“อ่ะแฮม!” สวีฮูหยินแสร้งกระแอมเสียงดัง ทำให้เมิ่งเยียนและสวีป๋อหย่ารีบผละจากกันทันที
เมิ่งเยียนหันไปมองตามเสียง เจ้าของเสียงกระแอมนั้นคงเป็นมารดาคุณชายสวีกระมัง นางเป็นสตรีวัยกลางคนแล้ว มีบุคลิกและท่าทางดูมีสง่าราศี ผิวพรรณขาวเนียนกระจ่างและยังดูเต่งตึงราวกับสาวแรกรุ่น ขนาดนางเองยังต้องอาย
หญิงสาวระบายยิ้มอ่อนโยนให้สวีฮูหยิน ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว นางย่อตัวทำความเคารพด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย กล่าวเสียงหวาน “สวีฮูหยิน”
สวีฮูหยินเบือนหน้าหนี ก่อนจะเดินไปนั่งที่ตำแหน่งประธาน นางเหลือบมองหน้าผู้หญิงที่นั่งข้างบุตรชายตนอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็หันมองไปผู้ชายแปลกหน้าท่าทางน่ากลัวคนหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งด้วยสีหน้าเหมือนกำลังตั้งคำถามว่าคือใครกัน?
หย่งซือยืนขึ้น กล่าวแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าหย่งซื่อ เป็นพ่อของเมิ่งเยียน ส่วนแม่ของนาง ได้จากโลกนี้ไปหลายปีแล้ว ดังนั้นที่ผ่านมา จึงมีเพียงข้าที่เลี้ยงดูนางตามลำพัง”
เมื่อได้ฟังสวีฮูหยินก็หัวเราะ มองหย่งซืออย่างดูแคลน นางกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมและไม่ไว้หน้าผู้ใด “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าฐานะของลูกสาวเจ้า ไม่คู่ควรกับลูกชายข้าเลยสักนิด”
หย่งซือมีสีหน้าเรียบเฉยขึ้นมาทันที เขาตอบหยุนซื่อด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ฟังแล้วราวกับผู้มีอำนาจใหญ่ในมือ “ไม่คู่ควรอย่างไรหรือ? ลูกสาวข้าก็เป็นคนเฉกเช่นพวกท่าน สวีฮูหยินพูดเช่นนี้ เหมือนกำลังดูถูกกันเลยนะ”
สวีฮูหยินลอบกลืนน้ำลาย จู่ ๆ นางก็รู้สึกหวั่นเกรงกับรัศมีของพ่อค้าผู้นั้น แต่นางก็ยังเชิดใบหน้าขึ้นอย่างอวดดี ที่นัดเจอครั้งนี้ ไม่นึกว่าบิดาของเมิ่งเยียนจะตามมาด้วย เดิมทีสวีฮูหยินตั้งใจจะเกลี้ยงกล่อมเมิ่งเยียนด้วยเงิน เพื่อให้นางเลิกยุ่งเกี่ยวกับสวีป๋อหย่าเสียที
“ข้าขอพูดตามตรงไม่อ้อมค้อม ตัวข้านั้นนับว่าเป็นคนมีเมตตาอยู่บ้าง พวกเจ้าสองพ่อลูกเลิกยุ่งกับพวกเราเสียเถอะ ข้ายินดีมอบเงินจำนวนมากและที่ดินให้ผืนหนึ่ง” นางเสนอให้ที่ดิน ก็ถือว่าใจป้ำพอสมควร
“สวีฮูหยินเจ้าคะ ข้าเองก็ขอพูดตามตรงเช่นกัน ครอบครัวข้าไม่ต้องการที่ดินหรือทรัพย์สินเงินทองใด ข้ากับป๋อหย่าชอบพอกันด้วยใจจริงเจ้าค่ะ หวังว่าฮูหยินสวีจะให้โอกาสพวกเราได้อยู่ด้วยกัน” เมิ่งเยียนทำหน้าน่าสงสาร ปากสั่นระริก ดวงตาฉ่ำคลอไปด้วยหยาดน้ำตา มองไปยังสวีป๋อหย่าด้วยแววตาที่แสนจะลึกซึ้ง สวีป๋อหย่าเห็นแล้วถึงกับขนลุกเลยทีเดียว
“ลูกชายท่านล่วงเกินลูกสาวข้าไปแล้ว ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ท่านจะตบหน้าพวกข้าด้วยที่ดินและเงินงั้นหรือ เช่นนั้นก็ดีเลย! ข้าจะได้ป่าวประกาศไปให้ทั่ว ว่าคนบ้านสวีมีนิสัยชอบดูคนอย่างไร! ทำลูกสาวเขาเสียหายแล้วจะไม่รับผิดชอบ!” หย่งซือแสร้งโวยวายเสียงดัง
