ไม่อยากเชื่อเลยว่า ข้าจะข้ามมิติมาอยู่ในร่างของหญิงยุคโบราณจริง ๆ
เซียงฉินจ้องมองเงาสะท้อนในกระจกฉาย ปั้นหน้าชวนขบขัน เรียวหน้างามพิสุทธิ์นั้นพลันยับยู่ตามไปด้วย
ข้าคือ หลัวฟางฉี…คุณหนูสี่สกุลหลัว
ไม่ใช่ กู้เซียงฉิน อีกต่อไปแล้ว
นางพร่ำบอกตนเองในใจซ้ำ ๆ ราวกับสะกดจิต
ที่กล่าวกันว่า ในโลกหล้าล้วนมีสิ่งเหนือธรรมชาติเร้นซ่อนอยู่ ไม่เห็นด้วยตาเปล่า หาใช่ว่าไม่มี…เรื่องนี้ไม่เกินจริงเลยสักน้อยนิด!
นิ้วมือเรียวยาวลูบไล้ไปบนดวงหน้าขาวผ่อง จากนั้นจึงย้ายมือมาที่ส่วนโค้งเว้าของร่างกาย เอวบางร่างน้อยเช่นนี้ เห็นแล้วก็อดชื่นชมเสียมิได้
ในโลกปัจจุบัน นางทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะมีหุ่นสวยเหมือนกับดารานักแสดง พยายามทั้งลดหุ่นออกกำลังกาย กินผักเป็นกิโล แต่ก็ยังคลำหาช่วงเอวไม่เจอ ความเหนื่อยหน่ายของคนอ้วนง่ายอย่างนาง เพียงสูดดมกลิ่นหอมเย้ายวนใจของอาหาร น้ำหนักก็ขึ้นมาเป็นกิโลแล้ว
ครั้นพอมาอยู่ในร่างอรชรอ้อนแอ้นเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกเหมือนได้รับพรจากสวรรค์ชั้นฟ้า จากที่เคยสวมใส่แต่เสื้อผ้าสีดำเพื่ออำพรางทรวดทรง ยามนี้สวมใส่ได้ตามใจทุกสี เสื้อผ้าจะเข้ารูปเพียงใดก็ไม่หวั่น นอกจากจะได้ชีวิตใหม่แล้ว ตลอดร่างตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ายังงดงามสมบูรณ์แบบ จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไรกัน…
เซียงฉินกวาดตามองรอบ ๆ รู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในละครฉากหนึ่ง ทั้งโต๊ะตู้เตียง ไหนจะกระจกขอบทองเหลืองที่นางกำลังส่องอยู่อีก หวีเขาสัตว์ในมือนางก็ด้วย…ห้องนอนเป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน ทุกอย่างถูกจัดเป็นสัดส่วน กั้นกลางด้วยม่านมุก ใหญ่โตโอ่อ่าเช่นนี้บ่งบอกถึงฐานะของคุณหนูสี่สกุลหลัวได้เป็นอย่างดี ชีวิตช่างแตกต่างจากกู้เซียงฉินในยุคปัจจุบันราวฟ้ากับเหว
ไม่สิ! ราวสวรรค์กับนรก น่าจะเข้าเสียมากกว่า
"ฟางฉี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บปวดตรงไหนหรือไม่? "
เซียงฉินหันศีรษะมองตามเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน เห็นหญิงสาวร่างบางในชุดกระโปรงสีชมพูกลีบบัวกำลังสาวเท้าเข้ามาหา ดวงตาดอกท้อวาววามฉายแววกลัดกลุ้ม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันน้อย ๆ มองปราดเดียวก็รู้ว่า หญิงสาวผู้นี้มีความห่วงใยต่อนางมากเพียงใด
หลังจากเพ่งสายตาพิจารณาอยู่เนิ่นนาน หัวสมองของเซียงฉินก็พลันผุดคำว่า 'พี่สาม' ขึ้นมา
ใช่แล้ว…นางคือ 'หลัวฟางจู' คุณหนูสามแห่งสกุลหลัวและพี่สาวที่แสนดีของหลัวฟางฉี พี่น้องที่เซียงฉินปรารถนาจะมีมาโดยตลอด
