แสงสุดท้ายของวันกำลังจะลาลับแล้วแม้พยายามต่อสู้แย่งชิงพื้นที่บนฟ้ากว้างแต่ก็ไม่อาจฝืนธรรมชาติไม่อาจส่องสว่างได้ตลอดไป แสงสีส้มค่อยๆ ถูกความมืดกลืนกินทีละน้อย สายลมโชยค่อยๆ หอบดวงจันทร์ขึ้นมาทีละหน่อย ค่ำคืนแห่งราตรีกำลังเข้ามาเยือน
แสงไฟในตำหนักหวงกุ้ยเฟยสว่างเจิดจ้า หากแต่บรรยากาศตอนนี้กลับดูเงียบงันเกินปกติ ตงฟางหรงก้าวเท้าเข้ามาในตำหนักก็พบนางใน บ่าวรับใช้ตั้งแต่ตำแหน่งใหญ่ไปถึงผู้น้อยนั่งก้มหน้าคุกเข่าเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ชวนให้หญิงสาวเกิดความสงสัย
"ไต้ซี พวกเจ้ามานั่งทำอะไรกัน" เธอกระซิบเสียงเบาถามหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
สาวใช้ได้แต่นิ่งเงียบทำตาปริบๆ พร้อมส่งสัญญาณให้ผู้เป็นนาย
"อะไร ใครอยู่ข้างในหรือ"
"หงึก หงึก" สาวใช้ผงกหัวส่งสัญญาณ
ตงฟางหรงมองหน้าสาวใช้สลับกับประตูห้องไปมา
"ให้ข้าเข้าไปข้างในหรือ"
สาวใช้ผงกหัวให้หญิงสาว
ด้วยสัญชาตญาณของผู้กองแห่งหน่วยรบพิเศษเทพสายฟ้า สถานการณ์แบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ หญิงสาวค่อยๆ ก้าวเท้าขึ้นบันไดทีละขั้นอย่างระแวดระวัง เธอหันหลังมองสาวใช้ที่เงยหน้าสบตาให้กำลังใจเป็นระยะ มือเรียวบางค่อยๆ เอื้อมไปเปิดประตู ด้านหน้าเป็นแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มที่เธอไม่รู้จัก เขาสวมชุดผ้าไหมสีขาวปักดิ้นทองมังกรทั้งตัวดูแล้วน่าเกรงขาม ด้านข้างของชายหนุ่มดูเหมือนจะเป็นองครักษ์อารักขาซึ่งดูๆ ไปแล้วหน้าตากลับคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
"อู่ติ่ง เจ้าออกไปก่อน" น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้น
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" องครักษ์อู่ติ่งทำความเคารพก่อนเดินออกมา
(อืม คงไม่ใช่หรอกมั้ง)
หญิงสาวมองหน้าองครักษ์ที่เดินสวนออกไปหัวใจก็หล่นวูบ
(อืม ใช่แล้วล่ะ)
ตงฟางหรงค่อยๆ ย่องถอยหลังอย่างช้าและเบา (สถานการณ์เสียเปรียบแบบนี้เราต้องถอยไปตั้งหลักก่อน วางแผนให้ดีแล้วค่อยออกรบ)
แต่เหมือนชายหนุ่มจะรู้ตัวเขาหันหน้ามองท่าทางประหลาดของหญิงสาวด้วยสายตาพิฆาต
"เจ้าจะไปไหน" เสียงเรียบหากแต่เยือกเย็นเกินบรรยาย
"ฮ่าๆ คือ..คือ..เอ่อ..ปิดประตู" ตงฟางหรงหยุดกึกเอื้อมมือปิดประตู
"ทำไมตกใจที่เห็นข้าฟื้นมาจากความตายงั้นหรือ" ชายหนุ่มพูดด้วนน้ำเสียงประชดประชัน
คำพูดของหญิงสาวก่อนหน้าถูกนำมาใช้
"ใครตายกัน เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ฮ่าฮ่า" หญิงสาวยิ้มแห้งๆ (เป็นผู้ชายอย่างไรพูดจาประชดประชันอยู่ได้)
"เจ้าบอกว่าข้าเข้าใจผิดอย่างงั้นหรือ" จวินเฟยหลงเดินเข้ามาใกล้หญิงสาว มองเธอไม่วางตา
(เอาว่ะตงฟางหรงมาถึงขั้นนี้แล้วเชิดเข้าไว้)
"ใช่ ฉัน..เอ่อ.หม่อมฉันกล้าพูดก็กล้ายอมรับ" หญิงสาวยืดอกยอมรับอย่างภูมิใจ
"ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับ" ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวอย่างเย้ยหยัน
"แล้วจะทำไม คนที่หายหน้าหายตาเป็นปีๆ แตกต่างจากคนที่ตายแล้วตรงไหน" ตงฟางหรงมองหน้าฮ่องเต้อย่างเอาเรื่องเธอขยับเข้ามาใกล้ชายหนุ่มพลางเขย่งปลายเท้าพยายามประชันหน้ากับเขา