สวีฮูหยินโมโหจนมือสั่น ตวาดกลับ “พูดเบา ๆ หน่อย! อย่าเสียมารยาทในบ้านของข้า” นางกลัวว่า ฮูหยินสามและฮูหยินสี่ บรรดาภรรยาน้องชายของสามีจะได้ยินเข้า แล้วเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศนอกจวน พวกนางยิ่งชอบมาด้อม ๆ มอง ๆ แถวเรือนหลักอยู่เสียด้วย
หย่งซือยิ้มเยาะอยู่ในใจ เหลือบมองเมิ่งเยียนคราหนึ่ง ทั้งคู่ขยิบตาให้กันอย่างรู้ใจ “ตกลงว่าสวีฮูหยินจะเอาอย่างไร วันเดือนปีเกิดลูกสาวข้าก็ให้ไปแล้ว ท่านไปดูกฤษ์มงคลแล้วหรือยัง”
สวีฮูหยินไม่ฟังที่หย่งซือพูด นางเปลี่ยนเรื่อง แล้วแค่นเสียงต่ำในลำคอ “เหอะ! เจ้าเป็นพ่อคนประสาอะไร ไม่สั่งสอนลูกสาวให้ดี เลี้ยงลูกอย่างไรให้ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว”
หย่งซือไม่ยอมโต้ตอบทันควัน “อารมณ์ของหนุ่มสาวจะห้ามกันได้อย่างไร หรือสวีฮูหยินสามารถห้ามอารมณ์ตอนอยู่บนเตียงได้”
สวีป๋อหย่าที่นั่งเงียบอยู่นาน เมื่อได้ยินที่หย่งซือพูด เขาถึงกับพ่นชาที่พึ่งดื่มเข้าไปออกมา แล้วไอค่อกแค่กเสียงดัง เมิ่งเยียนจึงรีบยื่นผ้าเช็ดหน้าของนางให้เขา หญิงสาวแอบคิดในใจว่า เจ้านี้ช่างทำเป็นอ่อนไหวไปได้
สวีฮูหยินอับอายจนหน้าแดง คนพวกนี้ช่างไร้มารยาทเกินจะทน “หากจะเข้าจวนสวี นางก็เป็นได้เพียงสาวใช้ห้องข้างให้ลูกชายข้าเท่านั้น คนที่จะเป็นภรรยาลูกชายข้า นางต้องเหมาะสมคู่ควรโดยเฉพาะเรื่องฐานะหน้าตา จะได้ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ลูกสาวพ่อค้าขายเกาลัดเช่นนี้!”
หย่งซือลุกขึ้นด้วยท่าทางโมโห ฮูหยินผู้นี้น่ารำคาญและชอบช่างพล่ามไปเรื่อย “พ่อค้าขายเกาลัดแล้วอย่างไร! ข้าทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยความสุจริต ไม่ได้ไปปล้นจี้ใครมาเสียหน่อย” พูดออกไปเช่นนี้ หย่งซือก็รู้สึกกระดากปากอยู่ไม่น้อย
สวีป๋อหย่าและเมิ่งเยียน นั่งไร้ประโยชน์ทำเพียงดื่มด่ำกับชาและขนม ชากานี้รสชาติดีมาก จนเมิ่งเยียนอดไม่ได้ที่จะถามกับเขาว่าเป็นชาอะไร “ชานี้ดีมาก ดื่มแล้วรู้สึกสบายท้อง ไม่ทราบว่าเป็นชาอะไรหรือ”
สวีฮูหยินที่อยู่ในอารมณ์เดือดดาล หันขวับไปทางบุตรชาย “ป๋อหย่า! คนมารยาททรามเช่นนี้ เจ้ายังจะยอมให้เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตอีกหรือ”
“ท่านแม่ ข้าต้องรับผิดชอบนาง ท่านก็ยอมให้นางแต่ง ๆ เข้ามาเถอะ หากท่านไม่ชอบนาง ข้าก็จะไม่ให้นางไปให้ท่านแม่เห็นหน้าก็แล้วกัน” สวีป๋อหย่าตอบเสียงเฉื่อย ก่อนจะหันไปตอบคำถามเมิ่งเยียน “ชาอู่หลง ชานี้ขึ้นชื่อมากในเมืองห้วยจิ่ง”
เมิ่งเยียนที่นั่งกัดขนมอยู่ข้าง ๆ ร้องอ้อ พยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ
“ลูกเขยพูดถูก” หย่งซือตบเข่าแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
สวีฮูหยินโกรธจนแทบเป็นบ้าแล้วตอนนี้ นางตะคอกเสียงดังลั่น “อยากแต่งก็แต่งกันไป! แต่ป๋อหย่า เจ้าจงจำไว้ คนที่จะเป็นภรรยาของเจ้าก็คือเหวินโหรวเท่านั้น!”
สวีป๋อหย่าถึงกับตัวแข็งค้างเมื่อได้ยินชื่อเหวินโหรว เมิ่งเยียนจับสังเกตอาการเขาได้ นางได้แต่มองเขาอย่างสงสัย
“อะไรกัน ลูกข้าแต่งแล้ว ท่านก็จะให้ลูกเขยข้าแต่งภรรยาเพิ่มอีกคนรึ! ข้าไม่ยอมเด็ดขาด ลูกเขย หากเจ้าแต่งภรรยาเพิ่ม ข้าจะพาลูกสาวหนีเจ้าไปให้ไกลแสนไกล!” หย่งซือไม่ยอม ลุกขึ้นแล้วเริ่มโวยวายอีกครั้ง
“ท่านแม่ ไม่แน่เมิ่งเยียนอาจจะท้องแล้วก็ได้ หากข้าและเมิ่งเยียนต้องแยกจากกัน แล้วลูกข้าที่เป็นหลานท่านแม่เล่าจะทำอย่างไร เลือดเนื้อเชื้อไขท่านแม่เชียวนะ”
สวีฮูหยินยกมือนวดขมับ เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป นางรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกรุม จึงลุกขึ้นด้วยท่าทางเดือดดาล นางกรีดร้องอยู่ในใจอย่างหงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจ “จะทำอะไรก็ทำไป! ทำไปเลย! อยากแต่งนักก็เชิญ!”
สวีป๋อหย่ายืนขึ้นแล้วโค้งตัว “ขอบคุณท่านแม่”
เมิ่งเยียนเองก็เช่นกัน “ขอบคุณเจ้าค่ะ...ท่านแม่” ในเมื่อสวีฮูหยินยอมรับ นางก็เรียกท่านแม่เสียเลย
หย่งซือยิ้มพราว “สวีฮูหยินช่างเป็นคนที่มีน้ำใจยิ่งนัก”
“ป้าซ่ง กลับ!”
“จะ...เจ้าค่ะ ฮูหยิน” ท่านป้าซ่งถึงกับเหงื่อตก ไม่เคยเห็นฮูหยินโกรธมากเท่านี้มาก่อนเลย
สวีฮูหยินเดินออกมาพร้อมท่านป้าซ่ง นางกรีดร้องคราหนึ่งด้วยความหงุดหงิดอยากระบาย ทันใดนั้น จู่ ๆ ก็มีกลุ่มชายแปลกหน้าเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ตรงเข้ามาหาพวกนาง
สวีฮูหยินและท่านป้าซ่งกระเถิบเข้าใกล้กันทันที “พวกเจ้าเป็นใครกัน เหตุใดไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน” ท่านป้าซ่งถามเสียงสั่น
หนึ่งในชายแปลกหน้าก้าวขึ้นหน้า เขากระหยิ่มยิ้มที่มุมปาก “ใครทำให้ลูกพี่หย่งซือลำบากใจ พวกข้ายินดีช่วยกำจัดเสี้ยนหนามนั่นเอง คนอย่างพวกข้าไม่กลัวแม้กระมั่งความตาย!” พูดจบคนพวกนั้นก็หัวเราะพร้อมกัน น้ำเสียงเย็นเยือกฟังแล้วดูน่ากลัว
สวีฮูหยินจับมือท่านป้าซ่งแน่น ก่อนจะพากันรีบล่าถอยวิ่งกลับไปที่เรือน
คนพวกนี้นอกจากไร้มารยาทแล้ว ยังเป็นอันธพาลอีกด้วย!
ป๋อหย่านะป๋อหย่า! ไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนี้ได้อย่างไร!