนท่าตามติด
ทันทีนั้นเซียนโอสถใช้ไม้เท้าควงหมุนต้านรับพลังปราณ จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นกระบวนท่ารุกไล่ใส่เทพมรณะ ....
ไม้เท้าหัวมรกตที่มันใช้ออก เป็นกระบวนเพลงกระบี่พรากนภาอันวูบไหว ด้วยแสงเขียวขจีจากยอดมรกตอันวาววับ จนเทพมรณะงงงันว่ามันเรียนรู้เพลงกระบี่ตนได้อย่างไร...
ทั้งคู่โลดแล่นกลางอากาศ ใช้วิชาตัวเบาเข้ากับเพลวกระบี่อันลึกล้ำสุดหยั่งคาด ราวประกายแสงพราวของดาวตก จนมองไปเห็นแต่รูปเงาเลือนราง
หลิวหงเหินเหม่อมองจนละลานตา แต่แล้วชายหนุ่มพลันต้องชะงักหันมองไปที่เท้า เมื่อรู้สึกว่ามีฝ่ามือเยียบเย็นมากุมเข้าที่ข้อเท้ามันไว้
เป็นปรมาจารย์พิษนั้นเองที่กำลังถ่ายเทพลังปราณเข้าใส่ร่างกายชายหนุ่ม
" ท่านทำอะไร !...ปรมาจารย์พิษ ? "...
" ยังไม่รีบโคจรลมปราณรับพลังวัตรข้าไว้อีก !....เจ้าดูไม่ออกรึว่ามีเจ้าคนเดียวที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้ ! "..
ชายชรากล่าวรวบรัด พร้อมกับยันกายขึ้นนั่ง แล้วทาบฝ่ามือไปที่หลังชายหนุ่มถ่ายเทพลังฝึกปรือที่เหลือหนุนเนื่องเพิ่มพลังปราณให้หลิวหงเหิน...
" จักรกาลบนกระหม่อมของศิษย์ชั่ว เรียกว่าจักรกาลพหูสูตร เพียงมันแตะต้องวัตถุหนึ่งใดก็จะสามารถเรียนรู้อดีตของผู้เคยครอบครองวัตถุนั้นจนหมดสิ้น ถ้าจับกระบี่เทพมรณะก็สามารถเห็นอดีตตั้งแต่เริ่มฝึกปรือวิชา ไปถึงก้าวสู่ยอดฝีมือไร้เทียมทาน ช่างเป็นการคตโกงเวลาอันเปี่ยมความรอบรู้นัก "
ปรมาจารย์พิษพูดพลางถ่ายถอดพลังปราณไปพลาง จนหลิวหงเหินรู้สึกถึงความผ่าวร้อนอวลแน่นไปทั่วกาย โดยสายตามันก็ยังจับจ้องมองสองยอดฝีมือโรมรันไม่วางตา
ตราบกระทั้งสองไม้เท้าพุ่งเข้าหักล้างพลังกันโดยตรง ...
แสงสว่างวาบจากกระหม่อมเจิดจ้า เสียดเย้ยกับเงาดำที่แผ่ขยายจากหน้าผากชายพิการ ผสมผสานทั้งแสงและเงากลายเป็นรูปทรงอันเลือนลางไม่สิ้นสุด
...ชั่ววาบเดียวในความคิดของชายพิการ แต่กลับเหมือนจะยืดยาวเป็นนิรันดร์ ....เทพมรณะคล้ายลอยละล่องกลับไปยังอดีอันปวดร้าว....
...ครั้งนั้นเมื่อ18ปีก่อน เทพกระบี่มรณะที่อยู่ในวัยสามสิบปลายๆ มันยังเป็นหนุ่มรูปงามทรนงองอาจ ได้ถูกเชื้อเชิญมายังเกาะทิพย์โอสถพร้อมเทพกระบี่อีกคน แต่ทั้งคู่แตกต่างกันสิ้นเชิง โดยเทพกระบี่บูรพาทั้งอ่อนน้อมสุภาพ ราวกับบัณฑิตในวังหลวง มันมักสวมใส่ชุดขาวราวหิมะ เยื่องย่างดั่งคุณชายสูงศักดิ์ ทว่าเพลงกระบี่เคลื่อนย้ายดาราจักรของมันกลับลึกล้ำอัศจรรย์ สมเป็นเทพกระบี่ตามคำล่ำลือ
แต่ในใต้หล้าไหนเลยมีเทพกระบี่สองคนได้ !....
เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ไม่อาจมีสองชายครอบครองจิตใจ....
