4
“ยายเมย์...ยายลูกไม่รักดี แกไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหน ทำไมถึงทำตัวเป็นเด็กไม่มีความคิด เมื่อไหร่แกจะโตสักที นี่ถ้าวิญญาณแม่แกบนสวรรค์รู้ว่าแกเป็นแบบนี้ เขาคงจะเสียใจ แกไม่น่าจะเกิดมาเป็นลูกของคนดีๆ อย่างคุณปรางค์เลย”
ใบหน้ามงคลเต็มไปด้วยความอ่อนล้าและเหนื่อยหน่ายใจ นับวันเมษายิ่งร้ายกาจ ทำให้คนรอบข้างเอือมระอา ทำให้เขามีแต่ความเสียใจ เพราะไม่อาจทำตามคำพูดที่รับปากไว้กับคุณปรางค์ได้ ทำไมลูกสาวคนเล็กถึงได้ดื้อนัก เขาไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจจริงๆ
“ค่ะ...แม่จะต้องผิดหวังและเสียใจที่ปล่อยให้หนูเมย์เกิดมา ได้เจอกับคนใจร้ายอย่างมีนา ต้องอยู่กับพ่อที่ไม่ได้รัก”
เมษาเอ่ยตัดพ้อ อย่าว่าแต่อ้อมกอดที่เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยได้รับเมื่อไหร่เลย คำเอ่ยชมก็ไม่มี หากคำติเตียนดุด่ามีกรอกหูบ่อยมาก วันนี้พ่อยังมีคำพูดที่เป็นเหมือนมีดกรีดลงกลางใจจนเธอทนฟังไม่ได้
เมษาหันหลังวิ่ง...วิ่งไปอย่างรวดเร็ว เพราะต้องการที่สำหรับซุกกายปรับหัวใจที่บอบช้ำให้มีกำลังแรงใจสู้กับสายตาและคำพูดเยาะเย้ยถากถางของมีนา หากภาพและเสียงพูดของพ่อที่ปลอบโยนมีนาและด่าทอที่ดังไล่หลังมา มันทำให้เธอเจ็บปวดจนแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ในโลก
เมษายกมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าปากก็พร่ำพูดอย่างน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง
“ฮือๆ พ่อจ๋าพ่อรักน้องเมย์บ้างไหม ทำไมพ่อถึงไม่เคยกอดน้องเมย์เหมือนกอดมีนาเลย ฮือๆ “เมษาวิ่งไปพร้อมกับพูดจาตัดพ้อต่อว่าบิดาไป หวังว่าคำพูดของเธอคงจะมีสายลมพัดเอาคำพูดนี้ไปกระซิบบอกให้บิดารับรู้ถึงความเจ็บปวดของเธอและหลังจากที่บิดารับรู้แล้วท่านอาจจะหันมามอบอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นให้เธอบ้าง
“หยุดนะยายเมย์ กลับมาขอโทษพี่มีนาก่อน ยายเมย์! ดูซิดูมันทำ พอฉันจะดุด่าสั่งสอนก็วิ่งหนีไปอีกแล้ว นี่ถ้าฉันตายไป ไม่รู้ว่าจะมีหน้าไปพบคุณปรางค์หรือเปล่า”
เสียงบิดาร้องเรียกดังลอยมากับสายลม เมษาไม่อยากฟังจึงรีบยกมือปิดหูเอาไว้ ไม่อยากฟังไม่อยากได้ยินคำพูดเกรี้ยวกราดของบิดาและเสียงเยาะเย้ยของมีนา ไม่เห็นท่าทางประคับประคองกันอย่างรักใคร่ของสองคนพ่อลูกในขณะที่เธอคงจะเป็นเพียงแค่กาฝากเท่านั้น!
