สวีฮูหยินนั่งจิบชาอยู่ลานหน้าเรือน นางแหงนหน้ามองท้องฟ้า พลางคิดว่าวันนี้ท้องฟ้าก็ดูปลอดโปร่งแจ่มใส แล้วเหตุใดลูกชายคนรองของนางถึงได้มาหาถึงเรือนส่วนตัวเช่นนี้กันนะ
บุตรชายคนนี้เป็นคนเก็บตัวเงียบขรึม หากไม่ได้ไปทำงานเขาก็มักคลุกตัวอยู่แต่ห้องหนังสือทั้งวัน วันหยุดก็ไม่ออกไปไหน ทำตัวราวกับนักพรตจำศีล
สวีฮูหยินหันไปกล่าวกับคนสนิทอย่างท่านป้าซ่ง ซึ่งในอดีต ท่านป้าซ่งเคยเป็นแม่นมให้กับสวีไคเฉิงและสวีป๋อหย่า “สงสัยวันนี้ฟ้าจะถล่มกระมัง ป๋อหย่าเขามาหาข้าถึงเรือน”
วันนี้เป็นวันหยุดของสวีป๋อหย่า เขาช่วยงานอยู่ในกรมพิธีการระหว่างรอรับตำแหน่งหนึ่ง ชายหนุ่มเดินดิ่งมาหามารดาที่เรือนแต่เช้า เพราะเขามีเรื่องสำคัญจะบอกกล่าวกับนาง
แน่นอนว่าสวีป๋อหย่าได้ยินวาจาประชดอย่างหยอกล้อนั้น ทว่าเขาไม่ใส่ใจ ก็เหมือนเช่นทุกครั้งที่เขามักไม่ใส่กับคำพูดใดจากใคร
สวีป๋อหย่าก้มศีรษะน้อย ๆ ก่อนนั่งลงตามคำเชื้อเชิญ
ท่านป้าซ่งช่วยเขามารินน้ำชาให้เขา ก่อนจะถอยออกไป ให้สองแม่ลูกได้คุยกัน
สวีป๋อหย่ายกชาขึ้นจิบคำอย่างใจเย็น ก่อนนำกระดาษแผ่นหนึ่งวางลงบนโต๊ะ เลื่อนไปที่หน้ามารดา “ท่านแม่ พรุ่งนี้ท่านช่วยนำวันเดือนปีเกิดของข้าและวันเดือนปีเกิดของนางไปให้ซินแสช่วยหากฤษ์มงคลให้ที ข้าจะแต่งงานแล้ว”
สวีฮูหยินถึงกับชะงักค้างเบิกตากว้าง มือถือถ้วยชาค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเท่าใด “เจ้าว่าอะไรนะ?”
สวีฮูหยินเหลือบมองหน้าบุตรชาย สีหน้าและแววตาของป๋อหย่านิ่งขรึมและจริงจัง ไม่มีแววล้อเล่นเลยสักนิด “ป๋อหย่า เจ้าหมายความว่าอย่างไร แม่ไม่เข้าใจ” นางถึงกับวางถ้วยชาลงในมือลง แล้วคว้าพัดขึ้นมาโบกอย่างแรง ราวกับต้องการระบายความร้อนรุ่มในกาย
“ท่านแม่ ข้าจะแต่งงาน” สวีป๋อหย่าตอบเสียงเรียบเรื่อย ราวไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
สวีฮูหยิน “เจ้าจะแต่งกับใคร?”
สวีป๋อหย่า “บุตรสาวพ่อค้าขายเกาลัดคนหนึ่ง นางชื่อเมิ่งเยียน”
สวีฮูหยินลมแทบจับแล้วตอนนี้ “แล้วไปรู้จักกันได้อย่างไร”
“ข้าชอบไปซื้อเกาลัดที่ร้านพ่อของนางอยู่บ่อย ๆ”
สวีฮูหยินนึกขึ้นมาได้ ว่าทุกเย็นสวีป๋อหย่าจะนำเกาลัดคั่วเกลือมาฝากนางเป็นประจำ แต่อย่างไรนี่ก็ไม่ถูกต้อง! “จะแต่งได้อย่างไร! ภรรยาของเจ้า ย่อมต้องเป็นข้าที่เสาะหาให้ถึงจะคู่ควรเหมาะสม!” นางวางแผนหารือกับเซี่ยซื่อ มารดาของเหวินโหรวไว้แล้ว ว่าหากเหวินโหรวมาเมืองหลวงคราวนี้ นางจะจับทั้งคู่แต่งงานกันทันที
สวีป๋อหย่าถอนหายใจแรง “ท่านแม่ ข้าต้องแต่งกับนาง”
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่านางเป็นบุตรสาวพ่อค้าเช่นนั้นรึ! เจ้ารู้หรือไม่ ว่าพวกค้าขายไม่คู่ควรกับตระกูลขุนนางเช่นเรา” สวีฮูหยินไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน!
