“จริงครับ แล้วคุณนกดีใจอะไรขนาดนั้นครับ”
“เอ่อ... เปล่าค่ะ” กมลชนกรีบปล่อยมือของเขาอย่างเขินอาย ที่เผลอทำอะไรไปแบบนี้
“งั้นนอนหลับฝันดีนะคะ” เธอกล่าวลาเขาก่อนจะรีบปิดประตูห้องแล้วก็เผลออมยิ้มคนเดียวขณะขึ้นไปนอนบนเตียงกว้าง
“เป็นอันสำเร็จนะพี่ รักกันแล้ว หูย... ลุ้นจนตัวโก่ง” หนูนาพูดกับพี่หอย ผัวรักของหล่อน หอยก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขากับเมียใกล้จะได้ไปเกิดเต็มทีแล้ว
กมลชนกเป็นคนระแวดระวังไม่ไว้ใจใครง่ายๆ เขาว่าอย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคนจะจนใจเอง แม้คนรอบตัวเราจะดูเป็นคนดี มีน้ำใจ คอยช่วยเหลือเราก็ตามที เราก็ไม่ควรประมาท
รุ่งเช้าของวันใหม่ อากาศสดใสเธอก็พร้อมที่จะไปทำงาน อาชีพครูเป็นอาชีพที่อิสระในตัวเอง สามารถรับผิดชอบและตัดสินใจเองได้เลย เธอจึงค่อนข้างรักในอาชีพนี้ ทุกวันธีระจะไปส่งเธอที่โรงเรียน แถมยังส่งเธอเข้านอนอีกด้วย
“ราตรีสวัสดิ์นะครับ” เธอยิ้มให้เขาปิดประตูตามหลังเมื่อเขาขอตัวอย่างสุภาพ กมลชนกพิงแผ่นหลังกับประตูก่อนจะอมยิ้ม ความรักกำลังเบ่งบานในหัวใจของครูสาว
การปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมงานและผู้อื่นถือเป็นเรื่องดี เธอไม่ใช่คนขี้ระแวง แต่ก็ไม่เคยไว้ใจอะไรมากจนเกินไป ชีวิตสอนให้เธอได้เรียนรู้ว่าคนเราอย่าซื่อจนเซ่อ หรืออย่าระแวงจนเครียด ทุกอย่างให้พอๆ ดี ถึงจะมีความสุข
เนื่องจากเป็นคนอ่านหนังสือทบทวนความรู้อยู่ตลอดเสมอ เธอจึงไม่มีปัญหาเรื่องเนื้อหาที่จะสอน อีกทั้งการสอนระดับประถมศึกษานั้นเป็นระดับที่คนหลายคนที่จบในระดับปริญญาตรีสามารถสอนได้ เพราะเป็นความรู้พื้นฐานที่ทุกคนมี เหมือนอย่างครูสมัยก่อนที่เป็นครูประจำชั้นไปด้วย สอนทุกวิชาไปด้วย
ปัญหาหลักในเวลานี้คือการอ่านออกเขียนได้ของเด็กนักเรียน เพื่อนๆ ของเธอที่สอบบรรจุได้ในหลายๆ โรงเรียนที่ต่างจังหวัด ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านักเรียนอ่านไม่ค่อยออก เขียนไม่ค่อยได้ เธอคิดว่าหากยังเป็นเช่นนี้อยู่อีกละก็ มันคงเป็นปัญหาระดับชาติแน่ ๆ
กมลชนกมองตำราในมือก่อนจะกอดเอาไว้แนบอก ไม่ว่าจะสอนวิชาอะไร เธอก็ต้องมีจิตวิญญาณของความเป็นครู ทำให้เด็กนักเรียน อ่านออกเขียนให้ได้ ไม่ใช่ผลักภาระไปให้ครูวิชาภาษาไทยเท่านั้น
