เมิ่งเยียนตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหลังเล็กน้อย ตั่งตัวนี้แข็งเกินไป นางจึงนอนไม่ค่อยหลับเพราะรู้สึกไม่สบายตัว อีกอย่างก็เพราะมีชายแปลกหน้าอยู่ร่วมในห้องด้วย
ตอนนี้เอง ได้มีสาวใช้สองคนเข้ามาในห้องพร้อมอ่างน้ำในมือ พวกนางรออยู่ข้างนอกนานแล้ว จนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายในห้องจึงเข้ามา
สวีป๋อหย่าเริ่มรู้สึกตัว ชายหนุ่มยกมือนวดขมับเบา ๆ เขารู้สึกมึนหัวอยู่เล็กน้อยจากอาการเมาค้าง เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นสตรีแปลกหน้านั่งฉีกยิ้มให้อยู่ด้านข้าง
สวีป๋อหย่าหลุดปากร้อง “เฮ้ย!” พร้อมขยับตัวออกห่าง
“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ท่านพี่” เมิ่งเยียนยิ้ม แล้วคว้าหมับเข้าที่แขนเขา ทำท่าออดอ้อนคลอเคลีย นางเห็นสาวใช้สองคนนั้นมองนางด้วยความสงสัย ว่าเหตุใดนางถึงไปนอนอยู่ที่ตั่งข้างหน้าต่างเช่นนั้น เมิ่งเยียนจึงทำทีเป็นบ่น ๆ ว่า คุณชายรองของพวกนางเมาแล้วนอนดิ้นมาก นางจึงต้องย้ายตัวเองไปนอนที่ตั่งนั่น
สาวใช้สองคนนั้นไม่ได้กล่าวอะไร เพียงยิ้มให้เมิ่งเยียนอย่างเห็นใจ ก่อนจะนำอ่างน้ำวางไว้บนโต๊ะ จัดเก็บที่นอนบนตั่งตัวยาวแล้วก็พากันออกไปทันที เพราะเมิ่งเยียนจะจัดการตนเอง นางชินเช่นนี้ ไม่ต้องการให้พวกนางมาคอยช่วย
เมื่อสาวใช้เดินออกจากห้องไปแล้ว เมิ่งเยียนก็รีบผละตัวออกห่าง นางบ่นอุบ “ท่านมักกำชับแต่ข้าให้เล่นบทภรรยาสามีรักใคร่กลมเกลียวปานจะกลืนกินให้ดี โธ่เอ๊ย ดูท่านก่อนเถอะ โป๊ะเสียไม่มี นี่ไม่ใช่ท่าทางปานจะกลืนกิน นี่มันคือท่าทางรังเกียจ!” พูดจบนางก็คลานลงจากเตียง
สวีป๋อหย่าหัวเสียตั้งแต่เช้า “ใครให้เจ้าขึ้นเตียงข้ามาเงียบ ๆ เช่นนี้เล่า!”
หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาไปยกน้ำชาเช้า ที่จวนแห่งนี้ผู้อาวุโสไม่อยู่ พวกท่านจากลาโลกไปหลายปีแล้ว สวีป๋อหย่าจึงพาเมิ่งเยียนไปหาบิดามารดาที่เรือนหลัก
เมื่อได้ยินคนสนิทรายงานว่า ลูกชายตัวดีกับลูกสะใภ้คนใหม่มายกน้ำชาเช้า สวีฮูหยินก็นิ่วหน้าทันที นางออกปากสั่งไปว่า ไม่สะดวกต้อนรับเพราะรู้สึกไม่สบาย วันหลังไม่จำเป็นก็ไม่ต้องมา
สวีป๋อหย่าย่อมรู้ว่า ท่านแม่ยังโกรธเคืองเขาอยู่มาก เขาจึงพาเมิ่งเยียนกลับเรือน โดยไม่ลืมกำชับนางให้อยู่ดี ๆ อยู่อย่างสงบห้ามก่อเรื่อง
“อีกประมาณสามวัน เหวินโหรวก็คงมาถึง”
เมิ่งเยียนตาปรือเพราะยังรู้สึกง่วง นางเดินออกไปส่งเขาไปทำงาน กำลังแสดงบทสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวปานจะกลืนกิน
“คุณหนูเหวิน นางคงชอบท่านมากแน่เลย ถึงตื้อจะแต่งกับท่านเพียงคนเดียว” นางฟังที่เขาเล่ามาว่า คุณหนูเหวินผู้นี้ชอบมาก่อกวนวุ่นวายให้เขารำคาญ ให้นางทำอย่างไรก็ได้ กันคุณหนูเหวินผู้นั้นให้เลิกวุ่นวายตอแยเขา
สวีป๋อหย่าย่นหัวคิ้ว เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในวัยเด็กทีไร ก็ทำให้เขารู้สึกเหงื่อชื้นขึ้นมาทันที “เจ้าอย่าถามมากนัก ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีเถอะ”
