จากชีวิตเร่งรีบของสาวออฟฟิศ มาใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์
เซียงฉินยกให้หนึ่งเรื่องยากที่สุดตั้งแต่ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในยุคโบราณ คือการปรับตัวใช้ชีวิตให้เข้ากับสถานที่และสิ่งแวดล้อม
เมืองหลวงในยุคปัจจุบัน มีตึกสูงรายล้อม รถราเต็มท้องถนน ต้นไม้ปรากฏอยู่ประปราย อากาศเต็มไปด้วยมลพิษ
เมืองหลวงในยุคโบราณ มีบ้านเรือนตั้งอยู่เรียงราย เดินทางด้วยรถม้าเสียส่วนใหญ่ ทุกหนแห่งมีต้นไม้ อากาศบริสุทธิ์ เพิ่งรู้สึกหายใจได้เต็มปอดก็ยามนี้
ทุกอย่างล้วนเป็นข้อดี แต่สำหรับนางที่เคยเป็นสาวออฟฟิศ มีชีวิตเร่งรีบ ในหัวมีแต่เรื่องงาน งาน แล้วก็งาน…กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ครั้นพอมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เนิบช้าย่อมต้องใช้เวลาในการปรับตัว
และถึงแม้เซียงฉินจะชื่นชอบการอ่านหนังสือนิยายย้อนยุค แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น มีเพียงภาษาแบบโบราณสมัยเท่านั้นที่นางถนัด สามารถโต้ตอบได้ทันท่วงที ทว่านอกจากนั้น ทักษะอื่น ๆ ของสตรีชั้นสูงไม่ว่าจะเป็นเพลงพิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาด ศิลปะชงชา หรือแม้แต่งานปักเย็บ ล้วนต้องพึ่งพี่สาวให้คอยสอนใหม่ทั้งสิ้น
ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการปักผ้าเนิ่นนาน แต่สุดท้ายก็ต้องถอดใจ ปาผ้าทั้งหมดในมือทิ้ง ผุดคิดอย่างร้อนใจ ให้ตายเถอะ ปมด้ายที่พันกันยุ่งเหยิงบนผ้านี่ ไม่ต่างจากชีวิตข้าแม้แต่น้อย!
“คะ คุณหนูลองดูอีกทีดีหรือไม่เจ้าคะ” จิงชิงถามเสียงสั่นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ หลังจากเฝ้ามองนายหญิงอยู่ห่าง ๆ
“พี่สามเล่า?” เซียงฉินเงยหน้าขึ้นมาถาม ก่อนจะบ่นพึมพำกับตนเอง “หากไม่ได้พี่สามช่วยแก้ปมนี่ ข้าต้องตายแน่ ๆ”
จิงชิงนิ่งคิดเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบ “คุณหนูสามอยู่ที่ห้องหนังสือเรือนฝั่งตะวันออกเจ้าค่ะ”
“ห้องหนังสืออย่างนั้นหรือ…” เซียงฉินทบทวนวาจาของบ่าวใช้ ดวงตาสีดำขลับทอประกาย ครั้นพอได้สติก็รีบหันไปแย้มยิ้มกับจิงชิง กล่าวว่า “ข้าจะไปหาพี่สาม” จากนั้นจึงวิ่งปราดออกไปจากเรือนทันที
จิงชิงก้มหน้าขานรับคำเพียงครู่ เงยหน้าขึ้นมาอีกที คุณหนูก็หายวับไปเสียแล้ว
นางรีบวิ่งจ้ำอ้าวตามหลังไปติด ๆ ตะโกนเสียงดังลั่น “คุณหนู…รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”
ที่ ห้องหนังสือเรือนปีกซ้ายฝั่งตะวันออก จวนสกุลหลัว
“ท่านพี่กำลังทำอะไรอยู่ เหตุใดถึงดูเคร่งเครียดนัก” เซียงฉินเอ่ยถามขณะย่างเท้าตรงไปหาพี่สาว
หลัวฟางจูที่กำลังยุ่งง่วนกับสมุดบัญชีรายรับรายจ่ายเล่มแดง ใช้พู่กันขีด ๆ เขียน ๆ ครู่หนึ่งก็ขยำกระดาษทิ้งและก็เริ่มเขียนแผ่นใหม่ นางทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมกมุ่นอยู่ในภวังความคิดจนไม่ได้ยินเสียงเรียก ไม่แม้แต่จะรู้ตัวว่ามีผู้ใดเข้ามาในห้องเสียด้วยซ้ำ
“ท่านพี่!!!”