หญิงสาวนั่งทำแผนการสอนจนดึกดื่น เพราะมันเป็นหน้าที่ของครูทุกคน การมีแผนการสอนนั่นทำให้ครูมีแนวทางว่าจะสอนอะไรบ้าง มันเป็นการเตรียมตัวที่ทำให้ครูไม่งงและตัดปัญหาเรื่องที่คิดไม่ออกว่าจะสอนอะไรออกไป เพราะเมื่อเข้าห้องเรียนแล้ว เด็กนักเรียนก็ต้องเตรียมตัวเรียน คุณครูเองก็ต้องเตรียมตัวสอน จะมัวมาเปิดตำราอ่านวนไปวนมาว่าจะสอนอะไรตรงไหนคงไม่ดีเป็นแน่ เมื่อตารางสอนระบุเวลาว่าการเรียนของนักเรียนแต่ละวิชาไม่ได้มากมายอะไร
ขอบเขตงานวิชาการที่เธอได้รับมอบหมายมานั้น ค่อนข้างจะไม่ค่อยเข้าใจในหลายสิ่งหลายอย่าง แต่เธอก็อ่านคร่าว ๆ เพื่อให้รู้ในหน้าที่ของตัวเอง หากสงสัยอะไรคงต้องไปถามหัวหน้าอีกทีหนึ่ง
กมลชนกคิดว่าพรุ่งนี้เธอคงต้องรีบตื่นมาทำกับข้าวให้ธีระกินบ้าง เขารับหน้าที่นี้มาหลายรอบแล้ว เธอต้องพึ่งพิงเขาอีกมาก จึงควรแบ่งเบาภาระของเขาบ้าง
หลังจากทำแผนการสอนเสร็จสิ้น ทำความเข้าใจกับขอบข่ายงานที่มีอยู่เธอก็สวดมนต์ไหวพระ แผ่เมตตา ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน ไม่นานก็หลับลงอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวตื่นก่อนนาฬิกาปลุกเสียอีก เพราะเป็นคนตื่นเช้าแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ไม่เหมือนวันแรกที่เหนื่อยมากจนนอนตื่นพร้อมนาฬิกาปลุก เธอหลับสบายอย่างเต็มอิ่ม ตื่นขึ้นมาจึงพร้อมที่จะทำงานและเผชิญชีวิตในเช้าวันใหม่
กมลชนกล้างหน้าล้างตารวบผมเอาไว้เป็นหางม้า ก่อนจะรีบลงมาหุงหาอาหาร ทำกับข้าวในตอนเช้า เธอชะงักเมื่อเห็นร่างสูงของธีระจัดการหุงข้าวเรียบร้อยแล้ว
“คุณธีตื่นเช้าจังเลยนะคะ นกว่านกรีบตื่นแล้วนะคะนี่” เธอบอกอย่างเก้อๆ รู้สึกว่าตื่นสายกว่าเขาอีกจนได้
“ผมนอนไม่หลับครับ ถ้าตื่นแล้วต้องลุกจากเตียง”
“ให้นกช่วยทำอะไรบ้างคะนี่”
“ผมหุงข้าวแล้วนะครับ ตอนแรกว่าจะทำข้าวต้ม แต่เปลี่ยนเป็นข้าวสวยจะดีกว่า คุณนกต้องใช้พลังงานมากกับการสอนหนังสือ กินข้าวต้มเดี๋ยวไม่มีแรงสอนหนังสือ” เขาเย้าอย่างเอ็นดู ก่อนจะยิ้มให้เธอเหมือนเธอเป็นเด็ก ๆ
“นกทานได้หมดนั่นแหละค่ะทั้งข้าวต้มและข้าวสวย แต่ที่บ้านของนกก็นิยมกินอาหารหนักในตอนเช้าเหมือนกันนะคะ เพราะมีแรงจนถึงตอนกลางวัน”
“ผมเองก็ชอบครับ ไม่นิยมอาหารเบา ๆ เพราะว่าต้องทำงานค่อนข้างเยอะ”
“เห็นคุณธีพูดแบบนี้แล้วนกนึกชื่นชมมาก ๆ เลยค่ะ”
“ชื่นชมอะไรผมครับ” เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“คุณธีบอกว่าทำงานค่อนข้างเยอะ แสดงว่าขยันค่ะ ประชาชนจ่ายภาษีมาก็คุ้มแล้วล่ะค่ะ บางคนเช้าชามเย็นชาม ทำงานเบาตลอดอายุการใช้งาน” เธอพูดติดตลก
