(ตัดข้าออกจากชีวิตอย่างนั้นหรือช่างเป็นคำพูดที่โอหังนัก ไหนจะดื่มด่ำกับชีวิตอิสระข้างนอกข้าเคยกักขังเจ้าเมื่อไรกัน เฮอะ)
ฮ่องเต้จวินเฟยหลงลุกขึ้นนั่งบนที่นอนอย่างกระวนกระวายใจจนหญิงสาวที่นอนอยู่ข้างกายสะดุ้งตื่น
"ทรงเป็นอะไรเพคะฝ่าบาท" น้ำเสียงงัวเงียออดอ้อนของผิงเอ๋อเอ่ยถามขึ้น
"ไม่มีอะไร" ชายหนุ่มลุกขึ้นสะบัดผ้าที่ห่มออกจากกาย
"ทรงบรรทมอีกสักหน่อยเถอะเพคะ" เสียงหวานออดอ้อนรบเร้าผู้เป็นสามี
"ใกล้เช้าแล้วเจ้านอนต่อเถอะ" ไม่ทันที่ผิงเอ๋อจะทันได้พูดต่อชายหนุ่มก็หันเดินออกไปเสียแล้ว
"ฝ่าบาท จะเสด็จที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ" องครักษ์อู่ติ่งเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นจวินเฟยหลงก้าวเท้าออกมาจากห้อง
จวินเฟยหลงเดินมาหยุดที่หน้าตำหนักของหวงกุ้ยเฟย เป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่เขาไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาที่นี่ ชายหนุ่มหยุดใช้ความคิดครู่ใหญ่ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป
.....
นกน้อยเกาะอยู่บนกิ่งไม้นอกหน้าต่าง ตอนนี้กำลังขับขานกระเซ้าเย้าแหย่กันเป็นทำนองเสนาะหู จนทำให้หญิงสาวขี้เซาที่หลับใหลต้องลืมตาตื่นขึ้นมายิ้มรับแสงอรุณของเช้าวันใหม่
" ไต้ซี " เสียงหญิงสาวเรียกนางในคนสนิทที่ตอนนี้เปรียบเสมือนเพื่อนและน้องสาวที่รู้ใจ
"เพคะ" เสียงใสแว่วมาแต่ไกลพร้อมอ่างล้างหน้าและผ้าสะอาด
"เจ้านำตำราพวกนี้ไปคืนให้ข้าหน่อย แล้วก็เอาเล่มใหม่มาให้ข้าซักหกเจ็ดเล่ม" หญิงสาวยื่นตำรากองโตที่นำมาอ่านเพื่อคลายเครียดให้สาวใช้
"ตำราเหล่านี้หวงกุ้ยเฟยทรงอ่านหมดแล้วงั้นหรือเพคะ" (หวงกุ้ยเฟยรักการอ่านตำราเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน) สาวใช้มองด้วยความประหลาดใจ กองหนังสือพวกนี้นับรวมกันแล้วก็หลายสิบเล่มไม่น่าเชื่อว่าหวงกุ้ยเฟยจะใช้เวลาเพียงไม่นานก็ศึกษาได้จนหมด
"หวงกุ้ยเฟยจะเสด็จที่ใดเพคะ"
"ข้าไม่ได้ไปไหน แค่ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายนิดหน่อย เจ้ารีบไปเถอะ" ตงฟางหรงออกตัววิ่งรอบๆ ตำหนักเป็นการออกกำลังกาย
"เพคะ" สาวใช้รับคำ หากแต่สายตายังจับจ้องอยู่ที่ท่าทางประหลาดของหวงกุ้ยเฟย
.......