เพราะเสียงเรียกครั้งที่สองของเซียงฉิน หลัวฟางจูจึงได้สติกลับมาจากอาการใจลอย เอ่ยตอบด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “บัญชีรายรับรายจ่ายพวกนี้น่าปวดหัวนัก ข้าไม่เข้าใจว่าตัวเลขมันหายไปไหน ทั้งที่ข้าบวกลบเองกับมือแท้ ๆ หรือว่าที่ร้านของเราจะมีคนโกง ลอบลักขโมยของ เอาเงินทองและเครื่องประดับของเราไป!”
คิดได้เช่นนั้น ดวงตากลมโตของหลัวฟางจูก็พลันขยายเบิกกว้าง ตื่นตกใจมากกว่าเดิมเสียอีก “แย่แน่! ต้องแย่แน่ๆ
“พี่สามใจเย็นลงก่อน เรื่องอาจจะไม่เลวร้ายอย่างนั้นก็ได้” เซียงฉินเดินเข้าไปนั่งเคียงข้างพี่สาว พยายามปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ฉับพลันนั้นชำเลืองตาเห็นตัวเลขจำนวนหนึ่งปรากฏอยู่ในหน้ากระดาษของสมุดบัญชี ใจนึกอยากสำรวจดู จึงลองถาม “ไหน…ขอข้าดูได้หรือไม่?”
หลัวฟางจูยื่นสมุดบัญชีให้ดูอย่างไม่ลังเลใจ
ใช้เวลาเพียงไม่นาน เซียงฉินก็สามารถตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างในสมุดบัญชีได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
พบว่า ตัวเลขเหล่านั้นมีความผิดปกติจริง!
“ตัวเลขผิดเพี้ยนไป” ประโยคนี้ทำเอาหัวใจที่ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศของหลัวฟางจูร่วงหล่นลงพื้น เหงื่อเย็นผุดพรายเต็มศีรษะ
“ข้าว่าแล้ว เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ผู้ใดกล้าหยามเกียรติสกุลหลัว ไม่ว่าจะใหญ่โตหรือมีอำนาจเพียงใด ข้าก็ไม่ไว้หน้าทั้งสิ้น!”
วาจาเกรี้ยวโกรธหลุดออกมาจากกลีบปากสีแดงสดไม่หยุดยั้ง หลัวฟางจูเดินวนไปมา รู้สึกร้อนรนใจอย่างยิ่ง
“ท่านพี่ลองมาดูนี่…” เซียงฉินเขย่ามือพี่สาวเบา ๆ จากนั้นจึงใช้พู่กันจุ่มน้ำหมึกสีดำขลับในแท่นหยกขึ้นมาแก้ไขตัวเลขในกระดาษ ค่อย ๆ พูดอธิบาย นำความรู้ด้านบัญชีที่ติดตัวมาใช้อย่างเต็มที่ “ตัวเลขด้านซ้าย ต้องนำมาหักลบกับตัวเลขด้านขวา”
หลัวฟางจูพยักหน้าและมองตามอย่างตั้งใจ เซียงฉินย้ายตัวเลขสับเปลี่ยนกันไปมาคล่องแคล่วว่องไว หลัวฟางจูจ้องมองอย่างไม่กะพริบตา ล่วงไปครู่เดียว ตัวเลขที่เป็นปัญหาก็ถูกคลี่คลายปมออก
“เรียบร้อย…เท่านี้ก็เสร็จสิ้นแล้ว” เซียงฉินฉีกยิ้มกว้าง
ดวงตาของหลัวฟางจูเป็นประกายแวววาว แทบไม่อยากจะเชื่อสายตา นี่น้องสาวข้ามีอัจฉริยภาพด้านตัวเลขมาตลอดเลยหรือ!
“ฟางฉี เจ้าทำได้อย่างไร?”
