บทที่ 1 อุบัติเหตุไม่คาดฝัน
"ดีจังเลยนะ ในที่สุดบริษัทก็ยอมควักเงินจ่ายให้พวกเราออกมาเที่ยวพักผ่อนกันสักที"
คำพูดจิกกัดของเพื่อนสาว ทำให้กู้เซียงฉินที่กำลังนั่งอ่านหนังสือแตกตื่นจนดวงหน้าถอดสี พลันยกนิ้วชี้ขึ้นมาจรดริมฝีปาก ห้ามปรามไม่ให้เจ้าตัวพูดเสียงดัง เพราะเกรงว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ที่นั่งเบาะหลังจะได้ยินขึ้นมา
"นี่! เว่ยอี พูดเบา ๆ หน่อยสิ เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินกันหมดหรอก"
เพื่อนสาวสงบท่าทีลง แต่ก็ยังไม่วายป้องปากกระซิบกระซาบ "ได้ยินก็ได้ยินไปสิ ได้ยินไปถึงหูผู้บริหารเลยก็ยิ่งดี ทำงานร่างพัง เงินเดือนก็ไม่ขึ้นให้ ทำโอทีเหมือนมาทำงานฟรี นาน ๆ จะลาพักร้อนสักทีก็แทบก้มกราบ"
เซียงฉินตีมือไปที่แขนของเพื่อนสนิท ขณะเดียวกันก็หัวเราะจนตัวงอ ถึงแม้จะเป็นเรื่องน่าขบขันแต่ก็ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น "ฮ่า ๆ ๆ …แกเนี่ย จริง ๆ เลยนะ "
เว่ยอี คือเพื่อนสนิทของเซียงฉิน คบหาสนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่สมัยเรียนประถมต้น หากนับเวลาที่เป็นเพื่อนกันมาก็นับสิบปีแล้ว เรียนห้องเดียวกัน กินข้าวกลางวันด้วยกัน เดินกลับบ้านด้วยกัน จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่แยกจาก มาทำงานอยู่บริษัทเดียวกันอีก ช่างเป็นพรหมลิขิตที่น่าแปลกประหลาดเสียจริง ๆ
เซียงฉินอยู่แผนกบัญชี ส่วนเว่ยอีอยู่แผนกการเงิน เราทั้งสองเป็นที่ปรึกษาทั้งเรื่องการงานรวมไปถึงปัญหาชีวิตส่วนตัว หลายคนพูดว่า พวกเรารูปร่างหน้าตาเหมือนกันอย่างกับพี่น้องฝาแฝด ด้วยดวงหน้ากลมขาว รวบผมตึง สวมแว่นหนาเตอะ ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์เท่านั้น รสนิยมก็เช่นกัน เวลาว่างเราทั้งสองมักออกมานั่งร้านกาแฟ สุมหัวกันอ่านหนังสือนิยายเรื่องโปรด
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่พวกเรามักถูกหมายตาและกล่าวหาว่าเป็นคนประหลาด แต่หารู้ไม่ว่า ความสุขของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน
สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้ เซียงฉินผ่านสงครามประสาทฟาดฟันมามากมายหลายขุม จากสาวน้อยใสซื่อบริสุทธิ์กลายเป็นนางมารยักษ์ใจร้าย หากไม่ได้หนังสือนิยายคอยปลอบประโลมจิตใจ ก็คงจะเป็นบ้าตายไปนานแล้ว…
รถบัสสีแดงสองชั้นประจำบริษัทเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมความงามยักษ์ใหญ่แล่นฉิวผ่านวิวทิวทัศน์ธรรมชาติเขียวชอุ่มทั้งสองข้างทาง