เซียงฉินเห็นภาพของหลัวฟางจูตั้งแต่เล็กจนโตดูแลใกล้ชิดหลัวฟางฉีไม่ห่าง ยามสุขยามทุกข์เคียงข้าง ไม่เคยปล่อยให้น้องสาวคนเล็กสุดของตระกูลต้องเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยามนี้เมื่อถูกห่วงใยจากใครสักคนหนึ่ง พลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
"ท่านพี่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? " เซียงฉินย้อนถามด้วยสีหน้างุนงง ก่อนจะพุ่งสายตาร้อนแรงผ่านแขนเสื้อผ้าโปร่งสีชมพูไปที่ตัวต้นเรื่อง จิงชิงสั่นศีรษะพลางโบกมือพัลวัน พยายามส่งสายตาสื่อสารว่า เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่ฝีมือนาง คุณหนูเข้าใจผิดแล้ว
หลัวฟางจูหันมองตาม จึงเอ่ยแย้งขึ้น "ไม่ใช่เพราะจิงชิงหรอก ข้าเองก็เพิ่งรู้มาจากท่านหมอจื่อรั่ว หลังจากพบเจอกันโดยบังเอิญที่ตลาดตะวันออก ท่านหมอฝากยาตลับหนึ่งมาให้เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเจ้ามีบาดแผลที่ขา ข้ารู้เรื่อง ร้อนใจจึงรีบมาหา"
เซียงฉินนึกคิดตามแล้วจึงพยักหน้าเบา ๆ อย่างเข้าใจ "อ้อ อย่างนี้นี่เอง…"
หลัวฟางจูกุมมือเซียงฉิน พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าถึงได้ตกน้ำ? "
คำถามที่แม้แต่ตัวของเซียงฉินเองก็ยังไม่รู้ แม้พยายามนึกคิดเท่าไรก็นึกไม่ออก
“ข้า…จำอะไรไม่ได้เลย”
"เจ้าจำอะไรไม่ได้เลยหรือ? " หลัวฟางจูถามย้ำ
จิงชิงที่ยืนหลุบตาสงบเสงี่ยมอยู่ตรงมุมห้อง โพล่งเอ่ยขึ้นมา "บ่าวอยู่กับคุณหนูสี่ตลอดเจ้าค่ะ"
สองพี่น้องหันขวับมองด้วยความสงสัยใคร่รู้ จิงชิงจึงค่อย ๆ เล่าต่อด้วยน้ำเสียงเนิบช้า "วันนั้นคุณหนูออกไปเดินเล่นในสวนเป็นปกติ ครู่หนึ่งเกิดกระหายน้ำ บ่าวจึงเดินไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมน้ำชา กลับมาอีกทีก็พบว่าคุณหนูลอยอยู่ในน้ำแล้ว ตอนนั้นเองคุณชายจื่อเข้ามาในจวนพอดี เมื่อเห็นคุณหนูตกน้ำก็รีบกระโดดลงไปช่วยและสั่งให้บ่าวเรียกหมอยามารักษา หากวิเคราะห์กันตามจริง ในวัสสานฤดูโขดหินริมขอบสระน้ำเปียกชื้นกว่าปกติ คุณหนูอาจจะพลัดตกลงไป ขณะกำลังโปรยอาหารปลาก็ย่อมได้เจ้าค่ะ"
ปมสงสัยที่คล้ายดั่งเงื่อนเชือกแน่นหนาถูกคลายลงในยามนั้น เซียงฉินก็พลอยรับรู้ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ไปด้วย
"อุบัติเหตุอย่างนั้นสินะ…" หลัวฟางจูพูดพึมพำกับตนเองเบา ๆ กระนั้นสีหน้าก็ยังคงดูกลัดกลุ้ม มีข้อสงสัยมากมายอัดแน่นอยู่เต็มท้อง
"ต่อไปข้าจะระวังตัวให้ดี ไม่ไปเดินเล่นเพ่นพ่านแถวสระน้ำอีก" เซียงฉินเอ่ยพลางคลี่ยิ้มละไม
หลัวฟางจูพรูลมหายใจลากยาว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยสีหน้าจริงจัง "ฟางฉี…เจ้ามีเรื่องอะไรในใจ โปรดจงบอกข้า"
เรื่องในใจ?