“ท่านแม่ หากข้าไม่แต่งให้เร็วที่สุด บิดาของนางต้องฆ่าข้าแน่นอน หรือไม่ก็ประจานว่าข้าเป็นขุนนางไร้คุณธรรม ไปล่วงเกินบุตรสาวเขาเข้า ถึงเวลานั้นบ้านเราคงถูกนินทาไปอีกสามปีเจ็ดปี” สวีป๋อหย่ารู้ว่า มารดารักหน้าตาเสียยิ่งกว่าอะไร
“ป๋อหย่า...เจ้า!” สวีฮูหยินตัวอ่อนยวบแทบไหลตกเก้าอี้ ดีที่ท่านป้าซ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลรีบถลาเข้ามาช่วยประคองร่างไว้ไม่ให้หล่นตกพื้น
สวีฮูหยินไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบุตรชายจะเป็นคนเช่นนี้ นักพรตจำศีลอย่างสวีป๋อหย่าน่ะหรือ!
แน่นอนว่าสวีฮูหยินโมโหมาก นางย่อมปักใจเชื่อคำพูดบุตรชาย เพราะที่ผ่านมาสวีป๋อหย่าไม่เคยพูดโกหกนาง และเขาก็ไม่ใช่คนชอบพูดเล่นหรือหยอกล้อใครเหมือนกับพี่ชายและน้องสาวของเขา
นางอยากโผเข้าไปทุบบุตรชายคนนี้นัก หากก็ไม่กล้าลงมืออีก เพราะนางเป็นคนรักลูกมาก เลี้ยงพวกเขามาไม่เคยแม้แต่จะด่าเสียด้วยซ้ำ
ใบหน้าของสวีฮูหยินหน้าแดงเถือก อารมณ์นางยังคุกรุ่นด้วยความโมโห ควันแทบออกหูแล้วตอนนี้ นางโบกมือไล่ลูกชายตัวดี ไม่อยากเห็นหน้าเขาแล้ว “เจ้าออกไปก่อน!”
สวีป๋อหย่าย่อมรู้นิสัยมารดาของเขาดี เขาจึงยอมกลับแต่โดยดี ร่างสูงนั่งแกว่งเท้ารออยู่ที่ห้องหนังสืออย่างอารมณ์ดี จนเวลาผ่านไปราวสองชั่วยาม หลี่อวี้ก็เคาะประตูแล้วเข้ามาหา
หลี่อวี้ “นายน้อย ฮูหยินบอกว่า พรุ่งนี้ให้พาแม่นางเมิ่งมาหาที่จวนขอรับ”
.
.
.
ตอนนี้เมิ่งเยียนพักอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นของคนรู้จักของสวีป๋อหย่า แน่นอนว่าความปลอดภัยย่อมดีระดับหนึ่ง
คุณชายสวีให้คนมาแจ้งว่า พรุ่งนี้ต้องไปพบท่านแม่ของเขาที่จวน เมิ่งเยียนจึงเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ตื่นเช้ามาจะได้อารมณ์ดีและรู้สึกสดชื่น
เมิ่งเยียนตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่เช้า วันนี้นางสวมชุดสีสันสดใส ปักปิ่นไข่มุกเม็ดงามและตบแป้งที่หน้าเล็กน้อย
จะว่าไปแล้ว...นานมากแล้วที่ไม่ได้แต่งหน้าแต่งตัวเช่นนี้
หญิงสาวเดินลงจากบันไดเพื่อไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่หน้าโรงเตี๊ยม นางกางพัดปิดใบหน้าครึ่งล่างของตนเองไว้ ยามที่ผู้คนจ้องมองตาเป็นมันเช่นนี้ ทำให้เมิ่งเยียนรู้สึกประหม่าไม่น้อย
“คุณหนูบ้านใดกัน เห็นเพียงครึ่งหน้าก็ยังรู้เลยว่านางงาม!” สองชายโฉดที่นั่งกินมื้อเช้าแอบกระซิบกระซาบกัน พลางเหลือบมองตามหญิงงามตาเป็นมัน
เมิ่งเยียนเดินผ่านโต๊ะพวกเขา แน่นอนว่านางได้ยินที่ชายสองคนกระซิบ หญิงสาวถึงกับยิ้มเขินตัวบิด ก็ตั้งแต่เกิดมา นางไม่เคยถูกใครชมว่างามมาก่อนเลย
ใช้เวลาราวครึ่งก้านธูป รถม้าก็มาจอดสนิทที่หน้าจวนสวี เมิ่งเยียนก้าวลงจากรถม้า พร้อมชายวัยกลางคนหน้าโหดที่โดยสารมาด้วย ชายคนนั้นมีรอยแผลเป็นพาดผ่านครึ่งหน้า เขามีนามว่าหย่งซือ หรือนางเรียกเขาว่าท่านลุงหย่ง คนรู้จักที่สนิทกันกับเมิ่งเยียน ซึ่งมีอาชีพเดียวกัน
ด้านหลังหย่งซือ ยังมีลูกน้องหน้าโหดอีกสี่คน แต่ละคนล้วนมีมีดเล่มโตเหน็บที่ข้างเอว
วันนี้ท่านลุงหย่งจะมาสวมบทบาทเป็นท่านพ่อของนาง
สวีป๋อหย่ายืนรออยู่หน้าจวน ทันทีที่เห็นสตรีสวมชุดสีสันสดใสก้าวลงจากรถม้า เขาก็รีบตรงดิ่งเข้าไปหา เหลือบมองชายหน้าเหี้ยมที่อยู่ข้างกายนางแวบหนึ่ง ก่อนก้มกระซิบถามเมิ่งเยียนเสียงเบา “คนผู้นี้หรือ ที่จะมาเป็นพ่อของเจ้า” หลังตกลงร่วมงานกัน ทั้งสองก็แลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนตัวกันเล็กน้อย
เมิ่งเยียนพยักหน้า นางกล่าวแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกันเข้าไว้ “คุณชายสวี นี้คือท่านลุงหย่ง ส่วนท่านลุงหย่ง นี่คือคุณชายสวี สวีป๋อหย่าเจ้าค่ะ”
หย่งซือกวาดสายตามองบุรุษตรงหน้าตั้งศีรษะจรดเท้า เขาย่นจมูก ได้ยินเมิ่งเยียนเล่าว่า คุณชายผู้นี้ชอบบุรุษด้วยกัน จึงต้องการแต่งงานบังหน้า หย่งซือแค่รู้สึกเสียดายชายชาติอย่างสวีป๋อหย่า
“ยินที่ได้รู้จัก” หย่งซือกล่าวเสียงกระด้าง น้ำเสียงของเขาเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” สวีป๋อหย่าตอบกลับเสียงเรียบ เขารู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับท่านลุงผู้นี้เท่าไร
สวีป๋อหย่าเชิญทุกคนเข้าไปด้านใน ให้เมิ่งเยียนและหย่งซือนั่งรอที่ห้องโถงใหญ่ ก่อนสั่งสาวใช้ให้ยกน้ำชาและของว่างเข้ามา
สวีป๋อหย่านั่งอยู่ข้างเมิ่งเยียน เขาคอยกระซิบแต่คำพูดเดิม ๆ ว่าให้นางทำอย่างไรก็ได้ พิธีแต่งงานต้องเกิดขึ้นและเร็วที่สุด
เมิ่งเยียนได้ฟังแล้วถึงกับกลอกตา หากเขาไม่พิศวาสบุรุษด้วยกัน นางคงคิดแล้วว่าเขาอยากแต่งงานกับนางมากเสียจนทนรอไม่ไหว
“ท่านอย่าย้ำบ่อยได้ไหม ข้าไม่ใช่คนความจำเลอะเลือนเสียหน่อย อีกอย่างข้าก็มีท่านลุงหย่ง เขาเล่นงิ้วเก่งมาก!” นางกระซิบตอบเขาหน้านิ่ง รู้สึกว่าเขาจุกจิกเกินไปแล้ว
จังหวะนั้นเอง สวีฮูหยินก็เดินเข้ามาพอดี สายตาเหลือบไปเห็นสองหนุ่มสาวกระซิบพูดคุยกันกระหนุงกระหนิง นางก็แสยะปากยิ้มหยัน คิดว่าสตรีนางนี้ ช่างหน้าไม่อาย ไม่รู้จักกิริยามารยาทอันดีงามที่สตรีพึ่งมีเสียเลย