"ฟางฉี!"
"เจ้าฟื้นขึ้นมาสิ…"
"ฟางฉี!"
สุ้มเสียงทุ้มเข้มเจือแววร้อนใจลอยเข้ามาในโสตประสาท
เซียงฉินฟื้นตื่นขึ้นมา ไอสำลักน้ำออกจากริมฝีปากไม่หยุดยั้ง
แววตาของชายหนุ่มเบิกกว้างทอประกาย หันไปออกคำสั่งกับบ่าวใช้ให้ไปตามหมอมารักษา
เซียงฉินกะพริบตาเชื่องช้า ภาพเบื้องหน้าสลัวรางไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ครั้นพอปรับม่านตาครู่หนึ่ง ภาพที่ฉายก็ค่อย ๆ กระจ่างชัดขึ้นมา…
บุรุษเบื้องหน้ารูปโฉมงามอายุประมาณยี่สิบ สวมชุดคลุมสาบทับขวาสีดำสนิท ผูกเอวด้วยเชือกผ้าสีขาว รวบผมทั้งศีรษะแบบบุรุษ เขามีใบหน้าคมคายเป็นเอกลักษณ์ ดวงตารียาวขนาบคู่กับจมูกโด่งคมสัน คิ้วรูปดาบพาดเฉียงขมวดน้อย ๆ แววตาเปี่ยมไปด้วยความร้อนรนกระสับกระส่าย
นางไม่รู้ว่าเขาคือ 'จื่อหานซวี่' คุณชายใหญ่สกุลจื่อ บุตรชายของต้นตระกูลเสนาบดีเก่า ฐานะมั่งคั่งร่ำรวยติดอันดับต้น ๆ ของแคว้นต้าเว่ยเลยก็ว่าได้
เซียงฉินชี้นิ้วไปที่ปลายจมูกของเขา หรี่ตาถามด้วยความงุนงง "คะ คุณเป็นใคร? "
ทว่ายังไม่ทันได้คำตอบ ภาพความทรงจำบางอย่างก็พุ่งพรวดเข้ามาในความคิด รวดเร็วปานแสงสายหนึ่ง…
'ฟางฉี วันนี้เจ้างามมากเหลือเกิน'
ยามเมื่อถูกเชยชม ใบหน้าของหญิงสาวก็กลายเป็นสีแดงก่ำราวกับผลท้อ ก้มหน้าหลุบตาขวยเขิน 'พี่หาน…ท่านเมาแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด'
แม้จะเอ่ยอย่างนั้น อีกฝ่ายก็ยังดึงดัน แววตาหวานซึ้งหยาดเยิ้มจับจ้องไปที่นางอย่างไม่มีท่าทีที่จะปล่อยไปโดยง่าย
เขาเลื่อนมือใหญ่เชยคางนางขึ้นมา ก่อนจะโน้มหน้าประทับที่ริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา
จากนั้นภาพทุกอย่างก็เลือนหายไป สติสัมปชัญญะของนางหวนคืนกลับมาอีกครั้ง…
"ฟางฉี! ฟางฉี!…เจ้าเป็นอะไรไปอีกแล้ว แท้ที่จริงทุกอย่างเป็นความผิดของข้า หากข้าอยู่กับเจ้าในยามนั้น เจ้าก็คงไม่พลัดตกน้ำเช่นนี้"
หานซวี่มีสีหน้าร้อนรนใจยิ่งกว่าเดิม เซียงฉินมองเขากล่าวโทษตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาพพลอดรักเมื่อครู่ทำให้นางรู้สึกใจสั่น ๆ ไม่อาจมองบุรุษตรงหน้าเหมือนเดิมได้อีก
"พี่หาน…" นางเปล่งออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะพยายามใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีดันตัวลุกขึ้นนั่ง หานซวี่เห็นเช่นนั้น ก็รีบโถมตัวเข้าไปจับประคอง ทั้งสองสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟพลุ่งพล่านทั่วร่าง
"ฟางฉี ข้าจะพาเจ้ากลับไปพักผ่อนที่เรือน ท่านหมอกำลังรอเจ้าอยู่"
พูดจบ เขาก็ถือวิสาสะช้อนตัวนางขึ้นมาโอบอุ้มไว้ในอ้อมกอด จากนั้นจึงรีบสาวเท้ามุ่งหน้าไปยังเรือนทิศตะวันออกอย่างว่องไวที่สุด
นี่เราไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?
