ฆาตกรรมกลางมหาสมุทร
ท้องนทีเขียวขจียาวไกลดั่งไร้ขอบเขต
ยังเทียบไม่ได้กับใจคน ที่ทะเยอทะยานมากล้นกว่าทุกพื้นมหาสมุทรรวมตัว…
กองเรือสำเภานับสามร้อยลำ คือหนึ่งในสักขีพยานแห่งความทะเยอทะยานของชีวิตน้อยนิด ที่คิดว่าครองโลกได้
เหล่าข้าหลวงต้าหมิงต่างภาคภูมิใจในกองเรืออลังการณ์ของพวกมัน จนให้สมญาว่า ' เป่าฉวน ' ( กองเรือมหาสมบัติ )
กองเรือสำเภานับสามร้อยลำ แล่นลอยตามคลื่นลมราตรีเป็นทิวแถวยาวไกล ราวกับหมู่บ้านขนาดใหญ่เคลื่อนไหวไปในนที
สำเภาใหญ่60ลำ ขนาด 84 จั้ง ( 277 เมตร ) ประหนึ่งอาคารปกครองของชนชั้นผู้นำ ซึ่งกว้างขวางโอ่อ่าเท่าจวนคหบดีในเมืองหลวงก็ไม่ปาน โดยรอบเรือใหญ่ยังมีสำเภาเล็กลงมาขนาด40 จั้ง (132 เมตร ) จำนวน255ลำ แล่นเรียบล้อมรอบดั่งบริวาณผู้ภักดี
ในจำนวนผู้ร่วมเดินทางทั้ง 27,751 ชีวิต มีเกินครึ่งที่ภาคภูมิในความยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์หมิง ทุกดินแดนที่กองเรือยาตราไปล้วนต้องศิโรราบสมยอมต่อองค์ฮ่องเต้ย่งเร้อ ผู้เป็นดั่งจักรพรรดิแห่งแสงสว่างส่องกระจ่างทุกแว่นแคว้น
ส่วนนักเดินทางที่เหลือ ถ้าไม่ละโมบต่อทรัพย์สมบัติในต่างแดน ก็แสวงหาปัญญาความรู้จากยอดปราชญ์ที่ล่ำลือยาวไกลมาหลายหมื่นลี้
กับสมญา ‘ เป่าฉวน ’ ( กองเรือมหาสมบัติ ) นับว่าไม่โอ่อวดเกินเลยไปแม้แต่น้อย
ทว่ามีเพียงสองบุรุษที่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ร่วมเดินทางมาด้วยจิตใจประเภทใด
หนึ่งคือมหาขันทีเจิ้งเหอ ผู้ซึ่งองค์ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้นำสูงสุดแห่งกองเรือ
ตามความสำเร็จของการท่องโลกทั้งสี่ครั้ง มหาขันทีสมควรมั่งคั่ง ทรงเกียรติ เพรียบพร้อมในทุกประการ จนสมควรเลื่อนเป็นที่ปรึกษาองค์จักรพรรดิ ไม่สมควรตรากตร่ำเดินทางอีก
แต่มหาขันทีกลับอาษาพากองเรือรอนแรมนับพันลี้มาในการเดินทางครั้งที่ห้า แม้องค์ฮ่องเต้จะทรงทัดทาน หากเจิ้เหอเพียงกล่าวรวบรัดจนงวยงงไปทั้งท้องพระโรง
“ ขัาพพระองค์ไม่ได้เดินทางหาสิ่งใด หากการเดินทางคือทุกสิ่งอย่างที่ข้าพเจ้าปราถนา พระเจ้าข้า ”....