เมษาวิ่งถลาเหมือนนกปีกหัก เธอทุ่มตัวนอนราบบนเตียงนอนขนาดเล็กในห้องส่วนตัว มือคว้าตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เก่าคร่ำครึและเต็มไปด้วยร่องรอยของการปะชุนเพื่อให้อยู่ใกล้เคียงสภาพเดิมมากที่สุด ตุ๊กตาหมีตัวโตเป็นตัวแทนของแม่พร้อมคำสัญญาที่ขอจากเธอก่อนท่านจะจากโลกนี้ไป คงจะมีเพียงสิ่งนี้ที่เธอรักมากและความรักจากคุณนวลน้อยผู้เป็นย่าเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเธอให้สามารถอยู่บ้านหลังนี้ได้ตลอดมา
“จำไว้น่ะหนูเมย์ คุณพ่อรักลูกเหมือนกับที่รักพี่มีนา แต่ท่านไม่อาจแสดงออกให้หนูเห็น ท่านบอกแม่เสมอนะ ท่านรักหนูมากที่สุดเลย ขอให้แม่บอกให้หนูรู้และขอให้คนเก่งของแม่เชื่อใจในความรักที่พ่อมีให้ หนูต้องสัญญากับแม่นะ หนูจะอยู่ที่บ้านหลังนี้ตลอดไป”
“ไหนล่ะจ๊ะแม่จ๋า...ความรักของพ่อที่มีให้น้องเมย์ ทำไมน้องเมย์ถึงสัมผัสไม่ได้ แม่รู้ไหมน้องเมย์เหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกิน...สู้ไม่ไหวแล้ว....ไม่ไหวแล้วจริงๆ แม่จ๋า...”
เธอยังจดจำภาพในวันที่แม่ขอคำสัญญาจากบนเตียงในโรงพยาบาลได้ดี ร่างกายแม่เต็มไปด้วยสายอะไรต่ออะไรไม่รู้ระโยงระยางเต็มไปหมด เธอจับมือเย็นเอาไว้สลับลูบไปบนแขนเล็กเบาๆ เพราะกลัวว่าแม่จะเจ็บ ดวงตาของแม่พร้อมจะปิดลงทุกเมื่อ รอเพียงคำสัญญาจากเด็กอายุ 8 ขวบอย่างเธอเท่านั้น ที่เพียงแค่เอ่ยคำสัญญาออกไป แม่ก็ยิ้มแล้วหลับตาไม่ตื่นมาอีกเลย
แม่ป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอด แม้ตอนที่ไปชายทะเลด้วยกัน แม่ก็ต้องนอนพักอยู่แต่ในห้อง พอกลับมาจากทะเล ก็ป่วยหนักต้องเข้าไปในนอนในโรงพยาบาล เมื่อครอบครัวของเบนนิโต้รู้ข่าว พวกเขาก็รีบรุดมาเยี่ยมโดยเร็ว และเมื่อถึงเวลาที่แม่ต้องจากไปจริงๆ
วันนั้นเธอร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด ร้องเรียกหาแม่จนหลับไปพร้อมกับน้ำตา พอตื่นมาก็ร้องเรียกหาแม่อีกครั้ง แต่ไม่เคยมีเงาของผู้เป็นพ่อมาพูดปลอบโยนปลอบใจหรือให้กำลังใจเธอแม้แต่น้อย
ยิ่งคิดถึงความหลังครั้งเก่า น้ำตาของเมษาก็ยิ่งไหลอาบแก้มพร้อมเสียงสะอื้นฮัก ในวันที่ปราศจากอ้อมกอดและคำปลอบประโลมจากบิดา คงมีเพียงอ้อมกอดของผู้เป็นย่าและเด็กน้อยผิวขาวนามเบนนิโต้อยู่เคียงข้างกายเสมอ ไม่ว่าเธอจะก้าวเดินไปทางใด จะมีเขาตามติดเป็นเงาไม่ห่าง คอยหาเรื่องสนุกๆ มาเล่าให้ฟัง ชวนวิ่งเล่นไล่จับให้เธอคลายความโศกเศร้าและเสียใจ
“แม่จ๋า...หนูเมย์ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ” เมษาพูดเสียงเบา ลุกขึ้นจากเตียงนอนที่ยังมีน้ำตานองหน้า เธอยิ้มอย่างขมขื่น
ภาพในวันวานที่ยังคงฝังลึกในความทรงจำ วันครบรอบวันเกิดอายุเก้าขวบ เธอขอให้พ่อซื้อตุ๊กตา แต่คำตอบที่ได้มา...มันทำให้หัวใจเด็กน้อยอย่างเธอแทบแหลกสลายไปในพริบตา...
