ย่างเข้าฤดูหนาวยามอู่อากาศเย็นสบาย แสงแดดอ่อน ๆ ทำให้เซียงฉินรู้สึกกระปรี้กระเปร่า จิงชิงออกไปจ่ายตลาด นางจึงถือโอกาสออกไปสำรวจตลาดด้วย
เพลารถม้าประจำสกุลหลัวหยุดชะงักและจอดตรงรอบนอกของตลาดตะวันออก เซียงฉินได้ยินเสียงจอแจจากทางด้านนอก หัวใจพลันโลดแล่นราวกับมีลูกกวางวิ่งพล่านไม่หยุด ก้าวขาลงจากห้องรถม้าได้ก็รีบจูงมือจิงชิงเดินเข้าไปในตลาดทันที
ตลาดในยุคโบราณมีเสน่ห์และน่าหลงใหลบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้
นางเหมือนกำลังท่องเดินอยู่ในความฝัน ภาพในจินตนาการยามเมื่อเคยอ่านนิยายโบราณปรากฏชัด ฉากตลาด บ้านเรือน ผู้คนครึกครื้น คล้ายดั่งกำลังแทรกตัวให้ผสมกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เซียงฉินเดินแทรกกลุ่มคน แวะชมร้านค้าข้างทางอย่างเบิกบานสำราญใจ ข้าวของทุกอย่างล้วนเป็นแบบโบราณสมัย ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือแม้แต่อาหารก็ยังเป็นของต้นตำรับ ที่หากินได้ยากในยุคปัจจุบัน นางผู้คลั่งไคล้วัฒนธรรมเก่าแก่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งรู้สึกว่าที่นี่คือดินแดนสวรรค์ แม้ถนนเส้นหนึ่งจะยาวไกลเพียงใดก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
"จิงชิง เจ้ามีอะไรแนะนำข้าหรือไม่? "
คำถามนี้ออกจะแปลกประหลาดไปเสียหน่อยสำหรับคนที่พักอาศัยอยู่ในเขตนครหลวงแคว้นต้าเว่ยตั้งแต่กำเนิด
จิงชิงขมวดคิ้วน้อย ๆ พลางถาม "แนะนำเรื่องอันใดหรือเจ้าคะคุณหนู? "
"อาหารอะไรอร่อย? ที่ไหนน่าไป? หรือร้านไหนที่ข้ามักจะไปเป็นประจำ"
จิงชิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนคลี่ยิ้มตอบ "อาหารประจำฤดู ข้ามแม่น้ำไปยังวัดเสี่ยวตงซาน ตรงข้างสะพาน มีร้านหมูย่างเลิศรสเจ้าหนึ่ง เป็นร้านของขุนนางอาวุโสห้องเครื่องเก่าที่ออกมาทำการค้าขาย นำเอาเครื่องปรุงต้นตำรับแท้จากเจียงหนานมาผสมผสานกับเนื้อหมูธรรมดาพื้นบ้าน ย่างบนเตาถ่านร้อน ๆ สูตรลับเฉพาะนี้รสชาติอร่อยและลงตัว คุณหนูจะต้องชอบแน่ ๆ เจ้าค่ะ"
เซียงฉินนึกภาพตามในหัว ลอบกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก นางดึงแขนเสื้อบ่าวสาวเบา ๆ พลางส่งสายตาออดอ้อน
"จิงชิง…ได้โปรดพาข้าไปที่นั่นที"
ที่ ร้านหมูย่างควันขาวลอยโขมง กลิ่นหอมของเนื้อหมูหมักเครื่องปรุงโชยมาตามสายลม เตะปลายจมูกคนหิวโหย ชวนให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารส่งเสียงร้องดังจ๊อก ๆ ไม่หยุดยั้ง
ทันทีที่เสี่ยวเอ้อร์นำหมูย่างเสียบไม้ไผ่มาวางบนโต๊ะ เซียงฉินก็ไม่รีรอหยิบขึ้นมากัดชิมอย่างว่องไว
หมูย่างหมักซีอิ๊วเนื้อหนานุ่มฉ่ำน้ำ รสชาติกลมกล่อมแทบจะละลายในปาก เซียงฉินหลับตาเคี้ยวช้า ๆ รู้สึกเหมือนกับกำลังล่องลอยอยู่เหนือชั้นเมฆ ราวกับกำลังขึ้นสวรรค์ เนื้อหมูแทรกมันเล็กน้อยไม่เค็มไม่เลี่ยนจนเกินไป นุ่มละมุนเคี้ยวเพลินยากเกินจะหักห้ามใจ เพียงชั่วพริบตาเดียวหมูย่างกว่าสิบไม้ก็หายเกลี้ยง…
เซียงฉินยกมือ หันไปพูดกับชายชราด้วยรอยยิ้ม "เถ้าแก่ ข้าขอเพิ่มอีกยี่สิบไม้…ไม่สิ ๆ สามสิบไม้"