จากนั้นอีกหนึ่งเดือนต่อมา ในปีค.ศ.1430 กองเรือสำเภาจำนวน315ลำ จึงเริ่มออกจากอู่เรือเมืองนานกิง แล่นละล่องไปกับผู้นำที่ไม่มีใดคาดเดาจิตใจได้
ใช้เวลาเดินทางปีกว่า ผ่านยี่สิบแว่นแคว้น สิบแปดประเทศ จึงได้พบเจอบุรุษแปลกประหลาด ที่ผู้คนไม่แน่ใจว่ามันร่วมเดินทางมาเพื่อสิ่งใด
มันไม่ใช่ข้าหลวงผู้ปราถนาอำนาจ ไม่ใช่พ่อค้าวาณิชผู้ฝักใฝ่ความมั่งคั่ง ไม่ใช่แม้แต่เหล่าปราชญ์ผู้รักใคร่ความรู้เหนือสิ่งอื่นใด
ในสายตาสองหมื่นกว่าคู่ของลูกเรือ มันคือชายเสเพลไร้แก่นสาร เพียงตวัดภู่กันเขียนรูปผู้คนในลำเรือ ตามภาระหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวคือ' บันทึกปูมเรือ'
นอกเหนือจากเวลาเขียนรูป มันเพียงฝักใฝ่ในเมรัยจนได้ฉายา ‘ปักษาสุรา ’ มาตั้งแต่เริ่มเดินทาง จวบจนกองเรือเดินทางกลับ มันยังจ่มปรักอยู่กับเมรัยไม่เลิกลา
ท่ามกลางราตรีสงัดงัน…
จันทร์กระจ่างเหนือฟ้าดาษดาดาว ปักษาสุราไม่ร่ำเมรัยนับเป็นสิ่งอาเพสไม่น่าอภัยแล้ว
ทุกผู้คนในกองเรือล้วนชินชากับกิจวัตรมันหมดสิ้น ในค่ำคืนนี้ย่อมไม่แตกต่างจากราตรีใดๆ
บนเสากระโดงเรือสูงละลิ่ว ตรงยอดปลายที่ซึ่งจัดวางห้างไม้ทรงกลมขนาดสองเมตรเศษ มันสร้างไวัให้ลูกเรือแง่นมองปรากฎการณ์ ณ เวิ้งไกล
ทว่าในเรือบันทึกการเดินทาง ทุกราตรีบนแท่นห้างจะถูกจัดวางโต๊ะไม้ขนาดเขื่อง โดยมีผ้าไหมขึงตรึงกับภู่กันและหมึกเขียนภาพวางอยู่เบื้องบน โดยรอบยังมีโครมไฟทรงรีจุดสว่างไสว จัดวางอยู่ทั้งแปดทิศ
ปักษาสุรายืนโดษเดี่ยวท่ามกลางแสงเลื่อมเหลือบพราย…มันเป็นคนสูงโปร่ง หน้าตาคมคาย ดวงตากลมโตทอประกายเวิ้งว้างดั่งห้วงนภาไร้ที่สิ้นสุด มันสวมชุดคลุมยาวเนื้อผ้าฝ้ายย้อมสีครามเก่าคล่ำ หากด้ามภู่กันในมือมันกลับใหม่เอี่ยม ดั่งเพิ่งแกะกล่องออกใช้งาน
ผ้าไหมผืนยาวเบื้องหนัามัน ถูกตวัดวาดไปในลมราตรีโชยพัด ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม ภาพหญิงงามพลันปรากฎราวมีชีวิตเริงร่าย
เสียดายที่ชายผู้จรดปลายภู่กัน หาได้ภาคภูมิใจในผลงานมันแม้แต่น้อย มันทอดถอนหายใจ แววตาหม่นเศร้ามองนางบนผ้าไหม ด้วยความอึดอัดยากจะคลี่คลายทั้งชีวิต
รอยยิ้มบางๆพลันเผยเย้ยหยันให้กับจิตใจตนเอง ที่งมงายกับอดีตซ้ำๆซากๆ
“ หลิวหงเหิน เอ๋ย หลิวหงเหิน ท่องนทีมาไกลพันลี้ ยังหนีไม่พ้นอ้อมกอดนาง ”
มันสบถด่าตัวเอง แค่นหัวร่อเจ็บปวด พรางโยนภู่กันทิ้งไปในสายลม อีกชั่วอึดใจมือจิตรกรกลับคว้าจอกเมรัยกระดกดื่มรวดเดียวหมดจอก
“ ฮ่า…ชูจอกชมจันทร์นวลใย ข้างกายไรัเงาเคียงคู่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า …” คล้ายกับว่าปักษาสุราเริ่มสยายปีกเมามาย ไปกับบทกวีสมัยถังที่ฝังใจ
ทว่าอารมณ์เคลิบเคลิ้มของมันพลันสะดุดขาดช่วง เมื่อมีเสียงฆ้องดัง ป้ง..ป้ง..ป้ง.. สนั่นลั่นจากด้านพังงาเรือ
เป็นตาเฒ่าหยางนั้นเอง ทึ่กระหน่ำย่ำฆ้องอย่างกับจะระดมทหารหาญไปออกศึก