น่าขบขันที่ข้อห้ามทั้งสอง ล้วนปรากฏแก่เทพกระบี่ทั้งคู่ในเวลาเดียวกัน
เมื่อจูกัดเฝิงหวงเยื่องย่างมาถึงเกาะทิพย์โอสถ โลกแห่งสองมือกระบี่พลันแปรปรวนไป พวกมันต่างเบิกหูเบิกตาว่านอกจากวรยุทธแล้วยังมีสิ่งทรงพลังที่ไม่อาจแข็งขืน
สิ่งนั้นเรียกว่า....ความรัก
จูกัดเฝิงหวงเป็นคนประเภทที่แรกพบอาจเดินเลยไร้เยื่อใย แต่เมื่อได้พูดคุยกับนางเพียงคราเดียว จะจดจำนางได้ตราบนานเท่านาน
เมื่อได้ประสานสายตาฉลาดปราดเปรื่องของนาง จิตใจผู้คนคล้ายจะถูกชำแรกเข้าไปถึงภายใน ...
กับบุรุษทั่วไปมักไม่ชมชอบหญิงสาวที่ฉลาดเฉลียวเกินไป เพราะเมื่ออยู่ร่วมกันมักก่อเภทภัยมากกว่าความสุขสันต์
แต่กับมือกระบี่ถึงขั้นขึ้นชื่อว่าเป็นตำนาน ย่อมพึงพอใจผสานภาวะภายใน มากกว่าความงามที่จบลงเพียงสายตา
เทพกระบี่มรณะเริ่มปฏิพัทธ์นางในเวลาอันสั้น มันชมชอบที่จะนั่งเงียบๆเล่นหมากล้อมกับนาง โดยไม่เอยวาจาใด ขอเพียงมีนางอยู่ใกล้ๆ จิตใจมันก็อบอุ่นมากมายเหลือประมาณ
ชึ่งแตกต่างจากเจินเชิงตง ที่จัดเป็นผู้ปราดเปรื่องแห่งคุ้นลุ้น มันชอบพูดคุยปรัชญาแห่งเต๋า ถกพระธรรมของพุทธ แลกเปลี่ยนพิชัยยุทธอย่างไม่รู้เบื่อ
ใช้เวลาสองเดือนกว่าในเกาะอันงามสะพรั่ง ดอกรักจึงผลิบานในใจคนทั้งสอง ไม่ช้าไม่นานทั้งคู่ได้ผูกสมัครคิดอยู่ร่วมฉันสามีภรรยา....
...ท่ามกลางความรื่นรมณ์ของผู้คนในเกาะ ที่จะได้มีพิธีมงคลระหว่างทั้งคู่ แต่ยังมีจุดด่างพล้อยดำสนิทในใจใครบางคน....
ขณะภายในเกาะจัดเตรียมพิธีวิวาห์ เทพกระบี่มรณะกลับกักตัวลำพังในถ้ำรกร้าง มันคร่ำเคร่งฝึกกระบี่ทั้งวันทั้งคืน โดยมันไม่ล่วงรู้เลยว่า คนผู้หนึ่งเมื่อไร้รักไร้ห่วงใย สะท้อนให้ใจมันตายซากดั่งไร้ชีวิต เพลงกระบี่ของมันจึงบรรลุถึงขั้นไร้รูปลักษณ์ มีเพียงภาวะกระบี่อันเหี้มเกรียมไร้ปราณี ....
ก่อนถึงวันวิวาห์เพียงห้าวัน เทียมท้าประลองของเทพมรณะพลันส่งมอบต่อเจินเซิงตง
แน่นอนว่าเทพกระบี่บูรพา ย่อมแย้มยิ้มรับคำท้าอย่างภาคภูมิ
...ในอรุณรุ่งแห่งวันประลอง สองเทพกระบี่หยัดยืนอยู่เหนือยอดเขาสูงตระหง่าน หนึ่งชุดดำสะพายกระบี่คู่อยู่หว่างเอว อีกหนึ่งอยู่ในชุดขาวราวหิมะในมือถือขลุ่ยหยกขาวทรงประหลาดตา
โดยมีเหล่าชาวยุทธนับร้อยชีวิตมายืนออรอดูการประลองกันเนื่องแน่น หนึ่งในผู้ชมดูย่อมมีจูดกัดเฝิงหวง ที่นั่งเดียวดายบนโขดหิน มีพิณคู่ใจวางสนิทอยู่เบื้องหน้า
ทั้งสองมือกระบี่กล่าวทักทายนอบน้อม ก่อนจะผนึกลมปราณตระเตรียมปลดปล่อยยอดวิชา
แต่แล้วทุกชีวิตในบริเวณพลันต้องมองเฝิงหวงเป็นตาเดียว เมื่อนางเริ่มพรมนิ้วบนสายร่ายไหวทำนองเพลง'วสันต์คร่ำครวญ ' อันโปรยปรายทำนองเสนาะราวอุทกพรางพรม
