“ช้าง ช้าง ช้างพลาย” เสียงหวาน ๆ ดังเข้ามาในโสตประสาทของผมพร้อมแรงสะกิดที่ไหล่
“อื้อ อะไรปราง” ผมเอ่ยพร้อมคว้าร่างบางของแฟนสาวลงมานอนทับที่ตัวของผม แต่ผมก็ต้องชะงักเมื่อกลิ่นกายที่มันเตะจมูกไม่ใช่กลิ่นของมะปราง มันคือกลิ่นกายหอม ๆ ของผู้หญิงอีกคน
‘ให้ตายเถอะไอ้ช้าง! ละเมออะไรของมึงวะเนี่ย’ ด่าตัวเองในใจก่อนที่จะลืมตาตื่น
“ขอโทษที กูเคยชิน” ผมลืมตามองใบหน้าหวาน ๆ ของผู้หญิงตัวเล็กที่ตอนนี้นัยน์ตากลมโตมีน้ำเอ่อคลอ
“มะ... ไม่เป็นไรกูเข้าใจ ไปกินข้าวเถอะ กูทำข้าวต้มไว้” น้ำเสียงอึกอักของอ้อยหวานทำเอาผมไปไม่เป็นเลยทีเดียว
“อืม” ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรจึงตอบออกไปเพียงแค่นั้น จากนั้นผมก็เดินตามเธอเข้ามาที่ครัว
“มึงไม่กินเหรอเตี้ย” ผมเอ่ยถามอ้อยหวานที่ถือถ้วยข้าวต้มมาให้ผม จากนั้นเธอก็เดินไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามผม
“ไม่หิว” เธอส่งรอยยิ้มหวานมาให้ผม
“มึงงอน”
“กูไม่ได้งอน กูแค่ไม่หิวจริง ๆ เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนนะ” ว่าจบเธอก็ลุกขึ้นไปเลย คงจะงอนจริง ๆ สินะ
ต่อไปผมคงต้องเนียนให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะแย่เอา
ทำไงได้ ผมยังอยากกินเธออยู่นี่นา
สองปีต่อมา...
สองปีผ่านไป ผมยังคงไปมาหาสู่ ไปค้างคืนที่บ้านของอ้อยหวานเหมือนเดิม ไม่ใช่แค่ค้างครับ ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างของผมอยู่ที่บ้านของเธอด้วย ความสัมพันธ์และสถานะของเรามีเพียงกลุ่มเพื่อนสนิทเท่านั้นที่รู้
ผมเข้าทำงานที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของพ่อ เป็นบริษัทจัดขายที่ดิน ก่อสร้างคอนโด ทาวน์เฮ้าส์ บ้านจัดสรร ครอบครัวของผมครอบครองที่ดินหลายแห่งใจกลางเมืองกรุงและอีกหลายที่ในต่างจังหวัด ความสัมพันธ์ของผมกับอ้อยหวานยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยที่ผมนั้นยังไม่คิดจะเบื่อเธอ ยิ่งอยู่ใกล้ผมยิ่งชื่นชอบกลิ่นกายของเธอ ผมเหมือนเสพติดกลิ่นกายของเธอไปแล้ว อ่อ ผมน่ะยังไม่เลิกกับมะปรางนะครับ เวลาที่ผมจะไปค้างคืนกับมะปรางผมก็จะหยิบยกงานการมาอ้าง แน่นอนว่าอ้อยหวานก็ไม่เคยเอะใจสักครั้ง เธอรักผมจนโงหัวไม่ขึ้น ผมพูดอะไรเธอก็เชื่อผมหมด