ริมฝีปากบางของจิงชิงเผยอออกและแข็งค้าง ลูกตาดำเลื่อนมองไม้เสียบหมูย่างกับนายหญิงสลับกันไปมา เอ่ยถามเสียงตะกุกตะกัก "คะ คุณหนูจะกินหมดหรือเจ้าคะ? "
"กินหมดสิ! หมูนี่อร่อยจะตาย ให้สั่งมาอีกร้อยไม้ข้าก็ไหว" เซียงฉินยิ้มตอบอย่างมั่นใจ
"ตะ แต่คุณหนูเจ้าคะ" จิงชิงพยายามห้ามปราม แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว เสี่ยวเอ้อร์นำหมูย่างเสียบไม้มาเพิ่ม เซียงฉินก้มหน้าก้มตาสวาปามหมูย่างตรงหน้าอย่างไม่สนใจอะไรอีก
"กินเข้าไปเยอะอย่างนั้น หากเจ้าอ้วนขึ้นมา ไม่มีผู้ใดแต่งงานด้วย แล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน"
เซียงฉินชะงักค้าง รู้สึกเหมือนความสุขกำลังหลุดลอยไป ยามหิวโหยไม่ทันได้สังเกตว่านั่นเป็นเสียงของบุรุษ ครั้นพอช้อนตามองเห็นหานซวี่กำลังยิ้มมองมา ไม้ไผ่เสียบหมูย่างก็พลันล่วงหลุดจากมืออย่างไม่รู้ตัว
"พี่หาน!"
เซียงฉินแน่นิ่งราวกับหิน มองอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ ลมพัดตีเข้าใบหน้าวูบหนึ่งจึงได้สติ รีบสอดส่ายสายตามองหาจิงชิงทันที
"ข้าไล่นางกลับไปแล้ว" มุมปากของหานซวี่ยกขึ้นน้อย ๆ ขณะเอ่ย
"ไล่กลับไปแล้ว? " เซียงฉินเบิกตาโตถาม
หานซวี่ตอบว่าใช่ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะเอ่ยเสริมว่า "ข้าเพิ่งกลับมาจากดูกิจการในเขตมณฑลซือโหร่ว เห็นเจ้าโดยบังเอิญก็เลยเดินเข้ามาทักทายเสียหน่อย"
พอได้ฟังเช่นนั้น หัวสมองของเซียงฉินก็พลันแจ่มชัดขึ้นมา…
จริงสิ! สกุลจื่อนอกจากจะรับราชการแล้ว ยังเปิดเป็นโรงหมอยาวนานตั้งแต่รุ่นสู่รุ่น กระจายสาขาอยู่ตามเขตแคว้น มีชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อย บุตรชายคนโตอย่างเขา ไม่ทำอะไรก็เหมือนกับนอนอยู่บนกองเงินกองทอง ช่างน่าอิจฉาเสียจริง ๆ
"ช่วยงานกิจการย่อมดี ข้านึกว่าท่านแอบมาเที่ยวเล่นเสียอีก"
"ฉีฉี…เจ้าน้อยใจที่ข้าไม่มีเวลาพาเจ้าออกมาเที่ยวเล่นอย่างนั้นหรือ? " หานซวี่พูดหยอกเย้าพลางส่งสายตาหวานซึ้งเปล่งประกาย
เซียงฉินก้มหน้าหลุบตาอย่างเก้อกระดาก รีบเอ่ยแก้ต่างทันใด "ชะ ใช่ที่ไหนกันเล่า เหตุใดถึงโยงเข้าเรื่องนั้นไปได้"
"ฮ่า ๆ ๆ " หานซวี่อดกลั้นไม่อยู่ เอามือกุมท้องหัวเราะเสียงดังก้อง จังหวะหนึ่งเหลือบตาไปเห็นเซียงฉินนั่งทำหน้าบูดบึ้ง จึงรีบย้ายมานั่งฝั่งเดียวกันกับนาง ก่อนจะตวัดแขนใหญ่แข็งแกร่งโอบรัดต้นคอบางระหง พลางกล่าว "นี่ ฟางฉี เจ้าอย่าโกรธข้าไปเลยนะ"
ใบหน้าของเซียงฉินแดงก่ำ หลุบตามองพื้นกลบเกลื่อนอาการเก้อเขิน เขาพูดและกระทำกับนางอย่างไม่คิดอะไร ทว่าหารู้ไม่ อีกฝ่ายหัวใจกำลังสั่นระรัว
ประการหนึ่งที่นางต้องจำใส่ใจ สตรีกับบุรุษไม่ควรใกล้ชิดกันมากเกินไป ถึงแม้จะสนิทสนมมากเพียงใดก็ตาม
"ฟางฉี…ข้าคงมีเรื่องบางอย่างต้องปรึกษาเจ้า"
ดวงตาของเซียงฉินทอประกายวูบ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “เรื่องอันใดหรือ…”
หานซวี่โน้มหน้ากระซิบที่ข้างริมหูนาง เอ่ยอย่างช้า ๆ “เจ้าว่า…แม่นางชุดขาวที่ยืนตรงสุดปลายถนนโน่น กำลังสนใจข้าอยู่หรือไม่?”