ทันทีนั้นเจินเซิงตงพลันยกขลุ่ยขึ้นประทับริมฝีปาก ถ่ายทอดทำนองเพลงหวีดหวิว สอดสัมพันธ์ไปกับเสียงพิณ ราวคู่วิหคสวรรค์ร่ำร้องเพลงประสาน
ทุกผู้คนรับฟังอย่างตะลึงลาน ไม่คิดไม่ฝันว่าการประลองยุทธจะไพเราะเพราะพริ้งถึงเพียงนี้
จะมีเพียงเทพกระบี่มรณะเท่านั้นที่อึดอัดราวถูกภูผากดทับ เพราะเสียงเพลงที่บรรเลงล้วนแฝงลมปราณลึกล้ำ พร้อมทั้งส่งกระบวนท่าพิสดารโดยไม่ต้องขยับเขยือนร่างกายแม้แต่น้อย
เพียงกระแสเสียงเคลื่อนไหวได้แสดงสภาวะกระบี่สุดล้ำลึก ยิ่งผสานกับลมปราณในเสียงพิณ รวมหล่อมเป็นวรยุทธอันพิสดารไร้ช่องว่างรอยโหว่ เหมือนพลังลมปราณจะรายล้อมรอบร่างเทพมรณะไว้จนสิ้น
ไม่ว่ามันคิดจะปล่อยออกด้วยกระบวนท่าใด ล้วนถูกสภาวะไร้รูปลักษณ์เข้าคลี่คลายได้หมดจรด
เทพมรณะมือสั่นเทา ร่างกายแข็งข้าง ไม่อาจชักกระบี่ออกจากฝัก
...ตราบกระทั้งเสียงบรรเลงพิณเงียบสงบลง เทพมรณะถึงกับทรุดเข่าลงกับพื้น อย่างอับจนปัญญา
มันพ่ายแพ้ ทั้งที่ยังไม่ปลดปล่อยอาวุธสักกระบวนท่าเดียว ! ...
…………….
อ๊ า ก ก ก ก ก !....
เทพมรณะกู่ร้องก้อง ระบายความอึดอัดใจ ไปพร้อมๆกับจิตใจหวนคืนสู่ปัจจุบัน...
พลันนั้นมันต้องเผชิญกับพลังปราณจากไม้เท้ามรกตแผ่พุ่งเข้าทำร้าย จนร่างชายพิการปลิวกระเด็น...
ร่างมอซอร่วงลงกระแทกพื้น สำรักโลหิตออกมาคำใหญ่ ความเครียดแค้นปรี่แล่นขึ้นจุกอก
" เป็นเจ้านี่เอง เป็นเจ้าที่ทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพเข่นนี้ ! "...
มันกู่ร้องพร้อมกับยันกายด้วยไม้เท้าเหล็กขึ้นยืน ทั้งที่โลหิตยังไหลซึมจากปาก
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า ...เจ้าสมควรขอบคุณข้ามากกว่า ที่อนุเคราะห์ให้เจ้าอยู่ใกล้นางในฝันมายาวนานนับสิบปี....เป็นข้าให้โชควาสนากับเจ้า มากกว่าทำร้ายเจ้าแล้วกระมั้ง ! "...
เซียนโอสถกระหยิ่มยิ้มย่อง ว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจักรกาลบนกระหม่อมมัน ไม่เพียงมองเห็นอดีต แต่ยังถ่ายทอดอดีตให้ผู้อื่นได้เห็นอีกด้วย
ยิ่งเป็นอดีตอันเจ็บปวด ผู้คนจะยิ่งสัมผัสแนบแน่นประหนึ่งมาปรากฏอยู่ต่อหน้าก็ไม่ปาน
...จะมีสิ่งใดทำร้ายผู้คนได้สาหัสเท่าทำลายตรงหัวใจมันอีกเล่า ! ....
เทพมรณะเดือดดาลถึงขีดสุด มันจึงทะยานร่างพุ่งตรงเข้าหาเซียนโอสถ พร้อมจ้วงแทงไม้เท้าเหล็กด้วยพลังปราณพรากนภาทั้งหมดที่มันมี
" เดรัจฉานโฉดชั่ว ข้าขอแลกชีวิตกับเจ้า ! "...
มันแผดเสียงก้อง พร้อมปลดปล่อยรังษีจากจักรกาลบนหน้าผากแผ่เงาดำสยาย ขยายรัศมีมุ่งหมายสลายสรรพสิ่งโดยไม่เลือก
แม้จะต้องทำลายตัวเองก็ยินยอม !...