เซียงฉินครุ่นคิด ขณะกำลังถูกหมอกระดิ่งนามว่า 'จื่อรุ่ย' ตรวจจับชีพจรที่ข้อมืออย่างขะมักเขม้น
ความจริงประการหนึ่งที่ต้องยอมรับและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ คือเธอกำลังครอบครองร่างของผู้อื่นอยู่
สตรีโบราณผู้นั้น แม้จะพบกันเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เธอก็จำสีหน้า ท่าทางและถ้อยคำทั้งหมดทั้งมวลของนางได้เป็นอย่างดี ที่บอกว่า 'ฝากดูแลมารดาและจงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข' คงเป็นเหตุผลอื่นไปเสียมิได้…
นางมอบร่างนี้ให้เธออย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
คุณหนูสี่สกุลหลัวเป็นบุตรีที่เกิดมาจากความรักของบิดามารดาโดยแท้ บิดามีภรรยาคนเดียวจนชั่วชีวิต มีบุตรด้วยกันสี่คนในเวลาไล่เลี่ยกัน หลัวฟางฉีเป็นบุตรคนสุดท้อง เป็นน้องเล็กสุดของตระกูล ด้วยบรรพบุรุษรับราชการทหาร เป็นแม่ทัพใหญ่มากความสามารถ สร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่ให้กับแผ่นดินต้าเว่ย ฮ่องเต้จึงมอบป้ายเกียรติคุณและให้การสนับสนุนเสมอมา สกุลหลัวจึงเป็นที่นับหน้าถือตาสืบเนื่องมาตั้งแต่รุ่นสู่รุ่น
จวบจนมาถึงยุคของนายใหญ่หลัว…
สุดท้ายแล้ว ประวัติศาสตร์ก็เอาใจแค่คนบางกลุ่ม นายใหญ่หลัวพลีกายเพื่อปกป้องดินแดน สิ้นใจในสนามรบทั้งที่มือยังกำเครื่องรางนำโชคของภรรยาเอาไว้
ฮูหยินหลัวต้องกลายเป็นหญิงหม้าย ทว่าเป็นหญิงหม้ายที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี ถึงแม้จะสูญเสียสามี แต่นางก็สามารถเลี้ยงดูบุตรทั้งสี่ด้วยความรักอย่างดีตราบเท่าที่ผู้เป็นแม่คนหนึ่งจะทำให้ได้
ช่างเป็นสตรีที่น่าเลื่อมใสเสียจริง ๆ
"อะ…โอ๊ย! เจ็บ ๆ " เซียงฉินร้องเสียงหลง พลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา หลังจากที่หมอจื่อรุ่ยแทงเข็มเงินฝังลงไปบนแนวเส้นลมปราณอย่างไม่รู้ตัว
หมอจื่อรุ่ยก้มหน้างุด กล่าวขอโทษทันใด "ขออภัยคุณหนู ข้าแก่แล้ว สายตาย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ "
เซียงฉินเบิกตาโพลงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
อะไรกัน คำกล่าวอ้างนั้นน่ะ!
"ท่านหมอสายตาย่ำแย่ แล้วที่แทงเข็มไปบนตัวข้าร่วมสิบเข็มเล่า ใช้สัญชาตญาณอย่างนั้นหรือ? "
หมอจื่อรุ่ยเงยหน้ามอง สองมือพลันโบกไปมาด้วยความร้อนใจ "มะ ไม่ใช่อย่างนั้น คุณหนูเข้าใจผิดแล้ว ข้าเป็นหมอมาทั้งชีวิต ถึงแม้สายตาจะย่ำแย่ แต่ก็ยังฝังเข็มได้แม่นยำอยู่"
พอได้ฟังเช่นนั้น เซียงฉินก็พลันถอนทอดหายใจออกมาอย่างโล่งอก นึกว่าจะจบชีวิตครั้งที่สองง่ายดายเสียแล้ว
หมอจื่อรุ่ยเปิดกล่องอุปกรณ์ หยิบเข็มเงินแหลมคมขนาดเล็กที่สุดขึ้นมา แล้วจึงเพ่งสายตาค่อย ๆ ปักไปบนแนวแขนต่อ เซียงฉินนอนนิ่งแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ปวดหน่วง ๆ ที่แขนหลายระลอก หมอจื่อรุ่ยบอกว่าร่างกายนางต้องการปรับสมดุลหยินหยางหนักหน่วง หลังจากที่จมน้ำ สภาพอวัยวะหรือแม้แต่เลือดลมภายในก็แปรปรวน เขาพูดไปเรื่อย ๆ จนล่วงไปหนึ่งก้านธูป จากนั้นจึงถอนเข็มที่คาไว้ออก
ทันทีที่ม่านโปร่งสีขาวตรงปลายเตียงถูกเปิดออก บ่าวใช้นางหนึ่งก็รี่วิ่งเข้ามา เจรจาเรื่องยาสมุนไพรที่ท่านหมอจ่ายให้ครู่ใหญ่ ลำดับสุดท้ายคือส่งแขกออกจากจวน
เซียงฉินยังคงนอนหงายอยู่บนเตียงนอน สายตาจับจ้องไปที่เพดานนิ่ง ครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
ครู่หนึ่งได้ยินฝีเท้าราง ๆ ดังมาจากนอกประตู นางเพ่งมองอย่างลุ้นระทึก ใจเต้นรัวเร็ว ร่างกายเครียดเกร็งไปหมด ทว่าพอประตูขยับและเปิดออก จิตใจก็พลันสงบลง
สิ่งที่ปรากฏเข้าสู่สายตาคือ บ่าวใช้คนเดิมที่กลับเข้ามาพร้อมกับยาถ้วยหนึ่ง
ควันขาวม้วนตัวขึ้นมาจากถ้วยยาสมุนไพรที่พึ่งต้มเสร็จใหม่ ๆ ลอยคละคลุ้งอยู่กลางอากาศ กลิ่นตลบอบอวลไปหมด เซียงฉินได้กลิ่นขมฝาดของสมุนไพรชัดเจนเข้มข้น พลันเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ก่อนจะเอ่ยอย่างดื้อรั้น "ข้าไม่ดื่มยานั่นจะได้หรือไม่? "
บ่าวสาวมีท่าทีอึกอัก ไม่กล้าขัดคำสั่ง ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงนายหญิง จึงเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า "ยาต้มสมุนไพรนี้ ท่านหมอกำชับไว้ว่าให้ต้มดื่มตามเวลา ร่างกายของคุณหนูจะหายดีในเร็ววันเจ้าค่ะ"
หายดีในเร็ววัน
ใช่…ในเมื่อข้าเกิดใหม่แล้ว ย่อมต้องพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง เริ่มจากยาถ้วยนี้ก็แล้วกัน!
