“นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จา หรือตัดสินใจมาแล้วเกิดไม่แน่ใจขึ้นมา ว่าควรมากับผมหรือเปล่า”
เสียงทุ้มมีกังวานพูดขึ้น หลังจากรถแล่นพ้นถนนเลียบชายหาดมาไกล
ขีโรชาคิดว่ารถนี้คงเป็นรถเช่า ไม่ใช่รถของเขาเอง เพราะป้ายทะเบียนเป็นของจังหวัดนี้
“ไม่เคยไปไหนกับ เอ่อ...”
“เพื่อนผู้ชาย” เขาต่อให้
“ค่ะ ผู้ชายแปลกหน้าด้วยสิคะ”
“เจอกันสามครั้ง พักโรงแรมเดียวกันตั้งสองคืน ยังว่าผมเป็นผู้ชายแปลกหน้าอีกหรือ”
“ถึงเจอกัน พักอยู่ที่เดียวกัน แต่เราก็ไม่ได้พูดคุยกันสักกี่คำ แล้วขิม...ดิฉัน ก็ไม่รู้จักคุณด้วย”
“อย่าเปลี่ยนเลย”
“คะ?”
เธอหันมองเขา เห็นเสี้ยวหน้าเฉพาะด้านข้าง สันจมูกโด่ง ดูเด่น
เขาหันมา
ตาสบตา
ขีโรชาเป็นฝ่ายหน้าร้อนผ่าว รีบเมินออกนอกหน้าต่างรถด้านข้าง
“ที่พูดขิมแทนตัวเอง อย่าเปลี่ยนเลย พูดแทนตัวดิฉัน ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าไม่สมตัวสมวัยฟังแก่แดดมากกว่าจะดูเป็นผู้ใหญ่”
เธอเงียบ และไม่หันกลับมามองเขา
“โกรธผมหรือ” เขาถาม
“มีเหตุผลอะไรต้องโกรธละคะ”
เธอหันกลับมามองเขา พบว่าชายหนุ่มกำพลังตั้งใจมองถนนที่เห็นเป็นแนวโค้ง แต่เขาก็ตอบ
“ที่ผมวิจารณ์เอาตรงๆ ขีโรชา...ผมเรียกขิมได้ไหมนี่”
“ไม่คิดว่าคุณจะรอให้อนุญาต”
“แขวะผมล่ะสิ คงคิดว่าผมชอบทำอะไรตามใจตัวเอง เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง”
“คุณเป็นอย่างนั้นจริงไหมละคะ”
“บางโอกาส”
“เช่น...”
“เมื่อผมเจอขิม”
“ทำไมคะ”
“รู้ตัวไหม ขิมเป็นเด็ก...เอ้อ สาวรุ่นที่น่ารักมากนะ”
“สาวรุ่น?”
ตาโตๆ ชักจะมองเขาเขียวๆ
เขาหันมามองแวบหนึ่ง หัวเราะหึๆ
“หรือไม่จริง ผมไม่คิดว่าขิมจะผ่านวัยถ่ายบัตรประชาชนมานานนักหรอก ถึงสองปีหรือยัง หือ”
“บ้า!”
ขีโรชาแหว โกรธว่าเขาเห็นเธอเด็ก...ขนาดนั้น!
“จอด! กลับรถเดี๋ยวนี้ ฉันจะกลับโรงแรม!”
ถ้าวรานิชมาได้ยิน หรือเห็นการแสดงออกขณะนี้ของเพื่อนที่เคยหงิมหงอย คงประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ขีโรชาผู้ไม่เคยมีปากมีเสียง แสนจะอ่อนโยน อ่อนหวาน นิ่มนวล ทำท่าจะกลายเป็นแม่เสือ มีฤทธิ์เดชขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ทั้งแววตาน้ำเสียง ไม่เหลือแล้วความนุ่มนิ่มอ่อนหวาน
“เห็นจะยังจอดไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงที่ที่ผมตั้งใจจะพาขิมไป อีกตั้งหลายโล”
เสียงตอบมาฟังว่าไม่เดือดร้อนต่อปฏิกิริยาของเธอ ขีโรชาเม้มปาก ตาขุ่น กัดฟันพูดเบาๆ
“คุณจะกลับรถ หรือจะให้ดิฉันกระโดดลงทั้งรถยังวิ่ง”
เขาไม่ตอบ แต่รู้สึกว่าความเร็วของรถลดลง ไม่กี่อึดใจก็จอดชิดไหล่ทาง ขีโรชาไม่ทันเอื้อมมือเปิดประตูเพื่อลงจากรถ เพราะงงอยู่ว่าเขายอมทำตามคำขู่ของเธอง่ายๆ ก็ต้องร้อง “อุ๊ย!” ออกมา
ก่อนจะทันคิดอะไรออกต่อไปอีก ร่างของเธอก็ถูกกระชากเข้าชิดลำตัวชายหนุ่ม
เกือบจะในเสี้ยววินาทีเดียวกันที่เธอทันสัมผัสถึงแผ่นอกกว้างตึง กระด้าง มองเห็นไรขนโผล่วับแวมบริเวณสาบคอเสื้อเชิ้ตเนื้อเบาสบายแยกจากกัน ปากเผยอค้างของเธอก็ถูกรุกรานด้วยปากได้รูปเต็มเครียดของผู้ชาย
ขีโรชางง แต่พอหายงงก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกชนิดหนึ่ง
เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน จัดเป็นรูปรสที่แปลกใหม่ ดูน่ากลัว แต่ก็น่าลอง
อีกทั้งยังรู้สึกหวาดหวิว ความซาบซ่านแทรกอยู่ในความหวานแปลกๆ ทันทีที่จูบออกจะรุนแรงในตอนแรกของชายหนุ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นจุมพิตที่นุ่มนวล อ่อนโยน อ่อนหวาน แต่ก็ออดอ้อนขอให้เธอสนองตอบ
ขีโรชาได้รู้ว่าการไม่รู้ ไม่เคยรู้มาก่อน ไม่ได้แปลว่าเธอจะไม่รู้จักเรียนรู้
ที่เธอจูบตอบเขาอย่างลืมตัว แม้จะเป็นไปอย่างเคอะเขินอยู่บ้าง เป็นข้อพิสูจน์นี้ได้เป็นอย่างดี
เธอกำลังตัวลอย แทบจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ตัวตน มีก็แต่วิญญาณ เมื่อชายหนุ่มเป็นฝ่ายถอยห่าง แต่เขาก็ไม่ได้ถอนจูบที่ออกจะหนักหน่วง หรือจะว่าดื่มด่ำนั้นในทันทีทันใด
เขาค่อยๆ ลดความหนักหน่วง คลายความดูดดื่มลงทีละนิด กระทั่งกลับมาเป็นการลูบไล้
พอเห็นว่าเธอกลับมาสู่โลกความเป็นจริงแล้ว นั้นแหละถึงขยับใบหน้าออกห่าง แต่แขนล่ำสันของเขาข้างหนึ่งยังโอบรอบเอวบาง ขณะมืออีกข้างไล้แก้ม คาง และกรอบโครงหน้าของเธอ
เธอมองตาเขา ยังทันเห็นแววชนิดหนึ่ง คล้ายจะสมใจ แต่ก็ไม่แน่ใจนัก
อย่างไรก็ตาม หลังจากมองหน้าเขานิ่งอยู่ด้วยความรู้สึกงงงวยยังไม่จางหายไปทั้งหมด ก็พบว่าสีหน้าของชายหนุ่มมีแต่ความอ่อนโยน คล้ายๆจะเอ็นดูเธอด้วยซ้ำ
“หายโกรธแล้วนะ” เขาพูดยิ้มๆ
“คะ?” เธอไม่เข้าใจ
“ผมแสดงออกแทนคำพูดแล้วว่าไม่ได้เห็นขิมเป็นเด็ก”
“เอ่อ...คือ...”
ขีโรชาพูดอะไรไม่ถูก
จะยอมรับว่าเข้าใจแล้ว มันก็...ยังไงไม่รู้
ดีไม่ดีเขาอาจจะคิดว่าที่เธองอดแงด ก็เพราะอยากให้เขาจูบ ถึงว่าความจริงจะ... อยากรู้อยู่นิดๆ ตั้งแต่เห็นหน้าเขาชัดๆ ถ้าริมฝีปากได้รูปของเขาประทับลงมาจะเป็นยังไง
ดรัณภพเลิกคิ้ว เมื่อเห็นเนียนแก้มสีชมพูระเรื่อ จู่ๆแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุก
“ไปกันต่อได้หรือยังคะ”
เสียงถามฟังเขินจัด
ชายหนุ่มยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายพราว ถามเสียงล้อเลียน
“ไม่ให้ผมพากลับโรงแรมแล้วใช่ไหม”
“ถ้าคุณเปลี่ยนใจ...”
“ความตั้งใจผมยังคงเดิม แต่ถ้าขิมไม่สบายใจที่จะไปเที่ยวกับผม ผมก็พร้อมจะเลี้ยวรถกลับ”
เขาสบตากลมโตล้อมกรอบด้วยขนตางอนครู่หนึ่ง
“ตกลงไปเที่ยวด้วยกันสักวันนะครับ”
ขีโรชาพยักหน้า ไม่ตอบ สบตาคมเป็นประกาย อยู่กึ่งอึดใจก็เสหลบ
ดรัณภพออกรถนุ่มนวล
ท่าทางเขาตั้งใจขับรถเป็นพิเศษ หน้าตาเขาดูไม่ค่อยรื่นรมย์นัก คล้ายมีเรื่องสำคัญให้คิด หรือต้องตัดสินใจ
นาทีนี้เอง ที่ขีโรชายอมรับกับตัวเองอย่างไม่อายว่าเธอรักผู้ชายคนนี้
เขาจะเป็นใคร รักตอบเธอหรือไม่ หรือในชีวิตเขาอาจจะมีผู้หญิงที่เขารักอยู่แล้ว แต่เธอก็ยังรักเขา
หากเขามีครอบครัว มีคู่หมั้น คนรัก อยู่แล้วจริงๆ เธอจะขอรักเขาฝ่ายเดียว รักอยู่เงียบๆ ไม่แย่งเขามาจากครอบครัว หรือผู้หญิงคนนั้น
วรานิชพูดว่าเธอไม่เดียงสาเกี่ยวกับผู้ชาย ซึ่งก็จริงเหมือนกัน แต่หากพูดถึงความรัก เวลานี้ เธอกลายเป็นคนมีประสบการณ์ อย่างที่วรานิชก็อาจจะไม่เคยมีเพราะวรานิชคบหาเพื่อนชายแบบเล่นๆ ไม่ได้รักใคร่จริงจัง ขณะที่เธอรักผู้ชายคนนี้ด้วยหัวใจทุกห้อง