วันนี้อากาศปลอดโปร่งไร้อุปสรรค นับว่าเป็นฤกษ์งามยามดีสำหรับวาระท่องเที่ยวประจำปีของพนักงานบริษัทที่ทุ่มเทเหน็ดเหนื่อยโหมงานมาทั้งปี ฟังดูจากเสียงพูดคุยเฮฮาประกอบกับเสียงหัวเราะที่ดังไม่ขาดสายแล้ว คงจะเก็บกดกันมานานละสิท่า…
ลุงคนขับรถเห็นถนนโล่ง เนิ่นนานก็ยังไม่มีรถขับผ่านมาสักคัน จึงเหยียบคันเร่ง แต่แล้วก็ผ่อนความเร็วลง ทำอย่างนี้สลับกันไปมา ทุกคนต่างส่งเสียงโห่ร้องชอบใจ เว้นเพียงแต่สองสาวแว่นที่นั่งแถวหน้าสุด พวกเธอนั่งสงบเสงี่ยม ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือนิยายอย่างใจจดจ่อ
นิ้วมืออวบขาวพลิกกระดาษหน้าถัดไป หลุดเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมาว่า "...จวิ้นอ๋องแห่งแผ่นดินต้าเว่ย"
เว่ยอีได้ยินอย่างนั้นก็เกิดอาการหูผึ่ง สายตาแหลมคมพุ่งทะลุแว่นขวับมองมาที่เซียงฉิน เอ่ยถามด้วยท่าทางสนอกสนใจ "เซียงฉิน จวิ้นอ๋องอะไร แผ่นดินต้าเว่ยอะไร…มีนิยายเรื่องใหม่มาอ่านอีกแล้วหรือ? "
และใช่…เราทั้งสองต่างคลั่งไคล้ผู้ชายยุคโบราณเหมือนกัน เรือนร่างสูงโปร่ง มาดเข้มคมสัน สวมชุดคลุมโบราณสุดเท่ ด้วยลักษณะที่ว่าเงียบขรึมเย็นชา แจกรอยยิ้มกระชากใจยิ่งกรี๊ดกร๊าด แทบจะถวายตัวเป็นภรรยากันเลยทีเดียว
"แม่นางเซียงฉิน…ว่าอย่างไรเล่า จงบอกข้ามาบัดเดี๋ยวนี้เลยนะ" เว่ยอีพยายามพูดจาเลียนแบบยุคโบราณ ขณะที่สองมือเขย่าแขนเพื่อนรักไม่หยุด
เซียงฉินเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ "พอเลย ๆ พูดแล้วฟังดูพิลึกกึกกือยังไงก็ไม่รู้ พูดปกติเถอะ!"
เว่ยอีมุ่นคิ้ว ทำปากขมุบขมิบ "ก็เล่นไม่บอกกันเลยนี่ นิยายเรื่องใหม่ต้องน่าสนใจมากแน่ ๆ ไม่งั้นคงไม่หลุดปากพูดออกมาหรอก…ว่าไง? จะบอกกันได้หรือยัง ว่าเรื่องที่กำลังอ่านอยู่คือเรื่องอะไร…"
ยามถูกคะยั้นคะยอมากเข้า เซียงฉินก็จนใจ ยื่นหนังสือที่จับถืออยู่ในมือให้เพื่อนสาวพลางยิ้ม "ฝ่ามิติรัก มาเป็นบุปผางามในจวนอ๋อง"
เว่ยอียกมือขยับกรอบแว่น ค่อย ๆ ใช้สายตาเพ่งมอง
เธอสะดุดตาตั้งแต่หน้าปกของหนังสือ อาจเพราะชอบสีม่วงเป็นทุนเดิม ประกอบกับมีภาพหญิงงามสวมชุดโบราณกำลังยืนหลับตา รู้สึกตื่นเต้นอยากอ่านเสียตั้งแต่ตอนนั้น
"ขอยืมได้ไหมเซียงฉิน? " เว่ยอีส่งสายตาอ้อนวอนเหมือนกับเด็กน้อยน่าสงสาร
เอาไปสิ!" เซียงฉินพยักหน้า ยิ้มตอบอย่างไม่ลังเลใจ
หลังจากยื่นหนังสือให้เว่ยอีแล้ว เซียงฉินก็เปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งหลังตรงมาเป็นนั่งเหยียดหลังอย่างผ่อนคลาย สายตาที่เพ่งมองหนังสือ ยามนี้เปลี่ยนมามองวิวทิวทัศน์ตรงข้างริมหน้าต่างแทน