สิ้นสุดความคิด สองมือของเซียงฉินก็พลันฉกชิงถ้วยยามาจากมือของบ่าวใช้ กลั้นใจกระดกดื่มยาขมฝาดเหล่านั้นกลืนลงคอ ในที่สุดก็หมดเกลี้ยง
"อี๋! ไม่อร่อยอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ "
เซียงฉินแลบลิ้นออกมา บ่าวใช้ส่งยื่นน้ำชาให้นางดื่มตาม แต่จอกหนึ่งน้อยนิด นางคว้ากาน้ำชาขึ้นมากรอกใส่ปากรวดเดียว กว่ารสชาติขมเฝื่อนจะเบาบาง น้ำชาก็พร่องลงไปเกือบสี่ส่วนแล้ว
"คุณหนูของบ่าว เก่งมากเลยเจ้าค่ะ" ดวงตาของบ่าวสาวเปล่งประกาย จ้องมองนายหญิงด้วยความปลาบปลื้ม
เซียงฉินนิ่งงันไป ชั่วขณะหนึ่งเห็นภาพบ่าวใช้ผู้นี้ขึ้นมา…
นางมีนามว่า 'จิงชิง' เป็นบ่าวคนสนิท ดูแลใกล้ชิดคุณหนูสี่สกุลหลัว ทุกวันนางยุ่งง่วน ทั้งเข้าครัว ปัดกวาดเช็ดถูลานเรือนจนสะอาดเอี่ยมอ่อง เช้ากลางวันเย็นตระเตรียมอาหารที่คุณหนูสี่ชมชอบ ทำงานด้วยความขยันและซื่อสัตย์ รู้ใจคุณหนูสี่เป็นที่สุด
ไม่รู้อะไรดลใจ จู่ ๆ เซียงฉินก็โพล่งเอ่ยถามขึ้นมา "จิงชิง…เจ้าช่วยสอนข้าใช้ชีวิตให้อยู่รอดในยุคโบราณเช่นนี้ได้หรือไม่? "
สิ้นสุดคำพูด จิงชิงก็พลันมือไม้อ่อน ถาดทองเหลืองในมือร่วงกราว ส่งเสียงกระทบกระทั่งดังสนั่น
เซียงฉินกะพริบตาปริบ ๆ มองด้วยสีหน้าฉงน
จิงชิงคลานเข่าเข้ามาหานางด้วยท่าทางลนลาน "คุณหนูจำอะไรไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ"
เซียงฉินตอบช้า ๆ ด้วยสีหน้าลังเลใจ "โอ…คงเป็นผลกระทบจากการพลัดตกน้ำกระมัง อยู่ดี ๆ ข้าก็ไม่รู้ว่าวันหนึ่งต้องทำอะไรบ้าง ใช้ชีวิตอย่างไร คงต้องพึ่งเจ้าแล้ว"
จิงชิงฟังแล้วนิ่งไปเล็กน้อย แต่แล้วก็พยักหน้าหงึกหงักราวกับเข้าใจมูลเหตุทั้งหลายในโลก "เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เรื่องนั้นคุณหนูอย่าได้กังวล หากสงสัยเรื่องใด คุณหนูถามบ่าวทุกเรื่องได้เลยนะเจ้าคะ"
"ขอบคุณนะจิงชิง" เซียงฉินยิ้มเอ่ยพลางกุมมือบ่าวใช้ ส่วนลึกของดวงตาสีอำพันมีประกายไหลวน เพิ่งรู้สึกโล่งราวกับยกภูเขาออกจากอกก็ยามนี้