“ไม่หรอกครับ ผมก็ทำไปตามหน้าที่” เขาดึงของสดออกมาจากตู้เย็น เธอจึงเดินเข้าไปช่วยหยิบกะละมังและกระทะออกมาจากตู้เก็บของ
ธีระเป็นคนสะอาดสะอ้าน เขาวางข้าวของเป็นระเบียบเรียบร้อย อุปกรณ์พวกหม้อกระทะสำหรับใช้ปรุงอาหารนั้น ถูกเขาขัดจนขึ้นเงา ไม่มีรอยไหม้ดำหรือคราบอะไรให้รำคาญสายตาเลย เรียกว่าสะอาดจนเธอนึกทึ่ง เธอยังแอบเชื่อว่าเขาอาจจะไม่แมนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นั่นเป็นแค่คำพูดของคนอื่นเท่านั้น คนเราวัดกันแค่การกระทำไม่ได้ ต้องทำความรู้จักกันไปนาน ๆ
“คุณธีจะทำเมนูอะไรคะ”
“ทำไข่ดาวครับ แล้วก็หมูทอด ผมหมักเอาไว้แล้ว แล้วก็ต้มจืดอีกสักอย่าง เช้าๆ แบบนี้เราไม่ทานเผ็ดกันน่าจะดีนะครับ ไม่งั้นแสบท้อง ผมทำกับข้าวเตรียมใส่บาตรด้วยครับ”
“เดี๋ยวนกช่วยทอดหมูนะคะ ดีจังได้มาอยู่กับคุณธี ได้ทำบุญใส่บาตรทุกวันเลย” เธอยิ้มอย่างมีความสุข
“คุณนกทำต้มจืดดีกว่าครับ ผมทอดเองดีกว่าเดี๋ยวน้ำมันกระเด็นใส่”
“นกเซียนนะคะ ไม่กลัวน้ำมันกระเด็นหรอกค่ะ” เธอพูดแล้วยิ้มบาง ๆ ให้เขา แต่ก็ไปจัดการเตรียมวัตถุดิบทำต้มจืดอย่างกระตือรือร้น
กมลชนกจัดการหั่นฟักเขียว ล้างเห็ด หั่นแครอท หั่นหัวไชเท้า ก่อนจะหันมาถามคนที่กำลังทอดหมูอยู่หน้าเตาไฟ
“คุณจะใส่อะไรคะ ระหว่างไก่ หมูสับหรือกระดูกหมู” เพราะเปิดตู้เย็นดู ปรากฏว่ามีของพวกนี้แช่อยู่
“อะไรก็ได้ครับแล้วแต่คุณเลย” คำตอบของเขาทำให้เธอหันไปกุลีกุจอล้างกระดูกหมูและดึงหมูสับออกมาคลุกเคล้าเครื่องปรุง
“งั้นนกใส่ทั้งสองอย่างเลยนะคะ กระดูกหมูได้น้ำซุปหอมหวาน หมูสับกินแล้วไม่ต้องเสียเวลานั่งแทะกระดูก” เธอพูดขำ ๆ แต่ทำเขาอมยิ้มได้ไม่ยาก
“คุณชอบไข่ดาวแบบไหนครับ ไข่แดงเยิ้ม ไข่ขาวกรอบ หรือสุกไปเลย”
“ขอสุกไปเลยดีกว่าค่ะ นกชอบแบบนั้น”
“ครับ แต่ไม่แข็งไปเหรอครับ”
“อย่าเรียกแข็งเลยค่ะ เรียกคาวดีกว่า นกไม่ชอบอะไรที่สุก ๆ ดิบ ๆ น่ะค่ะ ชอบสุกไปเลย”
“ได้ครับ”
“พรุ่งนี้เราทำข้าวผัดไข่ทานกันไหมคะคุณธี” เธอคุยกับเขาขณะที่ตักต้มจืดมาชิมดูว่ารสชาติได้หรือยัง ก่อนจะพยักหน้าว่าโอเคแล้ว
“ก็ดีนะครับ ผมไม่ได้กินข้าวผัดมาหลายวันแล้ว” เขาพยักหน้าเห็นด้วย หลังทำอาหารเสร็จธีระก็ออกไปรดน้ำต้นไม้นอกบ้าน เวลานั้นยังเป็นเวลาหกโมงเช้าอากาศสดใสไม่น้อย รอพระเดินมาบิณฑบาตก็หกโมงครึ่ง
“คุณนกไปยืดเส้นยืดสายออกกำลังกายกันก่อนไหมครับ”
“นกจะไปโรงเรียนสายหรือเปล่าล่ะคะ”
“สักสิบห้าหรือยี่สิบนาทีครับ ตักบาตรแล้วอาบน้ำมานั่งรับประทานอาหารก็ยังไปโรงเรียนทันครับ”