พอเฒ่าหยางเห็นแน่ชัดว่าหลิวหงเหินมองตรงมา พลันควัาหยิบเกาทัณฑ์ง้างเล็งตรงไปยังมัน
“ อ่ะ อ้า. จะหยอกล้ออันใดเล่าตาเฒ่า"
ลูกศรที่แหวกฟ้าราตรีมา คือคำตอบรับที่เฒ่าหยางมีให้
เพียงพริบตาลูกศรก็พุ่งผ่านหน้าหลิวหงเหิน ตรงเข้าปักตรึงกับเสากระโดงเรืออย่างแม่นยำ
“ แหม…ตาเฒ่าสารพัดพิษ ระยะห่างเกือบสามจั้ง (9 เมตร) ยังยิงได้แม่นยำนัก เลื่อมใส เลื่อมใส ”
หลิวหงเหินกล่าวเสียงใสโดยไม่สนใจว่าตาเฒ่าจะได้ยินหรือไม่ กล่าวพรางหยิบลูกศรมากุมไว้ในมือ
“ เป็นดั่งคาดจริงๆ ”
บนปลายศรมีกระดาษผูกติดมา เป็นการส่งสาร์นอย่างที่ชาวยุทธชอบใช้ …คิดไม่ถึงว่าในกองเรือจะมียอดยุทธอยู่ไม่น้อย แม้แต่ตาเฒ่าจดบัญชีสินค้ายังมีฝีมือติดตัว
พอหลิวหงเหินคลี่กระดาษอ่านดู จึงเริ่มครางแคลงว่าในกองเรืออาจมียอดคนงำประกายมากกว่าที่คาดคิด เพราะสาร์นนั้นแจ้งไว้แจ่มชัด…
….เรียนท่านบัณฑิต หลิวหงเหิน…ผู้บันทึกปูมเรือเป่าฉวน
ณ ปลายยามชวี ได้เกิดเหตุร้ายแรงขึ้นที่เรือแพรพรรณธงเขียวขลิบทอง….
บ่าวหน่วยโภชนาการได้ประสบกับชายชราสิ้นใจตายอย่างแปลประหลาด ร่างกายมันไร้บาดแผล เนื้อตัวไม่มีอาการถูกยาพิษ ซ้ำร้ายยังสวมใส่เสื้อผ้าผิดแปลกจากคนทั่วไป อีกทั้งหน้าตามันล้วนไม่มีใครจดจำได้
เกรงว่าคงมีเพียงท่าน ที่เขียนรูปบันทึกลูกเรือทุกผู้คน จึงอาจบ่งบอกได้ว่ามันคือผู้ใด
เหตุนี้จึงต้องขอรบกวนท่าน ให้เดินทางมายังเรือแพรพรรณธงเขียวขลิบทองในบัดดล….
จูเง็กจือ… ….หัวหน้าองครักษ์ที่สี่ แห่งวังเมฆาขจื…..
……………..
เรือแพรพรรณธงเขียวขลิบทอง เป็นหนึ่งใน16เรือวาณิชค้าผ้าไหมผ้าแพร แบ่งแยกเป็น16ขั้นขึ้นตรงต่อหน่วยอาภรณ์
โดยปกติภายในเรือจะมีเหล่านางกำนัลสาวงามเสียส่วนใหญ่ ยังมีส่วนน้อยเป็นขันทีรับใช้ ทำให้เหล่าผู้คนในหน่วยโภชนาการณ์ยังต้องติดสินบนเพื่อมาส่งอาหาร ด้วยเหตุที่กลุ่มเรือเหล่านี้ทั้งงดงามทั้งหอมกรุ่น จนมีสมญาว่ากองเรือหอมหมื่นลี้
“ ท่าทางเราจะมาล่าช้าไปแล้วกระมั้ง”
หลิวหงเหินส่ายหัวแผ่วเบา กล่าวตัดพ้อผิดหวัง เมื่อย่างเท้าแรกขึ้นสู่เรือสำเภาที่ถูกเรียกร้องให้มาเยือน
“ ย่อมเชื่องช้าไปหลายส่วนแล้วท่านบัณฑิต ยามดอกไม้ผลิบานท่านไม่มาชมบุปผา กลับมายามแล้งไร้โรยรา จะมีอันใดเหลือให้ชมดูอีกเล่า ” เฒ่าหยางกล่าวอย่างรู้ใจ ขณะย่างกายสู่ร่มเงาปริศนา
“ ไม่มีสิ่งใดให้ชมดูใช่ว่าไม่ดีงาม เงียบเหงาวังเวงอย่างนี้ซิเล่า รสสุราจึงออกรสแจ่มชัดนัก ” หลิวหงเหินแย้มยิ้มกล่าว พรางยกป้านสุราในมือขึ้นดื่มอึกใหญ่
ชายชราได้แต่โค้งรับ ผุดระบายยิ้มเจื้อนๆกับอากัปกิริยากับสหายร่วมทาง
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า. สมแล้วเป็นปักษาสุรา แมัอยู่ต่อหน้าความตายยังไม่วายมีน้ำอำพันติดมือ ” เสียงวูบไหวมากับรูปเงาขาวหมดจรดเคลื่อนผ่าน
