ตอน คนคุ้นเคย
ก่อนเที่ยงสิบห้านาที รภัสรดาต้องรีบวางมือจากงานไปเตรียมมื้อเที่ยงเอาไว้ก่อน แม้จะละล้าละลังกับท่านประธานที่ยังคุยงานอยู่กับผู้จัดการฝ่ายขายในห้อง ว่าจะเรียกใช้ตอนไหนก็ตาม แต่ก็จำต้องห่างโต๊ะไปอยู่ดี จะวานปุ้ยให้ช่วยก็เห็นกำลังยุ่งอยู่ไม่ต่างกัน
แม้ท่านรองประธานจะรับผิดชอบงานแค่ฝ่ายผลิตอย่างเดียวแล้ว แต่ก็ดึงงานจากบริษัทของครอบครัวมาทำที่นี่ด้วย ในระหว่างที่จะต้องช่วยท่านประธานวางระบบใหม่ให้ลงตัว เสร็จแล้วถึงจะไปประจำอยู่อีกที่ จะมาบริษัทนี้แค่อาทิตย์ละสองวันเท่านั้น
อีกครั้งที่กลิ่นอาหารชวนให้หวนคิดถึงอดีต แม้จะผ่านมาแล้วตั้งเก้าปี แต่ก็ไม่มีวันไหนที่จะลืมลงสักวัน ด้วยภาพใบหน้าอันหล่อเหลาของพี่ชายเพื่อนยังคงตรึงอยู่ในความทรงจำ กางเกงยีนสีซีดกับเสื้อยืดสีดำที่เขาสวมใส่ตอนออกจากรถวันนั้น ยังกระจ่างแจ้งอยู่ในแววตา
“แล้วเอื้อยล่ะครับ ใส่ชุดอะไร”
“ยังไม่รู้เลยค่ะ”
“อ้าว! ป่านนี้ยังไม่รู้ แล้วจะหาทันเหรอครับ หรือว่าลืม”
เจ้าของใบหน้าอันหล่อเหลายิ้มน้อยๆ เวลามองไปหาสาวหน้าใสที่ไม่ได้แต่งหน้าจัดเหมือนเพื่อนน้องอีกสองคน
“ไม่ได้ลืมหรอกพี่ภาม เอื้อยไม่มีชุดหรูๆ ใส่มางานแบบนี้หรอกค่ะ ย่าเลยจะให้ยืม หรือบางทีก็อาจจะให้ไปเลย”
“เหรอ นึกว่ายังไม่ได้ซื้อมา พี่จะได้พาออกไปห้างแถวนี้ น่าจะทัน นี่แค่ห้าโมงเอง เดี๋ยวพี่ซื้อให้ เอามั้ยครับ”
รภัสรดาใจเต้นแรงขึ้นอีก เมื่อเขาอาสาขนาดนี้ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ยิ้ม
“ซื้อให้พวกเราด้วยหรือเปล่าคะพี่ภาม”
วรัสยาภรกระตุกแขนแข็งแรงของพี่เพื่อนด้วยท่าทีกระดี๊กระด๊า ทั้งที่มีชุดมาด้วยตั้งสาม
“ได้สิครับ พี่ซื้อให้ทุกคนเลย ว่าแต่จะไปกันเลยมั้ยล่ะครับ”
“โห! ไมพี่ภามใจดีจังเลยอะ ไปถูกหวยที่ไหนมาคะ” ปรียากรณ์แซวด้วยท่าทีไม่จริงจังนัก
“ไม่ถูกหวยพี่ก็ซื้อให้ได้ ตกลงจะไปมั้ย พี่จะได้เอารถใหญ่ออกเลย”
“โหย! จะไปได้ยังไงคะ กว่าจะเอามาซักรีด กว่าจะรอให้แห้งอีก แล้วไหนจะต้องแต่งหน้าทำผมอีก ย่าว่าไม่ทันหรอกค่ะ” แม้น้องจะอยากได้ของใหม่จากพี่แค่ไหน แต่ก็ยังห่วงอยู่
“ใส่แบบยังไม่ซักก็ได้นี่ย่า ไปเหอะๆ พี่ภามอุตส่าห์ใจดีจะซื้อให้แล้วนะ น้อวาวน้อ”
นันธวรรณหันไปหาวรัสยาภรเพื่อหาแนวร่วม
“จริงของแวนนะย่า ไปเหอะ! พี่ภามหลวมตัวขนาดนี้เราต้องรีบฉวยโอกาส ใส่แบบไม่ซักสักครั้งนะเพื่อนนะ”
วรัสยาภรรีบกระตุกแขนเพื่อนสาวให้ตกลงด้วยสายตาเว้าวอน รภัสรดานั้นได้แต่ยืนรอเพื่อนทั้งสาม เพราะไม่กล้าออกความคิดอะไร ในเมื่อตัวเองไม่มีเงินจะซื้อของแพงๆ เพื่อนจะให้ยืมชุดแบบไหนสีอะไรก็ใส่ได้ทั้งนั้น
“ไม่เอาอะ! เดี๋ยวคัน เดี๋ยวผื่นขึ้นมา ผิวสวยๆ ของฉันจะเสียหมด พวกแกก็มีชุดอยู่แล้วนี่นา จะซื้อทำไมอีก”
“อะไรวะ!”