"บังอาจ" ตอนนี้เหมือนฮ่องเต้จะโกรธขั้นสุด น้ำเสียงของเขาดูน่ากลัวหากแต่ในตาหญิงสาวกลับไม่มีความหวาดกลัวให้เห็น
(อึ๊บไว้ฟางหรง เชิดเข้าไว้) หญิงสาวปลอบใจตัวเอง
"แต่ไหนแต่ไรตำหนักแห่งนี้ก็ไม่อยู่ในสายตาฝ่าบาทอยู่แล้ว ฝ่าบาทก็แค่ทำอย่างเช่นที่เคยเป็นมา ไม่ต้องสนใจหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะไม่ไปให้ฝ่าบาทเห็น ต่างคนต่างอยู่"
"ไม่สนใจข้าที่เป็นสามีเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้าวางแผนจะตัดข้าออกจากชีวิตเจ้าอย่างนั้นหรือ" ท่าทางของจวินเฟยหลงก็ไม่ยอมเช่นกัน เขาขยับเข้าใก้ประจันหน้ากับหญิงสาว
(มาอีกแล้วคำถามย้อน อยากจะย้อนเวลาไปตบปากตัวเองจริงๆ ทำไมแกเป็นคนพูดอะไรไม่คิดฟางหรง)
"กะ.ก็ประมาณนั้น"
"ได้..งั้นต่อไปเจ้าก็อยู่ในตำหนักแห่งนี้ อย่าหวังใช้ชีวิตอิสระอย่างที่เคยเป็นมา"
"ได้.. แต่บ่าวไพร่ในตำหนักของหม่อมฉันไม่มีความผิดหวังว่าฝ่าบาทจะยกโทษให้"
"บ่าวในตำหนักปล่อยให้หวงกุ้ยเฟยหนีเที่ยวนอกวังไม่มีความผิดแล้วใครจะมี" จวินเฟยหลงหันประจันหน้ากับหญิงสาวที่มองเขาไม่วางตา
"ความผิดทั้งหมดเป็นของหม่อมฉันเอง"
"ได้.. งั้นเจ้าก็คุกเข่าแทนพวกบ่าวรับใช้จนถึงรุ่งเช้า"
"ได้หม่อมฉันจะคุกเข่าถึงเช้า คนเดียว"
(ฉันพูดอะไรออกไปอีกแล้วเนี่ย)
จวินเฟยหลงสะบัดชายผ้าเดินออกมาอย่างผู้ชนะหากแต่ในใจกลับรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้แพ้ แพ้ทุกอย่างในศึกนี้
...
"ฝ่าบาททรงเป็นอะไรเพคะ" เสียงของผิงเอ๋อเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าของฮ่องเต้ดูเครียดจนน่ากลัว
ตอนนี้ฮ่องเต้กระดกเหล้าเข้าปาก จอกแล้วจอกเล่า
"ฝ่าบาทดื่มเยอะแล้วนะเพคะ" ผิงเอ๋อมองหน้าฮ่องเต้อย่างขัดใจเพราะนางรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้ฮ่องเต้ต้องดื่มหนักขนาดนี้
(ตงฟางหรง)แค่คิดชื่อนี้ในใจก็ทำให้ผิงเอ๋อเดือดดาล
......
ดึกแล้วตงฟางหรงยังคงหนักคุกเข่าหน้าตำหนักไม่ไปไหน แม้ตอนนี้จะรู้สึกเจ็บแป๊บจนแทบจะทนไม่ไหว
(อีกนิดเดียวใกล้เช้าแล้ว หนักกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้วฟางหรง) หญิงสาวเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่อยู่เป็นเพื่อนเธอในค่ำคืนอันยาวนานนี้
"ทรงเป็นเช่นไรบ้างเพคะ" สาวใช้ผู้ซื่อสัตย์น้ำตาไหลอาบแก้มอยู่เคียงข้างกำลังบีบนวดขาให้หญิงสาว
"พอแล้วเจ้าไปพักผ่อนเถอะ" ตงฟางหรงไล่ให้สาวใช้ไปพักผ่อน
"แต่.."
"ไม่มีแต่ เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว ข้ารับปากฝ่าบาทไว้แล้วจะอยู่จนถึงเช้า เจ้าไปเถอะ..ไปซิ"
สาวใช้หันหลังเดินออกมาตามคำสั่งของผู้เป็นนาย หากแต่นางยังตัดใจไม่ได้ต้องหยุดมองเป็นระยะ
อากาศคืนนี้ช่างเหน็บหนาวนัก น้ำค้างลงเกาะกุมหญิงสาวจนเริ่มเปียกชุ่ม นานแล้วที่ตงฟางหรงไม่เคยรู้สึกเหว่ว้าเช่นนี้
ตึกตัก ตึกตัก เสียงหัวใจของหญิงสาวเต้นรัวแรงเหมือนกำลังจะหลุดออกจากร่าง เจ็บจนร่างเล็กสั่นสะท้าน เธอทรุดตัวลงหน้าตำหนักอันเวิ้งว้างเงียบเหงาแห่งนี้คนเดียว
"หวงกุ้ยเฟยเพคะ!....."