“ข้าเพียงคิดเลขธรรมดา และตัวเลขที่หายไปก็มิใช่ปัญหา ท่านพี่คิดเลขผิดเองเสียมากกว่า”
“ข้าหรือ คิดเลขผิด?” หลัวฟางจูชี้นิ้วเข้าหาตนเอง ก่อนจะเอ่ยแย้ง “เป็นไปไม่ได้ ข้าคิดเลขพวกนี้จนคุ้นชิน เจ้ากล่าวหาข้าแล้ว”
“เช่นนั้น ท่านพี่มาดูนี่” เซียงฉินเปิดสมุดบัญชีที่แก้ไขแล้วให้พี่สาวดู หลัวฟางจูไล่สายตาตรวจสอบอย่างละเอียด แล้วก็เป็นอย่างที่น้องสาวกล่าว ตัวเลขเจ้าปัญหาพวกนั้นหายไปแล้ว ทุกอย่างสมดุลกันอย่างไม่น่าเชื่อ
“จะ จริงด้วย!”
เดิมทีเซียงฉินคิดว่าตนหลงลืมวิชาบัญชีไปแล้ว ทว่าความเป็นจริงความรู้เหล่านั้นยังคงอยู่และฉายชัดในหัวสมอง นั่นเป็นเรื่องดีมากอย่างหนึ่ง
สังคมสมัยโบราณมีการค้าขาย สกุลนางมีพี่สาวและมารดาทำการค้าขาย เปิดร้านเครื่องประดับล้ำค่า
อย่างนี้ก็มีประโยชน์นะสิ!
ในภายภาคหน้า ข้าจะต้องช่วยให้กิจการของตระกูลขับเคลื่อนไปได้เป็นแน่
“ไว้ข้าจะสอนท่านพี่อย่างละเอียดอีกทีก็แล้วกัน” เซียงฉินยิ้มตอบอย่างภาคภูมิใจ
หลัวฟางจูนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนคิดอะไรได้บางอย่าง เมื่อได้สติก็ไม่รีรอยื่นข้อเสนอ “น้องฉี…เจ้าเฉลียวฉลาดเช่นนี้ เหตุใดไม่ลองมาช่วยข้าดูแลเรื่องการเงินของตระกูลเล่า”
นี่ล่ะ! พรสวรรค์ของข้า
ดีกว่านั่งปักผ้าตั้งเยอะ
ประกายเจิดจ้าในดวงตาของเซียงฉินไหลวนช้า ๆ ปกปิดรอยยิ้มตื่นเต้นดีใจ พลางกล่าว “แต่มันจะดีหรือท่านพี่ ประสบการณ์ข้ายังน้อยนิด หากท่านแม่รู้ จะต้องคัดค้านเป็นแน่”
หลัวฟางจูคลี่ยิ้มอย่างผ่อนคลาย เอ่ยตอบ “ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น ถึงแม้ท่านแม่จะไม่ให้เจ้าวุ่นวายสิ่งใดนอกจากการร่ำเรียน แต่ข้าจะออกตัวให้เจ้าเอง ท่านแม่จะต้องภูมิใจในตัวเจ้า”
“พี่สามช่างดีกับข้าเหลือเกิน” เซียงฉินโผกายเข้าไปกอดพี่สาว กล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยามเห็นน้องสาวมีความสุข หลัวฟางจูก็พลอยสุขใจไปด้วย นางกระซิบเสียงแผ่วเบาที่ข้างหูน้องสาว “แต่ก่อนอื่น…เจ้าต้องปักผ้าให้เป็นเสียก่อน ไม่เช่นนั้นท่านแม่ต้องเอาข้าตายแน่ ๆ”
สิ้นสุดคำพูด รอยยิ้มบนใบหน้างามของเซียงฉินก็พลันหุบลงทันใด รู้สึกเหมือนกำลังฝันสลาย
“ตะ แต่ท่านพี่…ข้า…”
หลัวฟางจูหัวเราะคิกคักไม่หยุด หยอกเย้าน้องสาวเหมือนได้ย้อนวันวาน ไม่ว่าเวลาจะล่วงผ่านไปนานเท่าใด น้องสาวก็ยังเป็นเด็กในสายตานางเสมอ