สองสาวร้องด้วยความผิดหวัง อีกหนึ่งสาวน้อยนั้นก็ผิดหวังเช่นกัน แต่ก็เก็บอาการเอาไว้
“งั้นเอาอย่างนี้! พี่พาไปซื้อ พอได้ชุดแล้วพี่ให้สมคิดเอาไปร้านซักแห้งให้ ระหว่างรอก็พาไปแต่งหน้าทำผม แบบนี้โอเคมั้ยคุณนาย เรื่องแยะจังเลยเรานี่” คนพี่หมั่นไส้น้องไม่น้อย เพราะอุตส่าห์ทำให้ขนาดนี้ยังเรื่องแยะอีก
“เอาแบบนี้ล่ะค่ะพี่ภาม ไปย่า! ขึ้นรถเลย”
วรัสยาภรสรุปเองเสร็จสรรพ แล้วรั้งแขนปรียากรณ์ให้เดินไปหารถที่มีพี่ภามรูปหล่อเดินนำหน้าไปแล้ว
“มาเร็วเอื้อย! เดี๋ยวเราไปเลือกชุดแพงๆ กัน”
รภัสรดาเกิดอาการละล้าละลัง ด้วยไม่แน่ใจว่าควรจะรบกวนพี่เพื่อนหรือแค่รอยืมชุดเพื่อนเท่านั้น นันธวรรณเลยหันมาเรียกแล้วลากแขนให้เดินไปพร้อมกันทันที พอไปถึงห้างสรรพสินค้าก็ไม่กล้าเลือกว่าอยากได้ชุดไหน เพราะราคาขั้นต่ำก็หลักพันบาท ส่วนชุดที่ชอบนั้นยิ่งหลายพันบาท
“ใครอยากได้ชุดไหนก็เลือกเลยนะครับ พี่จ่ายให้ทุกคน”
แม้เจ้ามือจะออกตัวขนาดนี้ แต่รภัสรดาก็ยังไม่กล้าอยู่ดี ได้แต่มองชุดที่หมายตาไว้เท่านั้น แล้วเดินไปหาชุดราคาพันนิดๆ เพราะคิดว่าน่าจะดีกว่า จะเอาอย่างเพื่อนสาวทั้งสามคนคงไม่ได้
ปรียากรณ์นั้นเป็นน้องเจ้ามือ อีกสองคนนั้นฐานะทางบ้านก็ร่ำรวย ไม่มีใครซื้อให้ก็ซื้อเองได้สบายมาก มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่แม่ขายข้าวแกง ได้เข้าโรงเรียนดีค่าเทอมแพงก็สงสารแม่จะแย่แล้ว
“พี่ว่าชุดนี้เหมาะกับเอื้อยนะครับ เอาไปลองดูสิครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เอื้อยชอบชุดนั้นมากกว่า”
สาวน้อยรภัสรดาตัดสินใจชี้ไปยังชุดราคาพันนิดๆ เมื่อพี่เพื่อนเดินถือชุดที่ตัวเองหมายตาไว้มาหา พอคนขายเอามาให้แล้วก็รีบเดินหนีไปลองทันที ทิ้งให้คนเป็นเจ้ามือมองตามเท่านั้น
“พี่เอื้อยๆ ทำอะไรอยู่ ทั่นของพี่เรียกหาแน่ะ”
เสียงปุ้ยทำให้คนยืนเหม่ออยู่หน้าไมโครเวฟดึงความคิดออกจากอดีตมาสู่ปัจจุบันทันใด
“พี่กำลังเตรียมอาหารให้ทั่นอยู่ เสร็จแล้วล่ะ”
รภัสรดายกถาดออกไปอย่างรวดเร็ว ยังเดินไม่ถึงโต๊ะด้วยซ้ำ ท่านประธานก็ยืนหน้าบึ้งรออยู่แล้ว
“ถ้าคุณเอื้อยจะไม่อยู่โต๊ะ ก็ช่วยโทรเข้าไปบอกผมด้วยนะครับ ผมจะได้ไม่โทรหรือออกมาตาม”