แม่นางชุดขาวอย่างนั้นหรือ?
ห้วงอารมณ์ของเซียงฉินผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว นางทอดสายตามองออกไป…
ตรงสุดปลายถนน มีหญิงสาวสวมชุดสีขาวนวลสะอาดตา ตัวเล็กบางน่าทะนุถนอม ในมือของนางถือสิ่งของบางอย่างคล้ายถุงหอมใบเล็ก เดินเยื้องย่างวนไปมาช้า ๆ เซียงฉินเห็นดวงหน้าของนางไม่ชัดเจนนัก ทว่าดูจากเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นประกอบกับอากัปกิริยาอ่อนช้อยก็พอจะคาดเดาได้ นางคือสตรีในอุดมคติของหานซวี่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เซียงฉินเบ้ปาก ตอบอย่างคลุมเครือ “นางมองออกไปนอกถนน หาได้มองท่านเสียหน่อย”
หานซวี่เขยิบกายเข้าไปใกล้ ก่อนจะโอบกระชับคอนางแนบแน่นขึ้น ให้ความรู้สึกเหมือนกอดกันก็มิปาน “เจ้าดูดี ๆ สิ นางหันมามองข้า สัญญาณเช่นนี้มีหรือบุรุษอย่างข้าจะคาดการณ์ผิด”
“ขะ ข้าไม่รู้” เซียงฉินสะบัดตัว จนหลุดออกจากแขนอันหนาแข็งแกร่งของเขา
หานซวี่คลี่ยิ้มกล่าวอย่างมั่นใจ "รอดูเถิด…อีกไม่นาน แม่นางผู้นั้นจะต้องหันมายิ้มให้ข้า”
เซียงฉินส่ายศีรษะระอาอับจนคำพูด จากที่มั่นใจว่าไม่มีทางเป็นเช่นนั้น แต่แล้วหญิงสาวร่างบางชุดขาวก็ค่อย ๆ หันศีรษะมองมาที่หานซวี่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มก็พลันยืดอกผายกว้าง เหยียดตรงเหมือนลำไผ่ ตีหน้าขรึมหล่อเหลาเพื่อให้นางประทับใจ
นางยิ้มมา เขายิ้มกลับ
นางโบกมือไปมา เขาโบกมือตาม
ทว่านางไม่ได้สื่อสารกับหานซวี่ แต่เป็นบุรุษหล่อเหลาที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาต่างหาก
เซียงฉินส่งเสียงพรืดและหัวเราะออกมาเสียงดัง หานซวี่รู้สึกเหมือนใบหน้ากำลังหล่นแตกเป็นเสี่ยง ๆ "ฮ่า ๆ ๆ พี่หาน ท่านยิ้มและโบกมือให้ผู้ใดกัน อากาศธาตุอย่างนั้นหรือ"
“นี่เจ้า! กำลังล้อเลียนข้าอยู่หรือ…” หานซวี่กดเสียงต่ำถาม
เซียงฉินฟุบกับโต๊ะหัวเราะจนตัวงอ แม้จะพยายามกลั้นขำ แต่สุดท้ายก็หลุดขำออกมาอยู่ดี "ฮ่า ๆ ๆ …พี่หาน ท่านนี่ตลกจริง ๆ "
หานซวี่เห็นนางยิ้มหัวเราะเช่นนั้น อดไม่ได้ยิ้มหัวเราะตาม รอยยิ้มบนใบหน้าสะคราญโฉมสว่างสดใสประดุจบุปผางามที่ผลิบานในวสันตฤดู นัยน์ตากระจ่างของเขาไม่ละไปจากนางแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งจ้องมองยิ่งเคลิบเคลิ้มหลงใหล จู่ ๆ ในใจก็เบิกบานขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว