ขีโรชารู้สึกมีความสุข เมื่อคิดอย่างเข้าข้างตัวเองว่า ดรัณภพอาจไม่ได้รักเธอ และอาจจะมีคนที่เขารักอยู่แล้ว แต่อย่างน้อย เขาก็คงชอบเธอในระดับหนึ่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่ชวนเธอมาเที่ยวกับเขา
การมาครั้งนี้ ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างลักลอบ หรือแอบทำลับหลังผู้ใหญ่
ขีโรชานึกไม่ออกว่า ถ้าเธอมีเพื่อนชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน จะมีคนไหนกล้าเดินเข้ามาขออนุญาตผู้ใหญ่ของเธอเพื่อมาเที่ยวกันตามลำพังไหม
คิดว่าคงไม่มีใครกล้า แต่ผู้ชายข้างๆเธอขณะนี้กล้า
ท่าทางเขาก็เป็นไปอย่างมั่นใจ ไม่ใช่เข้ามาแบบกล้าๆ กลัวๆ
ขีโรชาพอจะรู้ว่า เวลามีความรัก คนเรามักจะเห็นคนที่ตนรักถูกตาถูกใจไปหมด แม้เขาจะมีข้อเสียก็สามารถมองข้ามไปได้โดยง่าย
สำหรับผู้ชายข้างๆ เธอคนนี้ เธอยังมองไม่เห็นข้อเสีย หรือน่าตำหนิของเขา
เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกไม่ต้องพูดถึง
อุปนิสัยใจคอ แม้จะยังไม่รู้จักเขาดี แต่เท่าที่ได้พูดคุย ซึ่งก็อาจจะไม่กี่คำ แต่สังเกตเอาจากการที่เข้ามาทักทาย สนทนากับบิดามารดาของวรานิช ด้วยท่าทีสุภาพ อย่างไม่เคอะเขิน ลักษณะของเขายามเข้าผู้ใหญ่ เป็นไปอย่างพอดีๆ ไม่ยโสโอหัง ทำท่าว่าข้าก็หนึ่งเหมือนกัน แต่ก็ไม่อ่อนน้อมจนขาดบุคลิกผู้นำ
เธอไม่รู้ว่าฐานะเขาอยู่ในระดับไหน แต่คิดว่าคงไม่ใช่นักขุดทอง ที่มองหาผู้หญิงรวยๆ ไว้เกาะ เพื่อความสุขสบายส่วนตัวโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงมากนัก
ขณะเดียวกัน ก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นพวกใช้แรงงงาน ลักษณะของเขาเหมือนคนระดับมันสมอง อาจมีธุรกิจของตัวเอง จะขนาดเล็กหรือใหญ่ก็เถอะ
พูดจริงๆ ท่าทางของเขาดูไม่น่าจะเป็นลูกกระจ๊อกใครได้
เขาอาจจะไม่ถึงร่ำรวย แต่ก็คงไม่ถึงกับหาเช้ากินค่ำ การที่เขาพักโรงแรมระดับห้าดาวริมชายทะเลอย่างชายชล ในช่วงพักตากอากาศ บอกให้รู้ในตัว
แต่ไม่ว่าฐานะเขาอยู่ในระดับใด ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับเธอ
ถึงที่หมาย ดรัณภพขับเข้าไปจอดบนลานหญ้าแข็งๆ เป็นหญ้าที่ขึ้นตามธรรมชาติ ดับเครื่องแล้วลงจากรถ
เขาทำให้ขีโรชาประหลาดใจ
เมื่อขึ้นรถมากับเขานั้น เธอไม่ทันสังเกตว่าบนเบาะด้านหลังมีอะไรหรือไม่ กระทั่งเขาลงจากรถ มาเปิดประตูด้านหลัง ฟากเดียวกับด้านที่นั่งคนขับ แล้วหยิบตะกร้าสานใบใหญ่ออกมา พร้อมผ้าพลาสติกพับเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็ก
“ผมให้ทางโรงแรมช่วยจัดอาหารใส่ตะกร้ามาให้ สำหรับปิกนิกสองคน เขาเลยแถมพลาสติกสำหรับปูนั่งมาให้ด้วย”
“ปิกนิกหรือคะ”
เธอมองเขาตาโต แปลกใจมากกว่าอื่น คิดว่าเขาจะชวนมานั่งรถเที่ยวเฉยๆ อาจจะแวะที่ไหน ที่เป็นท่องเที่ยวสวยๆ ถึงเวลาอาหารกลางวันก็คงแวะรับประทานตามร้านอาหารที่พอจะหาได้ตามรายทาง
นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะเตรียมพร้อมถึงเพียงนี้
“ปิกนิก” เขาตอบยิ้มๆ ล็อครถแล้วพยักหน้าให้
“ตามผมมา ต้องเดินกันหน่อย ไม่ไกลหรอก”
เขาพาเธอเดินขึ้นยอดเนิน ซึ่งเป็นพื้นเรียบ สามารถชมวิวได้ไกล
เมื่อถึงที่หมาย เขาวางตะกร้าของกิน จัดแจงปูเสื่อพลาสติกลงใต้ต้นไม้แล้วพากันนั่งลง