ถามว่ารักเธอไหม ก็คงจะตอบว่า...ไม่
เพราะหัวใจของผมยังเป็นของมะปรางเพียงคนเดียว สำหรับอ้อยหวานคงจะเป็นความรู้สึกหวงร่างกายของเธอ กลัวว่าเธอจะให้คนอื่นมาแทนที่มากกว่า เรียกง่าย ๆ ว่า ‘หมาหวงก้าง’ แต่สำหรับผมคงจะเป็น ‘ช้างหวงอ้อย’
“เตี้ยวันนี้ไม่ได้ค้างด้วยนะ งานยุ่งมากยังเคลียร์ไม่เสร็จเลย เหนื่อยมาก ปวดหัวฉิบหาย” ผมกดโทรหาอ้อยหวานพร้อมป้อนคำโกหกผ่านโทรศัพท์มือถือให้ปลายสายได้รับฟัง ที่ต้องโทรบอกเพราะไม่อยากให้เธอนั่งรอ
วันนี้เป็นวันครบรอบของผมกับมะปราง เราสองคนจึงจะไปฉลองด้วยกัน
(อ่า ให้เอาข้าวไปให้ไหม) เธอเสนอตัวก็ไม่แปลกเพราะเธอเคยมาหาผมบ่อย เพียงแค่คนในบริษัทเข้าใจว่าเธอเป็นเพื่อนของผม คือก่อนหน้านั้นเธอเคยมาที่นี่บ่อย เพราะเธอสนิทกับแม่ของผม แม่ของผมท่านเอ็นดูอ้อยหวานเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง
“ไม่ต้องหรอก ไม่อยากให้มึงเหนื่อย กูรักมึงนะ แค่นี้ก่อนกูงานยุ่งมาก” ไม่ฟังปลายสายพูดต่อผมกดวางสายแล้วรีบเก็บของเพื่อเดินทางไปรับแฟนสาวคนสวย ป่านนี้มะปรางคงจะแต่งตัวรอผมแล้ว
ถ้าถามว่าหากวันหนึ่งมะปรางรู้เรื่องราวที่ผมทำไม่ดีจะทำยังไง ผมก็คงจะร้องขอโอกาสแล้วเลิกกับอ้อยหวานเพื่อเธอ
ถึงวันนั้นเรื่องราวของผมกับอ้อยหวานคงจะจบลง
“สวยมากครับคนดี”
“สวยแล้วรักไหมคะ” แฟนสาวแสนสวยของผมเอ่ยถาม
“รักสิครับ รักมาก” พูดแล้วผมก็หอมที่แก้มนวลใส
“รักมากได้ แต่อย่ามากรักนะคะ”
“รักเดียวครับ” ผมย้ำชัดอีกครั้ง
“รักเดียวแล้วเมื่อไหร่จะมาขอหนูคะ พ่อแม่หนูท่านถามแล้วนะ”
“อีกนิดนะครับคนดี รอพี่อีกหน่อย” ผมลั่นวาจา เพราะได้ทำเซอร์ไพรส์ไว้ให้เธอแล้ว รอแค่เพียงเวลาเท่านั้น
เธอคนนี้แหละที่ผมจะแต่งงานด้วย
สองวันต่อมา...