“แกจะเอาไปทำไมยายเมย์ ฉันไม่เคยเห็นแกเล่นตุ๊กตาเลยสักครั้ง เห็นเอาแต่วิ่งเล่นเตะบอลกับเด็กผู้ชาย ถ้าอยากได้ของขวัญวันเกิด เดี๋ยวฉันซื้อลูกบอลให้ดีกว่า เอาเวลาที่ว่างไปอ่านหนังสือ เรียนให้เก่ง จะได้ทำให้ครอบครัวเรามีหน้ามีตาดีกว่า”
“ต่อให้น้องเมย์ทำดีแค่ไหน ในสายตาพ่อ ยังไงมันก็ไม่ดีหรอกจ้ะแม่”
เธอเชื่อคำที่แม่พร่ำบอกว่าพ่อรักเธอ ทว่าตั้งแต่เด็กจนโตจนถึงตอนนี้เธออายุ 22 ปี ยังไม่เคยสัมผัสกับอ้อมกอดของพ่อเลยสักครั้ง และตอนนี้ความรักของพ่อกำลังฆ่าเธอให้ตายทั้งเป็นและตายอย่างช้าๆ และทรมานที่สุด
สายตาเมษาสะดุดเข้ากับกล่องสี่เหลี่ยมใบเล็กสีน้ำตาล ด้านบนแกะสลักเป็นรูปปลาเงินปลาทองที่แม่บรรจงแกะสลักด้วยตัวของแม่เอง แม้มันจะไม่สวยเหมือนกับกล่องที่วางขายทั่วไป แต่ก็มีคุณค่าทางใจกับเธอที่สุด หญิงสาวเอื้อมไปจับกล่องที่สภาพยังคงเหมือนกับตอนที่เธอได้รับจากมือของแม่พร้อมกับคำพูดอันแสนหวานและอ่อนโยน
“แม่ให้น้องเมย์เอาไว้ใส่ของสิ่งของสำคัญนะจ้ะ” ซึ่งเธอก็เก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดี
เมษาไขกุญแจกล่องมือไม้สั่น ฝากล่องเปิดออกพร้อมกับใจที่รวดร้าวปานจะขาดรอนไปในพริบตา เอื้อมหยิบของมีค่าชิ้นหนึ่งในไม่กี่ชิ้นที่เธอเก็บซ่อนมันไว้เป็นอย่างดี
ต้องซ่อน...เพราะไม่เช่นนั้นจะถูกทำลายเสียสิ้น!
กล่องของขวัญสีขาวอมชมพูขนาดหนึ่งนิ้ว ที่มีสีกระดำกระด่างจากฝีมือเด็กไม่รู้จักโตอย่างเธอและเบนนิโต้ช่วยกันทำ ภายในบรรจุแหวนดอกไม้วงเล็ก แหวนที่เต็มไปด้วยคุณค่าและความหมายสำหรับคนรับอย่างเธอ แต่สำหรับคนให้ ป่านนี้เขาคงจะลืมมันไปเสียหมดสิ้นแล้ว
“แหวนวงนี้เป็นตัวแทนของพี่ที่มอบให้น้องเมย์ จำไว้ว่าพี่บีจะรักน้องเมย์เสมอ วันหนึ่งพี่จะกลับมา...เพื่อทวงสัญญา น้องเมย์จะรอพี่บีใช่ไหมจ้ะ”
คำพูดนั้นแสนจะอ่อนหวานนักสำหรับเธอ รอยยิ้มของเด็กน้อยไร้เดียงสาดวงตากลมโตแก้มและปากแดงปลั่ง ตอบเบนนิโต้ออกไปตามใจคิด
“ค่ะ น้องเมย์จะรอพี่บีกลับมา พี่บีอย่าลืมสัญญานะคะ” แล้วนิ้วอวบอ้วนสีขาวสองนิ้วเกี่ยวเข้าด้วยกันเป็นประกันในคำสัญญา
“น้องเมย์รักพี่บีที่สุดในโลกเลย” ว่าแล้วร่างขาวอวบอ้วนก็โถมตัวเข้ากอดเบนนิโต้พร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาของชายหนุ่มหลายต่อหลายครั้ง
เมษายังจำประโยคที่เธอตอบเบนนิโต้ได้เสมอ เพราะคำนั้นมันฝังอยู่ในใจในสมองของเธอไม่เคยลืม...