"ใคร" จวินเฟยหลงส่งสัญญาณให้องครักษ์ออกไปดูด้านนอก
สาวใช้ท่าทางตื่นตกใจตอนนี้น้ำตาคลอเบ้า มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยตำรารุงรังตอนนี้ถูกอู่ติ่งนำตัวเข้ามาในห้องหนังสือ
"เจ้าเป็นใคร" เสียงเย็นชาเอ่ยถามสาวใช้ที่กลัวจนตัวสั่นเทา
"หม่อมฉันไต้ซีเป็นสาวใช้ที่ตำหนักหวงกุ้ยเฟยเพคะ หวงกุ้ยเฟยให้หม่อมฉันนำตำรามาคืนเพคะ" สาวใช้ยื่นมือที่เต็มไปด้วยตำรามากมายให้ฮ่องเต้ดู
จวินเฟยหลงไตร่ตรองสิ่งที่สาวใช้พูด "วางตำราไว้แล้วไปซะ"
สาวใช้รีบวางตำราลง หากแต่นางยังคงไม่ไปไหน
"เจ้ายังมีเรื่องอันใดอีก" จวินเฟยหลงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
"เอ่อ..คือ..หวงกุ้ยเฟยให้หม่อมฉันนำตำราเล่มใหม่กลับไปด้วยเพคะ" สาวใช้กล่าวด้วยเสียงเบา
"อู่ติ่ง เจ้าพานางไปหยิบตำรา"
จวินเฟยหลงหยิบตำราที่สาวใช้นำมาคืนขึ้นมาทีละเล่ม ตำรายุทธศาสตร์สงคราม กลยุทธ์สงคราม การต่อสู้ขั้นพื้นฐาน หลักการศึก การใช้ดาบ ภูมิศาสตร์เบื้องต้น ฯลฯ ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับการทำศึกสงคราม นางจะศึกษาตำราพวกนี้เพื่ออะไรกัน สตินางคงฟั่นเฟือนไปหมดแล้ว
.…..
"กลับมาแล้วเพคะ" สาวใช้ยื่นตำราเล่มใหม่ให้กับตงฟางหรง
"หวงกุ้ยเฟยจะอ่านตำราเหล่านี้ไปทำไมเพคะ" สาวใช้เอ่ยถามเหมือนเห็นว่าหญิงสาวสนใจในตำราเหล่านี้เป็นพิเศษซึ่งแตกต่างจากเหมือนก่อน
"ตำราล้ำค่าพวกนี้ไม่ใช่จะหาอ่านได้ง่ายๆ นะเจ้ารู้ไหม มีโอกาสข้าก็ต้องรีบกอบโกย" ไม่พูดเปล่าตงฟางหรงยังใจจดใจจ่ออยู่ที่ตำราไม่ห่างไปไหน
"หากเป็นเมื่อก่อนหวงกุ้ยเฟยคงจะปักผ้าไม่ก็ดีดพิน หม่อมฉันไม่เคยเห็นหวงกุ้ยเฟยสนพระทัยตำราเหล่านี้เลยนะเพคะ"
หญิงสาวยังคงก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไม่สนใจสิ่งที่สาวใช้พูด
"ข้าแค่ศึกษาไว้ เพื่อในอนาคตมีโอกาสได้ใช้ เจ้าก็อย่าสงสัยอะไรเลย"
เวลาล่วงเลยจวนใกล้เที่ยงหญิงสาวยังคงเพลิดเพลินอ่านตำราไม่ไปไหน หนังสือมากมายถูกนำมาวางไว้ บางเล่มหญิงสาวอ่านทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกจนจำได้ทุกถ้อยคำที่อยู่บนกระดาษ
"จวนเที่ยงแล้วจะให้หม่อมฉันยกสำรับมาที่นี่เลยไหมเพคะ"
"ไม่ล่ะ เจ้าเตรียมชุดให้ข้าก็พอ ข้าจะออกไปกินนอกวัง"
......
หญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงวันนี้มาในชุดผ้าไหมสีน้ำเงิน ผมยาวถูกมัดรวบไว้อย่างเรียบร้อย แม้พยายามทำตัวให้กลมกลืนหากแต่นางกลับโดดเด่นกว่าคนทั่วไป
"เถ้าแก่ บะหมี่หนึ่งชาม"
หญิงสาวเอ่ยกับเถ้าแก่ร้านก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ ร้านอาหารเล็กๆ ริมทางหากแต่ตอนนี้กลับคับคั่งไปด้วยผู้คนมากมายอาจจะเป็นเพราะบะหมี่ที่นี่รสชาติดีกว่าร้านอื่นละแวกนี้ อีกทั้งเจ้าของร้านก็ดูเป็นมิตรน่าคบหา
"ข้าขอนั่งด้วยได้หรือไม่" เสียงชายหนุ่มเดินหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว
"คุณชายเฟยหลง..ท่านทั้งสองเชิญนั่ง" หญิงสาวเชื้อเชิญจวินเฟยหลงและอู่ติ่งให้นั่งร่วมโต๊ะ
"ขโมย ขโมย" เสียงตะโกนดังมาแต่ไกล ตงฟางหรงเงยหน้าขึ้นเห็นชายหนุ่มท่าทางเลิ่กลั่กวิ่งมา เธอยื่นขาออกไปขวางทางขโมยจนตอนนี้ขโมยล้มกลิ้งไม่เป็นท่า
"เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" ชายหนุ่มที่นั่งอยู่รีบลุกขึ้นดูที่ขาของหญิงสาว
"ข้าไม่ได้เป็นอะไร นู้นคนที่เป็นกองอยู่ตรงนั้น" หญิงสาวหันหน้ามองหัวขโมยที่นอนกองอยู่บนพื้นก่อนที่ทหารจะจับตัวไป
"ยังไงเจ้าก็เป็นหญิงต้องรู้จักถนอมตัว" จวินเฟยหลงบอกหญิงสาว
"ท่านดูออกว่าข้าเป็นผู้หญิงหรือ" (นี่ฉันปลอมตัวไม่เนียนหรือ ทำไมในซีรี่ส์ไม่เห็นมีคนดูออก)
"ใครก็ดูออกทั้งนั้น" จวินเฟยหลงยิ้มเยาะกับความคิดตื้นเขินของหญิงสาว
"อืม" (ครั้งหน้าจะปลอมตัวยังไงดี) หญิงสาวทำท่าครุ่นคิดโดยไม่ได้สนใจคนรอบข้าง
"เจ้าเป็นหญิงออกมาเตร็ดเตร่ทุกวัน เจ้ายังไม่แต่งงานมีครอบครัวหรือ" จวินเฟยหลงแกล้งถามหญิงสาว
"แต่งงานหรือ...ดูเหมือนว่าข้าจะแต่งงานแล้วนะ"
"เหมือนว่าอย่างนั้นหรือ" เป็นอีกครั้งที่คำพูดของเธอทำให้เขาแปลกใจและโกรธเคืองได้ในเวลาเดียวกัน
"อืม ข้าก็ไม่แน่ใจ อันที่จริงข้าก็ไม่เคยพบเขาหรอก บางทีข้าว่าเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้" หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่งราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ ก่อนจะคีบบะหมี่เข้าปาก
ปัง!.... ฝ่ามือของชายหนุ่มทุบโต๊ะด้วยความโมโห เสียงดังสนั่นจนคนรอบข้างต้องหันมาดู
"เย็นพระทัยก่อนพ่ะย่ะค่ะ" องครักษ์อู่ติ่งกระซิบบอกชายหนุ่มที่กำลังเดือดจัด
จวินเฟยหลงสะบัดชายผ้าอย่างหัวเสียก่อนเดินออกมา
"อ้าวจะไปแล้วหรือพวกท่านยังไม่ได้กินบะหมี่เลย นี่..นี่..จะทำท่าโกรธขนาดนั้นทำไม" (ฉันพูดอะไรผิดไป) ตงฟางหรงได้แต่ทำตาปริบๆ เธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายหนุ่มต้องทำท่าหัวเสียขนาดนั้น
จวินเฟยหลงมองหน้าเธออย่างหัวเสียก่อนจะเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงหญิงสาวที่นั่งกินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย และคำถามที่ค้างในใจของตัวเขาเอง