จากจุดที่นั่งกันอยู่ มองเห็นข้างล่างเป็นชั้นลดหลั่นไป
ลมบนนี้พัดโชยเอื่อย ไม่แรงนัก ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีคน ไม่มีรถ ไม่มีบ้าน มีแต่อาคารสำนักงานของเจ้าหน้าที่อุทยานไกลออกไป มองเห็นแต่หลังคา
“ที่บอกว่าไม่เคยไปไหนกับเพื่อนผู้ชายมาก่อน พูดจริงหรือเปล่า”
“จริงค่ะ” หล่อนตอบ “แล้วก็ไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายด้วย มีก็คบกันผิวเผิน”
“สงสัยคุณพ่อคุณแม่จะหวงขนาดหนัก” เขาพูดยิ้มๆ ด้วยกังวานเสียงล้อๆ
“ไม่ใช่เรื่องหวงหรือไม่หวงหรอกค่ะ เพียงแต่ท่านออกจะหัวเก่าหน่อย คงเห็นว่ายังอยู่ในวัยเรียนก็ไม่ควรมีเพื่อนผู้ชายที่อาจจะพัฒนาไปเป็นอย่างอื่น”
“อย่างอื่นที่ว่าคงจะหมายถึงคู่รัก” เขาเดา “ทั้งคุณพ่อคุณแม่เลยหรือครับ ที่คิดอย่างนี้”
“เปล่าค่ะ”
เธอมองเขาอย่างชั่งใจราวสามวินาที
“คนที่ขิมอยู่ด้วยเวลานี้ เป็นพ่อบุญธรรม พ่อแม่จริงๆ ดูเหมือนพวกเค้าจะ...ไม่ได้ต้องการขิมสักเท่าไหร่ พอมีคนแสดงความประสงค์จะนำขิมไปเลี้ยงดู ท่านก็ยกให้แต่โดยดี อาจจะโล่งอกด้วยซ้ำที่มีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระอย่างคาดไม่ถึง”
“ผมพูดอะไรไม่ถูกเลย ไม่แน่ใจด้วยว่าควรจะบอกเสียใจ หรือดีใจด้วย”
“ดีใจสิคะ ใครๆ ก็ว่าขิมโชคดีทั้งนั้น ที่คุณพ่อรับขิมเป็นบุตรบุญธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และท่านยังให้ความเอาใจใส่ลูกกาฝากเป็นอย่างดีมาตลอด บางคนถึงกับอิจฉา ขิมเคยได้ยินกับหูนะคะ แม้คนพูดเขาจะตั้งใจนินทาลับหลังในความโชคดีของขิม”
“เขาว่ายังไงหรือ พวกปากหอยปากปูขี้อิจฉาพวกนั้น”
“มากมายหลายอย่าง สุดแต่ว่าใครจะอิจฉามาก อิจฉาน้อย”
“ผมรู้ว่าขิมนามสกุลกันติทัต แต่กันติทัตก็มีหลายสาย เท่าที่รู้ ไม่ทราบว่าของขิมสายไหน”
เธอมองตาเขา รู้สึกแปลก คล้ายกับว่าพอถามออกมาแล้ว เขาหวังว่าคำตอบจะไม่ใช่อย่างที่คิดอยู่
“ขิมไม่รู้หรอกค่ะว่าสายไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากันติทัตมีหลายสาย แต่คุณพ่อ...ขิมหมายถึงพ่อบุญธรรมที่เลี้ยงขิมมาตั้งแต่ขิมห้าขวบน่ะค่ะ ท่านชื่อดำรงศักดิ์ เป็นเจ้าของบ้านกานติคาม”
เธอบอกชื่อจังหวัดที่ตั้งให้รู้ด้วย แล้วก็ทำเสียงแปลกใจถามเขาอย่างอดไม่ได้
“ทำไมคุณทำหน้าอย่างนั้นละคะ”
“หน้าอย่างไหนครับ” เขาถามเสียงเรียบ
ดรัณภพพยายามเต็มที่จะรวบรวมสติ แม้จะคิดๆ อยู่ แต่เขาก็หวังว่าจะไม่ใช่ แต่เมื่อใช่ก็ทำให้เขาออกจะสับสน พร้อมกันนั้นบอกไม่ถูก
“คล้ายจะผิดหวัง อีกที ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าฉันเป็นลูกบุญธรรมของคุณพ่อ”
“เห็นจะเป็นประการหลัง คืออย่างนี้ครับ ผมเคยรู้จักคุณดำรงศักดิ์เมื่อนานมาแล้ว ก่อนที่ผมจะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ จำได้ว่าตอนนั้นคุณดำรงศักดิ์ไม่ได้ขอเด็กที่ไหนมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมแน่ๆ”
“คุณเจอคุณพ่อครั้งสุดท้ายกี่ปีมาแล้วละคะ”
“สิบกว่าปี... ประมาณสิบสามปีเห็นจะได้ อาจกว่านิดหน่อย เพราะเมื่อผม...เจอคุณดำรงศักดิ์ครั้งสุดท้ายผมอายุสิบห้า”
“คำนวณดูแล้ว ขิมคงมาอยู่กับคุณพ่อไล่หลังจากที่คุณได้เจอกับท่านไม่นาน”
“คงจะอย่างนั้น”
เขาทำท่าคิด แต่เมื่อเปิดปากอีกครั้งก็ทำเอาขีโรชาประหลาดใจ