พริบตานั้นขวดสุราในมือหลิวหงเหินพลันถูกฉกฉวยเข้าสู่เงื้อมือชายในชุดขาว ที่เผ่นพลิ้วเข้ามา
“ เสียดายนัก เสียดายที่สถานที่นี้ไม่ได้มีเพียงเราคนกันเอง หากยังมีกงกงเฉียนอยู่ภายใน เกรงว่าการร่ำสุราของท่านจะเป็นพิษภัยมากกว่าเป็นคุณประโยชน์ ” ชายชุดขาวกล่าวเริงรื่นพรางชูป้านสุราขึ้นสูง เป็นทวงท่างดงามดั่งรูปสลักจากหยกขาวนวล
“ อย่าได้ทำในสิ่งที่เจ้าคิดเชียว ! ” หลิวหงเหินร้องปรามเสียงหลง
ทว่าไม่ทันสิ้นเสียง ป้านสุราในมือพลันลอยละลิ่วข้ามกราบเรือ ล่วงลงสู่ท้องทะเลอันเยียบเย็น
หลิวหงเหินโจนตามขวดเมรัยไปยังกราบเรือ ได้แต่ทอดอาลัยมองป้านสุรากลมกลึงลอยละล่องท่องเคลื่อนขจี
“ โอ้…นารีแดงของข้า ต้องเปลี่ยวเหงากลางสมุทรเสียแล้ว เจ้านี่อำมหิตนัก ”
“ เก็บความเสียใจไว้ชั่วครู่เถิดสหายข้า หากคลีคลายคดีได้แล้ว ข้าจะเลี้ยงสุราชดใช้เจ้าสักหลายไห ” ชายชุดขาวกล่าวพรางเอื้อมมือแตะไหล่หลิวหงเหินเป็นเชิงปลอบโยน พร้อมๆกับชี้ชวนให้เข้าสู่ภายในโถงลำเรือ
“ ข้าคิดดอกเพิ่มอีกหลายไหเชียว เจ้าเตรียมตัวหมดดนื้อหมดตัวเถอะ " หลิวหงเหินยังไม่วายกล่าวเคื่องขุ่น ทั้งที่ก้าวเดินตามมันไป
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…ยินดี ยินดี! ” ชายชุดขาวกล่าวกลั้วหัวเราะเสียงใส เดินเคียงข้างมันไป
เฒ่าหยางค้อมศรีษะเดินตาม มีรอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวย่น มองบุรุษชุดขาวด้วยความนิยมเลื่อมใส ราวกับเห็นบุตรตนเองเจริญรุ่งเรืองถึงที่สุด
ในสายตาของเฒ่าหยางให้ค่าชายชุดขาวประหนึ่งอัจฉริยะเชิงยุทธรุ่นใหม่ มันอายุเพียงยี่สิบสี่ก็ขึ้นถึงตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์อันดับสี่แห่งวังเมฆาขจี
ใครต่อใครจึงมักเรียกมันว่าคุณชายสี่ แทนนามจูเง็กจือที่เคยโลดโผนในยุทธภพ
นับจากปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางก่อตั้งหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ที่รวบรวมยอดฝีมือจากหลายค่ายสำนักในยุทธภพนับแสนคน ทำให้เหล่าอ๋องผู้ควบคุมอำนาจตามหัวเมืองใหญ่ ได้ก่อตั้งหน่วยองครักษ์อันอุดมด้วยยอดฝีมือไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
องครักษ์วังเมฆาขจี จัดว่าเลื่องลือไม่ยิ่งหย่อนกว่าพรรคใหญ่ในแผ่นดิน
ในจำนวนองครักษ์ทั้งแปดพันคน มียอดฝีมือที่จัดเป็นชนชั้น10หัวหน้าหน่วย ที่มีผู้ใต้บังคับบัญชาหน่วยละ800คน
ทั้ง10ยอดองครักษ์ มีเพียงคุณชายสี่ที่อายุเยาว์ที่สุด ซ้ำยังมีท่วงทีราวคุณชายสูงศักดิ์ ทว่าเพลงกระบี่คู่ของมันนับว่าลึกล้ำสุดยั้งคาด จนในวังเมฆาไม่มีผู้ใดไม่นอบน้อมชื่นชม
ขนาดนามจูเง็กจือ ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยตรงๆ จะมีเพียงบัณฑิตตกยากทีร่ำสุราไม่เลือกกาลเวลา ที่เรียกมันอย่างสนิทสนม จนเฒ่าหยางสงสัยว่าคนที่แตกต่างกันเช่นมันทั้งคู่ คบค้าสมาคมเป็นสหายกันได้อย่างไร ?