บ้านอ้อยหวาน
“เตี้ยผัวกลับมาทำไมทำหน้าเศร้า” ถามเพื่อนสนิทที่ความใกล้ชิดของเราเกินขอบเขตความเป็นเพื่อนไปไกลแล้ว ตอนนี้อ้อยหวานเธอนั่งเงียบจ้องโน้ตบุ๊คไม่พูดไม่จา ดวงตากลมโตของเธอแดงก่ำคล้ายคนที่ผ่านการอย่างร้องไห้หนัก
หรือจะโกรธที่ผมหายไปถึงสองคืน ใช่ครับผมอ้างว่างานยุ่ง แต่แท้จริงแล้วผมไปขลุกอยู่กับแฟนตัวจริงถึงสองคืน จะทำไงได้มันเป็นวันครบรอบของผมกับมะปราง ผมก็ต้องเอาใจแฟนของผมสิ
ผมว่าไม่น่าใช่เรื่องนี้นะ คงไม่หรอก อ้อยหวานไม่มีทางรู้แน่นอน เพราะผมโกหกมาได้ตั้งสองปีเธอไม่เห็นจับได้
“เตี้ย เป็นไรเปล่า โกรธไรช้างเปล่า” ผมไม่ชอบที่เธอเป็นแบบนี้เลย
“แค่อินกับนิยายดราม่า ไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงโง่ งมงาย จมปลักกับความรักห่วย ๆ ยอมให้ผู้ชายหลอกจนกระทั่งยอมที่จะตกอยู่ในสถานะ ‘ชู้’ ดูโง่ดี” เธอเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผมทั้งน้ำตา
หัวใจของผมมันกระตุกวูบไปชั่วขณะ แต่คงไม่หรอก อ้อยหวานแค่อินกับนิยายก็เท่านั้น
“อินขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ผมหย่อนตัวลงนั่งข้างกาย จับให้อ้อยหวานหันหน้ามาสบตากับผม จากนั้นก็เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าให้เธอ
“อินสิ เพราะชีวิตจริงคงไม่ต่างจากในนิยาย เขาว่านิยายมักอิงมาจากเรื่องจริง” อ้อยหวานมองหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง ทำเอาผมกลืนน้ำลายอย่างลำบาก หรือว่าอ้อยหวานจะรู้เรื่องที่ผมโกหกเธอแล้ว
“ก็แค่นิยาย อย่าไปอะไรมากเลย” พูดแล้วผมก็โน้มจะจูบปากอมชมพู แต่เธอกับหลบหลีก ผมจึงทำได้เพียงแค่หอมแก้มเนียนนุ่มของเธอ
“ใช่ ก็แค่ผู้ชาย” อ้อยหวานว่าจบเธอลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป
ทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้ผมได้งง มันเป็นอะไรของมันวะ
“คืนนี้ค้างได้เหรอ” ขาทั้งสองข้างของผมชะงักเมื่ออ้อยหวานเอ่ยถามขณะที่ผมกำลังจะก้าวขาเข้าห้องน้ำพร้อมผ้าเช็ดตัว ก่อนหน้านี้เราทั้งสองนั่งทานข้าวกันเงียบ ๆ เหมือนทุกวัน จากนั้นผมก็จะอาบน้ำเข้านอน วันนี้มันเป็นอะไรของมัน
“ก็ค้างด้วยมาโดยตลอด จะค้างที่บริษัทเฉพาะตอนงานยุ่ง มึงเป็นอะไรรึเปล่าเตี้ย กูก็บอกแล้วว่างานยุ่ง คุยกันเข้าใจแล้วไม่ใช่เหรอ เป็นไรเนี่ย” ผมหันไปสบตาเธอ โดยที่เธอมองผมอยู่ก่อนแล้ว แววตาของอ้อยหวานดูเศร้าหมอง
“เป็นบ้ามั้ง สงสัยรอบเดือนจะมา” หลังจากที่พูดจบ เธอล้มตัวลงนอนคลุมโปง ผมถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ มันคงจะเป็นเมนส์จริง ๆ ถึงได้หลายอารมณ์
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จผมก็ขึ้นมานอนบนเตียงกว้าง โอบกอดอ้อยหวานและพล่ามคำโกหกออกมาว่า “กูรักมึงนะเตี้ย”
ผมบอกเธอแบบนี้ทุกวันก่อนนอนเสมอ และเธอจะตอบกลับมาว่ากูก็รัก รักมึงมาก
“อืม” แต่วันนี้แปลกไป มีแค่เสียงสั้น ๆ ที่ผ่านลำคอออกมา จากนั้นร่างบางก็พลิกหันหลังให้ผม
สงสัยคงจะหงุดหงิดวันแดงเดือดกำลังจะมา ผมคิดเพียงแค่นี้และกอดเธอต่อ ผมชื่นชอบกลิ่นกายของเธอ ผมยังหลงใหลไม่เคยคิดจะเบื่อสักครั้ง นี่ผมคิดเอาไว้แล้วว่าต่อให้ผมแต่งงานกับมะปราง ผมก็ไม่คิดจะปล่อยเธอไปให้คนอื่นได้เชยชม