เครื่องปรับอากาศในรถเย็นฉ่ำ นั่งว่างเปล่าอยู่เนิ่นนาน จู่ ๆ เซียงฉินก็รู้สึกง่วงงุนขึ้นมา จึงใช้มือสวมหมวกฮู้ดที่ติดมากับเสื้อกันหนาว เอนศีรษะพิงเบาะนุ่ม ค่อย ๆ ปิดม่านตาลง
ยามเมื่อจิตใจสงบ ความปลอดโปร่งก็เข้ามาเยือน
ก่อนจะหลับใหล เซียงฉินมีความคิดแปลกประหลาดหนึ่งวูบเข้ามาในห้วงแห่งความคิด
ถ้าชีวิตเธอได้อยู่ในนิยายเรื่องโปรดก็คงจะดี ได้สวมชุดโบราณสวย ๆ แต่งงานกับท่านอ๋องรูปงาม ใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างมีความสุข
หากจะกล่าวตามจริง เธอเบื่อหน่ายกับชีวิตเฮงซวยนี่จะแย่แล้ว
ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ ทารกน้อยจึงมาเกิดอยู่ในกองขยะ กำพร้าทั้งพ่อและแม่ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด หากแต่เคราะห์ดีที่มีตายายคู่หนึ่งผ่านมาเห็นและรับเลี้ยงไว้ ทารกที่ถูกทิ้งอย่างเดียวดาย…มีชีวิตใหม่ในยามนั้น
จนเวลาล่วงผ่าน เซียงฉินเติบโตขึ้นมาจากความรัก ตั้งใจร่ำเรียนตำรา พากเพียรบากบั่น จนกระทั่งจบการศึกษา เงินเดือนก้อนแรกของการทำงาน เซียงฉินมอบของขวัญให้สองตายายด้วยการลาพักร้อน พาพวกท่านไปเที่ยวพักผ่อน แต่แล้วความสุขก็มักจะอยู่กับเราไม่นาน หลังกลับมาจากท่องเที่ยว คุณตาคุณยายก็สิ้นใจ เซียงฉินจึงต่อสู้และใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้เพียงลำพัง โดดเดี่ยวอ้างว้างไม่ต่างจากตอนลืมตาดูโลกใหม่ ๆ แม้แต่น้อย
นี่อายุก็ย่างเข้ายี่สิบแปดปีแล้ว ทำงานหลังขดหลังแข็งมาหลายปี บ้านสักหลัง รถสักคันก็ยังไม่มี คนรักดี ๆ ก็ยิ่งเข้าไปกันใหญ่ ทุกวันนี้หายใจเข้าออกเป็นงาน จะเอาเวลาไหนไปหาแฟนกันเล่า หากมีชีวิตที่เปี่ยมสุขอย่างในนิยาย เธอคงจะตายตาหลับ เกิดมาชาติหนึ่งใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว…
ทันใดนั้นเอง เสียงรถเบรกเอี๊ยดก็พลันดังขึ้น ล้อรถหยุดชะงักกะทันหัน ผู้โดยสารทั้งคันรถหัวทิ่มไปข้างหน้า ก่อนจะพลิกหงายหลังกลับมาด้วยแรงสะท้อนอย่างมหาศาล
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก แรงเหวี่ยงทำให้หนังสือนิยายในมือของเว่ยอีหลุดจากมือล่วงตกลงพื้น
เสียงกรีดร้องดังระงม เซียงฉินหายใจหอบถี่ เบิกตาโพลงด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
ทว่ายังไม่ทันเงยหน้าขึ้นมามองว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ชั่วพริบตาเดียวรถบรรทุกสิบล้อคันใหญ่ก็พุ่งเข้ามาชนอย่างเต็มแรง แรงปะทะทำให้รถบัสกระเด็นตกหน้าผา หมุนคว้างหลายตลบ จนกระทั่งดิ่งสู่พื้นและแตกสลาย รถทั่วทั้งคันติดไฟสว่างวาบลุกโชนขึ้นมา
จากนั้นก็ไม่เหลืออะไรอีก
ความรู้สึกนึกคิด สติสัมปชัญญะ หรือแม้แต่ลมหายใจของเซียงฉิน