เรื่องที่สวีป๋อหย่าจะแต่งงาน ซ้ำยังกะทันหันเร่งด่วน แน่นอนว่าทุกคนในบ้านล้วนตกใจ
“ป๋อหย่าจะแต่งกับคุณหนูบ้านใด” ใต้เท้าสวีเอ่ยถามภรรยา เขาเองก็ตกใจเมื่อได้ทราบข่าว เพราะมัวแต่ยุ่งกับงานในราชสำนักจึงไม่ค่อยรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้าน
สวีฮูหยินจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ผู้เป็นสามีฟัง นางเล่าอย่างใส่อารมณ์ ประหนึ่งคับแค้นใจที่บุตรชายไม่เชื่อฟังนางแล้ว ทว่าเมื่อเล่าจบนางกลับรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมที่เห็นสามีมีท่าทีนิ่งเฉย ยินดีหรืออย่างไรกัน ที่ลูกไปแต่งงานกับบุตรสาวพ่อค้าซ้ำยังมีนิสัยหยาบกระด้างไม่น่าคบหา!
“ฮูหยิน แล้วเจ้าไปดูกฤษ์มงคลให้ลูกหรือยัง” ใต้เท้าสวีที่กำลังจะเอนกายพักผ่อนเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง เขารู้สึกเบาใจเสียอีก ที่สวีป๋อหย่าจะแต่งงานแล้ว ข่าวลือที่ว่าเขาชอบบุรุษด้วยกันเองคนจะได้เลิกลือกันเสียที
“ท่านพี่!” สวีฮูหยินตะคอกใส่สามี ก่อนทิ้งตัวนอนแล้วหันหลังให้
ส่วนผู้เป็นสามีนั้น ก็ได้แต่ยกมือลูบเคราตนเอง ตัวเขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับท่าทีภรรยาแต่อย่างใด เพราะภรรยาผู้นี้ อยู่ช่วงวัยใกล้จะหมดระดูแล้ว จึงมีอารมณ์แปรปรวนเป็นเรื่องธรรมดา
เพราะความโมโห สวีฮูหยินจึงเผลอลั่นวาจาออกไปว่า ‘จะแต่งก็แต่งไป จะทำอะไรก็เชิญ’ นางเองคิดไม่ถึงเลยว่าสวีป๋อหย่าจะลงมือจัดการด้วยตนเองทั้งหมด ใครจะเชื่อ ว่าอีกสามวันถัดมา พิธีมงคลก็เกิดขึ้นจริง ๆ
ลูกชายที่เลี้ยงมากับมือ ตอนเด็กเชื่อฟังมารดาเสียยิ่งกว่าอะไร ไม่น่าเชื่อเลย ว่าโตขึ้นเขาจะกลายเป็นคนแข็งข้อไม่เชื่อฟังนางแล้ว
แน่นอนว่าสวีฮูหยินไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเสียงประทัดดังขึ้นที่หน้าจวน สะใภ้ใหญ่ของบ้านอย่างหลี่ฟางเชียนก็ได้แต่ยิ้มแหย นางเองก็ทำตัวไม่ถูกกับท่าทีของแม่สามี
เพราะกะทันหันจนเกินไป ประธานในพิธีวันนี้จึงเป็นท่านอาสามแทน ซึ่งเขาหยุดพักผ่อนอยู่ที่จวนพอดี ตัวเขาเองก็ยังตกใจที่จู่ ๆ หลานชายก็แต่งงานอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ส่วนใต้เท้าสวี ปานนี้คงกำลังนั่งประชุมเช้าอยู่ในท้องพระโรง เขาทราบเพียงสวีป๋อหย่าจะแต่งงานเท่านั้น ไม่ทราบวันเวลาเมื่อใด อีกอย่างสองสามวันมานี้ ภรรยาก็ไม่ยอมคุยกับเขาเลยแม้ครึ่งคำ
เมิ่งเยียนสวมชุดสีแดงมงคล นั่งมาในเกี้ยวที่ประดับด้วยสีแดงเช่นกัน ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมสีมงคลเชิดขึ้นอย่างมีจริตจะก้าน นางก้าวลงจากเกี้ยวโดยมีท่านลุงหย่งช่วยประคอง ตอนนี้ใบหน้าของสองพ่อลูกจอมปลอมเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
หย่งซือก้มหน้ากระซิบที่ข้างหูเมิ่งเยียน ถามอย่างขบขัน “อาเยียน นี่งานแต่งงานรอบที่เท่าไรของเจ้าแล้ว”
เมิ่งเยียนหัวเราะ “ท่านลุงก็...รอบที่แล้วข้าก็จำไม่ได้ แต่ว่า...คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะใส่ชุดเจ้าสาว เพราะข้าจะเลิกเป็นสิบแปดมงกุฎแล้ว”
“เจ้าต้องได้ใส่อีกแน่ นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายหรอก เชื่อข้าเถอะ” หย่งซือตบไหล่บางเบา ๆ เด็กคนนี้อย่างไรสักวันก็ต้องได้แต่งงานกับคนที่รักจริง ๆ ตัวนางอายุยังน้อย อย่างไรนางก็ต้องมีครอบครัวเป็นของตนเอง หย่งซือเองก็เห็นนางเป็นเสมือนลูกหลานคนในครอบครัว เขาเองก็เห็นด้วยหากนางจะเลิกหลอกลวงผู้อื่น แล้วไปใช้ชีวิตธรรมดาเรียบง่าย
พิธีมงคลนี้จัดอย่างเรียบง่าย พิธีรวบรัดและรวดเร็ว แขกร่วมงานมีเพียงไม่กี่คน แน่นอนว่าสวีฮูหยินไม่แม้จะโผล่หน้าออกมาจากห้องเลย ในใจของนางยังโกรธและคงไม่หายง่าย ๆ
กระทั่งเสร็จสิ้นพิธีส่งตัวเข้าหอ เมื่ออยู่กันลำพังไม่มีผู้อื่นแล้ว เมิ่งเยียนก็จัดการดึงผ้าคลุมหน้าออก นางร้อนรนรีบถามเจ้าบ่าวหมาด ๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าข้าต้องนอนเตียงเดียวกับท่านหรอกนะ!” หญิงสาวมองไปที่เตียงสีแดงลายนกยวนยางคู่ที่ถูกโรยด้วยเมล็ดธัญพืชหลากสีด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แม้เขาจะไม่ชอบผู้หญิง แต่เขาก็เป็นบุรุษและมีไอ้นั่นอยู่นะ!
สวีป๋อหย่าหัวเราะเสียงต่ำ “ใครว่าเจ้าจะนอนเตียงเดียวกับข้าเล่า ที่สำหรับเจ้าคือ...ตรงนู้น” ชายหนุ่มบุ้ยปากไปที่ตั่งตัวยาวริมหน้าต่าง ก่อนจะกล่าวต่อเมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยพอใจของเจ้าสาวหมาด ๆ “สินน้ำใจตั้งพันตำลึง แค่นี้คงไม่ลำบากอะไรเจ้าหรอกกระมัง”
“เจ้าค่า ไม่ลำบากอะไรเลยเจ้าค่ะคุณชาย” เมิ่งเยียนกลอกตา ประชดเขาด้วยการลากเสียงยาว ก่อนจะเดินไปนั่งที่ตั่งตัวยาวแล้วจัดการถอดเครื่องหัวออก
“เดี๋ยวข้ามา” สวีป๋อหย่าต้องออกไปฉลองกับแขกข้างนอกต่อ แน่นอนว่าเขาต้องตอบคำถามมากมายจากเหล่าสหายคนสนิท ที่สำคัญคือสวีไคเฉิงพี่ชายของเขา
“ป๋อหย่า เจ้าไปรู้จักกับนางได้อย่างไร” ทว่าเพียงเขาก้าวข้ามธรณีประตูออกไปได้เพียงก้าวเดียว เขาก็ถูกสวีไคเฉิงลากตัวไปอีกทาง
สวีไคเฉิงไม่ตกใจเรื่องที่น้องชายแต่งงาน แต่เขาตกใจที่ว่าทำไมถึงเร็วเพียงนี้ ช่วงสองสามวันเขางานยุ่งมากต้องออกไปตรวจงานที่นอกเมือง ไม่ได้กลับเข้าจวนเลย จึงไม่ทราบข่าวอะไร รู้อีกทีก็เป็นวันแต่งงานของสวีป๋อหย่าไปแล้ว เขาถามภรรยาว่าเกิดอะไรขึ้น นางเองก็ไม่รู้เช่นกัน พอเขาไปถามมารดา ท่านแม่ก็ไล่ให้เขาไปถามสวีป๋อหย่าเจ้าตัวเอง
สวีป๋อหย่าจึงบอกเล่าเหตุผลทั้งหมดให้กับสวีไคเฉิงฟัง สวีไคเฉิงย่อมเห็นใจน้องชาย เขาเองก็รู้ว่ามารดาเอาแต่ใจตนเองแค่ไหน แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่า สวีป๋อหย่าไม่อยากแต่งกับเหวินโหรวถึงขนาดต้องทำอย่างนี้
สวีไคเฉิงปลอบใจน้องชายอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะกอดคอกันไปที่ห้องโถงเรือนรับรอง ร่วมดื่มสุรามงคลกับแขกเหรื่อน้อยนิด
สหายร่วมงานบางคน เมื่อรู้ว่า ภรรยาของสวีป๋อหย่าเป็นเพียงบุตรพ่อค้า เขาก็กล่าววาจาไม่น่าฟัง
“ป๋อหย่า เจ้าระวังตัวไว้หน่อยก็ดี ข้ารู้สึกว่างานมงคลนี้แปลก ๆ พวกทำการค้ามักเหลี่ยมมาก เจ้าเองก็ระวังถูกนางหลอกเอาได้ นี่คงไม่ใช่ว่าเจ้าหลงหน้าตาของนางหรอกกระมังถึงยอมแต่งด้วย” จ้าวฉวนกล่าว เขาเองก็อยากจะรู้เหลือเกิน ว่าเจ้าสาวของสวีป๋อหย่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร เหตุใดคนเก็บตัวเงียบขรึมอย่างสวีป๋อหย่าถึงแต่งกับนางได้ แล้วข่าวลือที่ว่าเขาชอบผู้ชาย เป็นยอดเหนือบุรุษ คงไม่จริงแล้วกระมัง
สวีป๋อหย่าแอบถอนหายใจอยู่ในใจ เขากล่าวสั้น ๆ เพียงว่า “ขอบใจ” แล้วก็ยกสุราขึ้นดื่ม ไม่สนใจคนพวกนั้นอีก
ดื่มจนเมามายพอสมควร เขาก็ขอตัวกลับห้อง ไม่วายยังโดนเอ่ยแซว จากจ้าวฉวนคนเดิม “พวกเจ้าปล่อยป๋อหย่าไปเถอะ เขาออกมานานแล้ว เดี๋ยวเจ้าสาวจะหลับเสียก่อน เช่นนั้นเจ้าบ่าวคงอารมณ์ค้างเพราะต้องรอเก้อ” พูดจบก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะครืน
สวีป๋อหย่าไม่รู้จะตอบโต้อะไร เขารู้สึกรำคาญเสียมากกว่า
ชายหนุ่มเดินซวนเซเข้ามาในห้อง ด้วยความเคยชิน เขาจึงยืนแก้ผ้าอย่างน่าไม่อายอยู่ข้างเตียง ตอนนี้เหลือเพียงกางเกงแพรตัวเดียวติดกาย ซึ่งเขากำลังจะถอด...
เมิ่งเยียนนอนอยู่บนตั่งอีกฝั่ง นางงีบหลับไปได้พักหนึ่งแล้ว ก่อนสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงกระแทกประตู หญิงสาวตาโตด้วยความตกใจ เมื่อเห็นคุณชายสวีกำลังแก้ผ้า นางเห็นหน้าท้องซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามก็พลันหน้าแดงเถือก นางเผลอกลืนน้ำลาย สักพักก็เหมือนจะได้สติ นางกรีดร้องออกมา เมื่อเขากำลังดึงกางเกงลง
เมิ่งเยียนยกมือปิดตาตัวเอง นางตะโกนออกไปว่า “ว้าย! ข้าไม่อยากดูหนอนน้อยของท่านนะ!”
สวีป๋อหย่าเหมือนจะได้สติเพราะเสียงแหลมระคายหู เขากะพริบตาปริบ ๆ ก่อนก้มมองหนอนน้อย ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนโต้แย้งด้วยเสียงยานคางว่า “หนอนน้อยที่ไหนกัน นี่คือมังกรต่างหาก”