แม้ทั้งคู่จะอายุไล่เลี่ย หน้าตาหล่อเหลาคมสันพอๆกัน แต่บุคคลิกของทั้งคู่ขัดแย้งไปคนละทาง
จูเง็กจือสูงล้ำทั้งบุคลิภาพและพลังยุทธ ที่หว่างเอวมันห้อยไว้ด้วยสองกระบี่ปลอกประดับไข่มุกโอ่อ่า แต่เอวของหลิวหงเหินกลับห้อยไว้ด้วยจอกสุราต่างชนิดสี่-ห้าใบ เวลาเดินจะเกิดเสียงดังกรุ่งกริ่งน่ารำคาญ
เฒ่าหยางหาได้ขุ่นเคืองรำคาญใจนานนัก เมื่อพวกเขาทั้งสามย่างเท้าเข้าสู่ภายในห้องรโหฐานในลำเรือ ทุกผู้คนล้วนแข็งทื่อประหนึ่งหินผา เมื่อมาอยู่ผู้ทรงอำนาจรองลงมาจากอ๋องวังเมฆาเพียงผู้เดียว
กงกงเฉียน..นั่งสง่าผ่าเผยอยู่เหนือม้านั่งประดับมุกขาวมันวาว ที่นั่งปูด้วยหนังขนแพะขาวสะอาดตา ในอุ้งมือซ้ายมีลูกกลมหยกเขียวขจีสามลูกหมุนวนตามปลายนิ้วยาวเรียวขยับไหว
“ ถ้ำฮวยหลิวมาตามคำบัญชาล้วขอรับ ” เสียงผู้หนึ่งประกาศก้อง แม่นยำในศักดิ์ฐานะ ยศถ้ำฮวยที่หลิวหงเหินสอบได้ จัดเป็นอันดับสามรองจากจอหงวนที่จะได้กินตำแหน่งขุนนางฝ่ายบุ๋น
กงกงเฉียนเพียงโบกมือเชื่องช้า ปรือตาไปยังศพเบื้องหน้าที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
“ เจ้าจงดูให้ถี่ถ้วนว่าผู้ตายเป็นใคร รีบกราบเรียนแก่ท่านกงกงโดยไว ” ชายผู้กู่ร้องคนเดิมกล่าวลั่น
หลิวหงเหินได้แต่ยิ้มเย้ยหยันให้กับบันดาชนชั้นสุนัขรับใช้ แม้อยู่ต่อหน้าความตาย ยังเลี้ยงแข้งเลี้ยงขาไม่หยุด
สุดท้ายมันจึงสะบัดทิ้งเรื่องคนเป็น หันมาสอดส่องสังเกตชายไร้วิญญาณเบื้องหน้า
ยิ่งพินิจพิเคราะห์ หลิวหงเหินยิ่งแตกตื่นราวพบเจออสูรประหลาดในนิทาน
มันไล่สำรวจทั่วร่างกาย ใช้นิ้วแตะสัมผัสชีพจรคอ หน้าอก ข้อมือและชายโครง ก่อนจะเงยหน้าส่ายสายตาไปทั่วห้อง แล้วเปรยเสียงแผ่วเบา คล้ายสายลมระบายผ่านจากแดนปรโลกสู่ถิ่นมนุษย์
“ ไม่มีชายผู้นี้ในรายชื่อปูมเรือ ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์มันไม่จัดอยู่ในดินแดนใดที่กองเรือเราผ่านมา ”
กงกงเฉียนตบขาม้านั่งฉาดใหญ่ นัยน์ตาโชติช่วงดุดัน กล่าวคำรามขึ้น
“ เจ้าผายลมอันใด คนแปลกประหลาดเยี่ยงนี้จะมาอยู่ในกองเรือได้อย่างไร ? ”
เสีงตวาดทำให้เหล่าผู้คนในบริเวณต่างก้มหน้า ไม่อาจสบตาหาความดีความชอบ
จะมีเพียงหลิวหงเหินที่ยังกล่าวปลอดโปร่งไร้สิ้นความกดดันใดๆ
“ ที่มาของมันข้าหารู้ไม่ จะมีเพียงหนึ่งเดียวที่แน่ชัดนัก ”
“ เป็นอันใด..รีบกล่าว ” ขันทีชรากล่าวพรวดพราด จนเหล่าผู้สอพอไม่อาจอวยอำนวยเอาหน้า
“ มันผู้นี้ถูกฆาตกรรม จนอวัยวะภายในแหลกเหลวสิ้น ”…