เรื่องที่ข้าไม่ใช่น้องสาวท่าน แต่เป็นวิญญาณที่ข้ามมาอีกภพภูมิหนึ่งอย่างนั้นหรือ…
เซียงฉินอ้าปากค้างอย่างเก้อ ๆ พูดตอบเสียงตะกุกจะกัก "ทะ ท่านพี่คิดมากไปแล้ว ข้าปกติดี วันนั้นแค่เคราะห์ร้าย ยามนี้รอดมาได้ย่อมเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรอกหรือ"
"เรื่องนั้นก็จริงอยู่…" หลัวฟางจูผงกศีรษะอย่างไร้ข้อกังขา แต่ด้วยสลัดความคิดบางอย่างไม่ออก จึงหันมาสบตาและถามเซียงฉินอย่างตรง ๆ "ฟางฉี…ระหว่างเจ้ากับจื่อหานซวี่มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่? "
ครั้นพอพี่สาวเอ่ยถึงบุรุษรูปงามที่ช่วยชีวิตนาง ใบหน้าขาวกระจ่างดุจหยกก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับเอาชาดมาแต่งแต้ม อดไม่ได้นึกถึงเรื่องพลอดรักวาบหวามในหัว
นางอึกอักครู่ใหญ่ ยังไม่ทันได้ตอบกลับไป สุ้มเสียงแหบพร่าระคนร้อนใจก็พลันดังแทรกขึ้น…
"หลัวฟางฉี เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? " สตรีสูงวัยที่เดินดุ่ม ๆ ตรงเข้ามาด้วยท่าทางวิตกกังวลคือ ฮูหยินหลัว มารดาเจ้าของร่างนี้
นางก้าวเข้ามานั่งข้าง ๆ สำรวจสายตามองหาบาดแผลบนกายบุตรสาว เมื่อไม่พบร่องรอยใดบนผิวขาวนวลเนียน ก็พลันพรูลมหายใจลากยาวอย่างโล่งอก
เซียงฉินเหลือบตามองการกระทำของนาง รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายเย็นเยียบบางอย่างแผ่กระจายออกมา ทั้งอบอุ่นและน่าเกรงขาม ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดเสียจริง ๆ
"ผู้ใดปล่อยให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตราย ผู้นั้นจะต้องได้รับโทษอย่างสาสม!" ฮูหยินหลัวตวาดเสียงแหลม เดือดดาลเป็นการใหญ่
ดวงตาของจิงชิงพลันเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว รีบโขกศีรษะกระแทกพื้น กล่าวขอโทษผู้เป็นนายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"บ่าวผิดไปแล้ว ฮูหยินได้โปรดให้อภัยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ"
เซียงฉินเห็นเช่นนั้นรู้สึกตื่นตระหนกไม่น้อย อดมิได้ออกตัวปกป้องบ่าวสาวทันที "ท่านแม่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับจิงชิง ข้าสั่งให้นางออกไปชงชา เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อ ข้าจึงพลัดตกลงไปในน้ำ หากจะลงโทษผู้ใด ก็โปรดลงโทษข้าด้วยเถิด…"
คำพูดนี้พอโพล่งออกไป ทุกคนก็ล้วนหันมองมาที่นางด้วยความประหลาดใจ หางตาจิงชิงเปียกชื้นซาบซึ้งใจต่อความปรานีของนายหญิง ฮูหยินหลัวยืนชะงักงัน ภายใต้สีหน้าสงบราบเรียบ ในใจประหวั่นพรั่นพรึงกับวาจาของบุตรสาวไม่น้อย
"เจ้าว่าอย่างไรนะ หลัวฟางฉี"
"หากท่านแม่จะลงโทษจิงชิง ขอให้ลงโทษข้าด้วย…ข้าเองรู้ดีแก่ใจเองทุกอย่าง เหตุใดข้าต้องปล่อยให้นางรับโทษ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผิดด้วยเจ้าคะ" เซียงฉินยืนกรานเสียงแข็ง ไม่มีท่าทีหวาดกลัวมารดาแม้แต่น้อย
ฮูหยินหลัวเบือนหน้าหนีอับจนคำพูด เซียงฉินขยิบตาประกอบกับทำท่าทางไล่ผู้บริสุทธิ์จิงชิงออกไป ก่อนจะหันกลับมากุมมือมารดาและกล่าวเสียงนุ่มนวล "ท่านแม่อย่ากังวลไปเลยนะเจ้าคะ …ข้าไม่เป็นอะไรอีกแล้ว"
สิ้นเสียงเอ่ย ฮูหยินหลัวก็มีท่าทีอ่อนลง ปรายตามองบุตรสาว ถามไถ่เรื่องอาการป่วยเพิ่มอีกสองสามประโยค จากนั้นจึงเยื้องย่างกลับออกไป ทว่าไม่ลืมทิ้งทวนประโยคหนึ่งไว้ "ข้าจะสั่งคนให้ลดน้ำออกจากสระทั้งหมด หลังจากนี้จงดูแลตัวเองให้ดี"
แม้ไม่มีคำพูดดีงามสวยหรู แต่การกระทำของฮูหยินหลัวก็ทำให้นางรับรู้ว่ามารดารักและห่วงใยบุตรสาวคนเล็กของตระกูลมากเพียงใด
เซียงฉินเหม่อมองแผ่นหลังของมารดาที่ค่อย ๆ หายลับไปสลับกับมองใบหน้างามพิลาศของพี่สาวพลางครุ่นคิดในใจ
ชีวิตใหม่ของนางได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว…