ตอนที่ 1
ถนนสายหลักของเมืองหลวงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงต่าง ๆ บรรยากาศคึกคักและมีสีสันยิ่งนัก
ทว่าช่วงท้ายถนนสายหลักของเมือง กลับมีสถานที่แห่งหนึ่ง บรรยากาศช่างต่างกันราวอยู่คนละโลก
ภายในตรอกร้างที่เงียบสงัดจนได้ยินเสียงใบไม้แห้งตกกระทบพื้น บรรยากาศดูวังเวงจนน่ากลัว แต่กลับมีกลุ่มคนอยู่กลุ่มหนึ่ง นำโดยหญิงสาวที่สวมชุดสีขาวทั้งตัวราวกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์
ข้างกายของนางคือผู้ติดตาม เป็นหนุ่มน้อยวัยละอ่อน สวมหมวกฟางมิดชิดเห็นเพียงใบหน้าครึ่งล่าง หนุ่มน้อยเชิดหน้าและยืดอกหลังตรง วางท่าทางดุดันเคร่งขรึม
จู่ ๆ ร่างของผู้หญิงชุดขาวก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เปลือกตาและคิ้วขยับไปมาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ลืมตาขึ้น ชี้นิ้วสั่นเทาไปตรงหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ว่า “ช่วงนี้ฮูหยินมักปวดคออยู่บ่อย ๆ ใช่หรือไม่”
สตรีวัยกลางคนที่เพียงปรายตาดูก็รู้ว่ามีฐานะพอสมควร นางสะดุ้งโหยงแทบหงายหลังตกเก้าอี้ เหลือบมองบ่าวคนสนิทข้างกายด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ก่อนจะหันไปสบตาหญิงสาวตรงหน้า “ชะ..ใช่แล้วท่านผู้วิเศษ”
ท่านผู้วิเศษผู้นี้มีนามว่า เมิ่งเยียน นางแอบยิ้มเยาะอยู่ในใจ ก่อนกระดิกนิ้วเรียกให้คนตรงหน้าโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ยกมือป้องปากกระซิบที่ข้างหูว่า “ฮูหยิน ตอนนี้ตาที่สามข้าได้เปิดแล้ว ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาท่านเคยข้องเกี่ยวกับเด็กมาก่อนหรือไม่ อย่างเช่น...พลั้งมือทำลายชีวิตเด็กมาก่อน ที่ข้าต้องถามเช่นนี้ก็เพราะตอนนี้ข้าเห็นวิญญาณเด็กตนหนึ่ง เขากำลังขี่คอท่านอยู่ นี่อาจเป็นสาเหตุที่ท่านมักปวดคออยู่บ่อย ๆ และที่สำคัญ...เขาดูจะอาฆาตแค้นท่านมาก”
ได้ยินดังนั้นจางฮูหยินก็ถึงกับหน้าซีด คิดว่าท่านผู้วิเศษผู้นี้ช่างน่าเลื่อมใส ทำนายทายทักแม่นอย่างที่บ่าวคนสนิทของนางบอกเล่ามา ทั้งที่นางยังไม่ทันได้เล่าอะไรให้ท่านผู้วิเศษฟังเลยสักคำ
แต่ว่า...วิญญาณเด็กงั้นหรือ?
หรืออาจเพราะเมื่อสองปีก่อน นางเคยบังคับให้ลูกสะใภ้กินยาขับเลือด นางไม่ต้องการให้ลูกสะใภ้ที่ไร้หัวนอนปลายเท้าคนนั้นตั้งท้องกับบุตรชาย จึงคิดกำจัดเด็กนั่นเสีย หรือนี่อาจเป็นเหตุผลที่เด็กคนนั้นอาฆาตแค้นเพราะนางไม่ต้องการให้เขาเกิดมาแปดเปื้อนตระกูล!
จางฮูหยินที่เริ่มมีสีหน้าหวั่นวิตกกระซิบถามกลับเสียงเบาว่า “ท่านผู้วิเศษ ท่านมีวิธีขับไล่วิญญาณเด็กหรือไม่”
ท่านผู้วิเศษสาวยิ้มกริ่ม “ย่อมมีแน่นอน แต่ว่าคงจัดการยากสักหน่อย” เมิ่งเยียนทำสีหน้ายากลำบากใจ
เมื่อคิดว่าตอนนี้ยังมีวิญญาณเด็กกำลังขี่คอตนอยู่ก็พลันขนลุกซู่ จางฮูหยินเอื้อมมือไปกุมมือท่านผู้วิเศษไว้ “ท่านผู้วิเศษต้องขับไล่วิญญาณร้ายให้จงได้ ข้ายินดีจ่ายค่าเสียเวลาไม่อั้น ขอเพียงวิญญาณนั่นยอมไปผุดไปเกิดไม่รบกวนข้าก็พอ”
เมิ่งเยียนได้ยินประโยคที่ว่า ‘ยินดีจ่ายไม่อั้น’ สีหน้านางก็ดูจะแจ่มใสขึ้นมาในพริบตา นางยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาด
“ข้าจะช่วยฮูหยินจนสุดความสามารถเจ้าค่ะ” พูดจบท่านผู้วิเศษก็ล้วงเอาผ้ายันต์ขับไล่ภูติผีที่วาดขึ้นมาเองยัดใส่ในมือจางฮูหยิน ไม่ลืมกำชับว่า “ฮูหยิน ท่านเอายันต์นี้ไปติดหน้าประตูห้องนอน วิญญาณเด็กจะได้ไม่รบกวนท่านเวลาพักผ่อน ตอนนี้พวกเราต้องรอฤกษ์งามยามดีวันที่ฟ้าเปิด ให้ข้าได้มีพลังหยางแข็งแกร่งกว่านี้ แล้วข้าจะไปหาท่านที่จวนเพื่อทำพิธีขับไล่วิญญาณเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าจะรอท่านผู้วิเศษ แต่อย่านานนักเล่า ข้าไม่สบายใจ”
จางฮูหยินทำหน้าผิดหวัง นางอยากให้ท่านผู้วิเศษไปขับไล่วิญญาณเด็กเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็เข้าใจได้ นางจึงกำผ้ายันต์ในมือไว้แน่น จากนั้นก็ยื่นเงินให้เป็นค่าสินน้ำใจ ก่อนจะขอตัวลากลับทันที
เมื่อจางฮูหยินและบ่าวรับใช้เดินออกจากตรอกร้างไปแล้ว เมิ่งเยียนก็รีบกระชากผ้าคลุมหน้าออกเพราะหายใจอึดอัด นางจ้องมองเงินสิบตำลึงในมือแล้วหัวเราะร่วน
สบายไปอีกหลายวัน!
“พี่เมิ่ง ข้าอยากกินเป็ดย่างจังเลย” หนุ่มน้อยข้างกายเมิ่งเยียนมีนามว่า อาเหยา เขาตาลุกวาวเมื่อเห็นเงินในมือพี่เมิ่ง ก่อนจะยกมือลูบท้องแบนราบของตนเองเบา ๆ
“ได้ วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปกินเป็ดย่าง!” เมิ่งเยียนยืนขึ้นแล้วตบไหล่หนุ่มน้อย ผลงานวันนี้ยกความดีความชอบให้อาเหยา!
เมิ่งเยียนให้อาเหยาแอบไปสืบเรื่องราวภายในจวนสกุลจางอยู่หลายวัน จนทราบข้อมูลลึกตื้นหนาบางมาพอสมควร นางนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้หลอกลวงเหยื่อ วิญญาณเด็กที่ไหนกันไม่มีหรอก ทุกประโยคที่นางพูดออกไปก็เป็นเรื่องปั้นแต่งทั้งนั้น อีกอย่างตอนที่จางฮูหยินเดินเข้าตรอกมา นางเห็นว่าจางฮูหยินมักนวดหลังคอตนเองอยู่บ่อย ๆ
เมิ่งเยียนเป็นสิบแปดมงกุฏ เพิ่งทำได้ไม่นาน นางมักมองเลือกเหยื่อที่ฐานะ จากนั้นก็หาข้อมูลของเหยื่อเพื่อจะได้หลอกเหยื่อคนนั้นไปนาน ๆ นอกจากอ้างว่าตนเองเป็นท่านผู้วิเศษแล้ว นางก็ยังเป็นได้อีกหลายอาชีพ ส่วนอาเหยา เขาเป็นสมุนมือซ้ายของนาง ทั้งสองเจอกันโดยบังเอิญในระหว่างนั่งขอทานอยู่ในตลาด อาเหยาโดนขอทานเจ้าถิ่นทำร้ายร่างกาย นางเห็นแล้วรู้สึกสงสารจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ จากนั้นอาเหยาก็ขอติดตามเมิ่งเยียน นับถือนางเป็นลูกพี่ของเขา
ทั้งสองมีชะตาชีวิตที่คล้ายกัน เมิ่งเยียนเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่เป็นใครไม่รู้ รู้แต่ว่าตัวนางอาศัยอยู่ในหอโคมแดงตั้งแต่ลืมตาดูโลก นางไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในนั้น จึงวางแผนอยู่หลายปีในที่สุดก็หลบหนีออกมาได้ จนได้มาพบกับอาเหยา
หลังจากกินเป็ดย่างหนังกรอบหมดไปคนละตัว สองสิบแปดมงกุฏก็เดินลุบพุงออกจากร้าน ในขณะนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นว่า “ทางนั้น จับพวกมัน!”
เมิ่งเยียนและอาเหยาหันไปมองตามเสียงพร้อมกัน ตกใจจนหน้าเหวอ เมื่อเห็นคนของทางการชี้ปลายกระบี่แหลมคมมาที่พวกตน
“ซวยแล้ว หนีเร็ว!” สิ้นเสียงเมิ่งเยียนก็ยกชายกระโปรงแล้ววิ่งหนีหายเข้าไปปะปนกับกลุ่มฝูงชนตรงหน้า ทิ้งให้อาเหยายืนตัวแข็งทื่ออยู่หน้าร้านขายเป็ดย่าง
หนุ่มน้อยหันมองลูกพี่สาวข้างกาย นางหายไปในเวลาเพียงเสี้ยวเดียวได้อย่างไร อาเหยาเห็นเพียงชายกระโปรงสีขาวไหวอยู่ไม่ไกล เขาคิดในใจอย่างหงุดหงิด ‘ทิ้งข้าอีกแล้ว!’
เมื่อได้สติอาเหยาก็ออกวิ่งตามลูกพี่ไปติด ๆ พลางตะโกนว่า “ลูกพี่เมิ่ง รอข้าด้วย! ท่านทิ้งข้าอีกแล้วนะ!”
.
.
.
ภายในห้องโถงเรือนหลัก ตอนนี้เป็นช่วงจิบชาหลังมื้ออาหาร ซึ่งนานทีปีหนถึงจะมีช่วงเวลาเช่นนี้สักครั้ง
“ป๋อหย่า เจ้าอย่าลืมสะสางงานให้เรียบร้อย ต้นเดือนหน้าเหวินโหรวและแม่ของนางจะเดินทางมาเยี่ยมพวกเรา” สวีฮูหยินกล่าวเสียงเด็ดขาด พร้อมถลึงตาจ้องเขม็งไปที่บุตรชายคนรอง นามว่าสวีป๋อหย่า
สวีป๋อหย่าแอบถอนใจ เขารู้ดีว่าท่านแม่กำลังหมายถึงสิ่งใด
ท่านแม่กำลังจะจับเขาแต่งงาน!
สวีป๋อหย่ายังจำภาพเด็กผู้หญิงตัวอ้วนและชอบมีน้ำลายไหลยืดคนนั้นได้ ทุกครั้งที่ตระกูลเหวินเดินมาเยือนเมืองหลวง แน่นอนว่าเจ้าเด็กอ้วนน้ำลายไหลคนนั้นก็จะตามติดมาด้วยทุกครั้ง
ระหว่างอยู่ในเมืองหลวง คนตระกูลเหวินจะพักอาศัยอยู่ในจวนสกุลสวีตามคำเชื้อเชิญของมารดา
เด็กหญิงอ้วนคนนั้นมักมารบกวนเขาอยู่เสมอ ทั้งที่เขาทำตัวเฉยชาไม่สนใจนาง เขายอมรับตามตรงว่ารำคาญ ด่าว่านางก็แล้ว แต่นางก็ยังตื้อไม่เลิกรา ถึงขนาดแอบย่องเข้าห้องนอนเขาในตอนดึก ปีนขึ้นเตียงแอบจูบแก้มเขา ซ้ำยังลามปามแก้ผ้าเขาอีก!
สวีป๋อหย่าไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่เหตุการณ์นั้นก็ทำให้เขากลายเป็นคนไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิง เมื่อใดที่ต้องอยู่ใกล้ เขาจะมีอาการอึดอัด ตัวสั่นและเหงื่อออก ด้วยเพราะเหตุนี้ จึงมีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับเขาไปทั่วเมือง
ในตระกูลสวี มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยังไม่ตบแต่งภรรยา พี่ใหญ่และน้องสาวของเขาล้วนแต่งงานจนมีหลานให้ท่านพ่อท่านแม่ได้อุ้มกันแล้ว
“ป๋อหย่า เจ้าดีใจหรือไม่ที่จะได้เจอเหวินโหรว” สวีไคเฉิงยิ้มเยาะเอ่ยแซวน้องชาย ก่อนจะอุ้มหยวนเปา บุตรชายวัยสามขวบขึ้นมานั่งตัก พี่สะใภ้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้แต่แอบก้มหน้ากลั้นยิ้ม
ทุกคนในจวนรู้ดีว่าสวีป๋อหย่าไม่ชอบเหวินโหรว ถึงขนาดที่ต้องหนีหลบหน้ากันเลยทีเดียว
“ป๋อหย่าย่อมดีใจอยู่แล้ว คนตระกูลเหวินก็เหมือนญาติพี่น้อง ญาติพี่น้องมาเยี่ยมเหตุใดจะไม่ดีใจเล่า” สวีฮูหยินตอบแทนบุตรชาย
“ป๋อหย่า อายุของเจ้าก็สมควรที่จะมีครอบครัวได้แล้ว...” ใต้เท้าสวี หรือ สวีซุน เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นบ้าง หากแต่ยังไม่ทันจบประโยคดี เสียงของผู้เป็นภรรยาก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
“ท่านพี่ไม่ต้องห่วง ข้ากำลังมองหาคุณหนูจากตระกูลใหญ่ให้ลูกอยู่” แน่นอนว่าคุณหนูที่นางหมายตาไว้คือคุณหนูเหวิน เหวินโหรวจากเทียนตง
สวีป๋อหย่าทำหน้าเบื่อหน่าย ทุกครั้งที่รวมตัวกันก็มักจะพูดแต่เรื่องของเขา ส่วนตัวเขาก็ได้แต่ยกถ้วยชาขึ้นจิบเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไรแม้ครึ่งคำ ไม่นานก็ขอตัวอ้างว่ามีเรื่องเร่งด่วนต้องจัดการ มารดาร้องห้ามก็ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง
หลี่อวี้ ซึ่งเป็นบ่าวคนสนิทของสวีป๋อหย่า เขาวิ่งตามหลังเจ้านายมาติด ๆ “นายน้อย คราวนี้บ่าวว่าฮูหยินไม่ปล่อยนายน้อยไปแน่ บ่าวได้ยินฮูหยินคุยกับท่านป้าซ่ง เรื่องงานแต่งงานของนายน้อยและคุณหนูเหวิน ฮูหยินเอาวันเดือนปีเกิดของนายน้อยและคุณหนูเหวินไปให้ซินแสหากฤษ์มงคลแล้ว” หลี่อวี้บอกเล่าในสิ่งที่ตนเองบังเอิญได้ยินมาให้นายน้อยทราบ
หลี่อวี้รู้ว่านายน้อยของเขาไม่ชอบคุณหนูเหวิน ยามตระกูลเหวินมาเยี่ยมทีไร นายน้อยก็มักอ้างว่ามีเรื่องเร่งด่วนเสมอ หลี่อวี้รู้ดีว่านายน้อยต้องการหลบหน้าคุณหนูเหวินโหรว
สวีป๋อหย่าชะงักฝีเท้าหยุดเดินกระทันหัน จนหลี่อวี้ชนเข้ากับแผ่นหลังดังปั่ก เขายกมือลูบจมูกตนเองเบา ๆ
ร่างสูงหมุนตัวกลับมา จ้องเขม็งคนสนิทของตน ก่อนยกยิ้มมุมปาก “หากท่านแม่อยากให้ข้าแต่ง ข้าก็จะแต่ง!”