เมิ่งเยียนแอบเบ้ปากไล่หลังเขา ยืนรอส่งเขาที่หน้าประตูจวน จนรถม้าที่เขานั่งเคลื่อนตัวออกไป นางจึงค่อยหมุนตัวเดินกลับเข้าเรือนไป รีบปรี่เข้าห้อง แล้วทิ้งตัวนอนลงบนเตียงนุ่มของเขา รู้สึกนอนสบายกว่าตั่งนั่นเสียอีก
หญิงสาวพลิกตัวอยู่ไม่นาน เสียงกรนเบา ๆ ก็ดังแว่วออกมา
หลังสวีป๋อหย่าออกไปได้ไม่นาน ก็มีขบวนรถม้าหรูมาจวนเทียบหน้าจวน โดยป้ายที่ติดรถม้าเขียนไว้ว่า ‘สกุลเหวิน’
ที่เมืองเทียนตง ตระกูลเหวินนับว่าร่ำรวยที่สุดในเมือง เป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงยาวนานและมีคนนับหน้าถือตาไม่น้อย
เมื่อได้รับการรายงานว่าคนตระกูลเหวินมาถึงแล้ว สวีฮูหยินก็รีบปรี่ออกมาต้อนรับด้วยตนเองพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งถือเป็นการยิ้มในรอบห้าวันเลยทีเดียว
หญิงงามในชุดสีเขียวอ่อนก้าวลงจากรถม้า ทุกท่วงท่าการขยับล้วนดูอ่อนช้อยงดงาม สาวใช้คอยช่วยประคองร่างหญิงงามนั้นอยู่ไม่ห่าง เมื่อสองเท้ายืนบนพื้นยืนอย่างมั่นคง นางก็รีบส่งยิ้มหวานให้คนตรงหน้า
“โหรวเอ๋อร์” สวีฮูหยินเดินเข้ามาจับมือเหวินโหรว นางมองใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลานั้นด้วยความพอใจ ต้องสตรีผู้นี้เท่านั้นถึงคู่ควรกับการเป็นภรรยาออกหน้าออกตาของสวีป๋อหย่า
“ท่านป้า ไม่เจอกันนาน ท่านสบายดีหรือไม่เจ้าคะ” เหวินโหรวเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“สบายกาย แต่ไม่สบายใจ” สวีฮูหยินพลันหุบยิ้มเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะหันไปสบตาหญิงสาวตรงหน้าแล้วยิ้ม กล่าวอย่างชื่นชมจากใจ “ไม่เจอกันปีเดียว โหรวเอ๋อร์ของป้าก็สวยขึ้นอีกแล้ว” เหวินโหรวมีพัฒนาการความสวยทุกปี นางเองอยากให้ป๋อหย่าได้เห็นความงามนี้ แต่ลูกชายคนนี้มักหลบหน้าหลบตา หากเห็นว่าเหวินโหรวเปลี่ยนไปขนาดนี้ ไม่คร้านอยากแต่งกับนางแน่นอน
“นางสวยเหมือนแม่ของนางอย่างไรล่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนเจ้าของเสียงนั้นจะเดินเข้ามายืนข้างเหวินโหรว นางคือเซี่ยซินหรง มารดาเหวินโหรว
สวีฮูหยิน “ก็จริง เพราะเซี่ยซื่อสมัยสาว ๆ งามราวเทพธิดาบุปผาเลยนะ”
สวีฮูหยินเองเป็นคนเมืองเทียนตง สมัยเป็นสาวน้อย นางและเซี่ยซื่อสนิทกันมากอย่างกับพี่น้องสายเลือดเดียวกัน แม้กระทั่งออกเรือนกันไปแล้ว แต่ความสนิทสนมก็ไม่เคยจางหาย พวกนางเคยคุยกันไว้ว่าหากลูกของพวกนางโตขึ้น ก็จะให้พวกเขาแต่งงานกัน เดิมทีนางคิดไว้ว่าจะให้สวีไคเฉิงแต่งกับเหวินโหรว
ทว่าเหวินโหรวไม่ชอบเขา นางชอบสวีป๋อหย่า ซึ่งมารดาและท่านป้าก็ล้วนตามใจนาง
“เมื่อครู่ได้ยินเจ้าพูดกับโหรวเอ๋อร์ว่า ไม่สบายใจ มีเรื่องทุกข์ใจใดหรือ” เซี่ยซื่อถามด้วยความเป็นห่วง
สวีฮูหยินทำหน้าอ่อนใจ นางยังไม่ได้เล่าเรื่องที่ป๋อหย่าแต่งงานแล้วให้ฟังเลย ใครจะคิดเล่า ว่าบุตรชายผู้นี้จะแต่งจริง “พวกเราเข้าไปคุยข้างในกันเถิด”
ทันทีที่เหวินโหรวรู้ว่า พี่ป๋อหย่าของนางแต่งงานแล้ว เมื่อวานนี้เอง นางก็ได้แต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไร
สวีฮูหยินไม่รู้จะปลอบใจเหวินโหรวอย่างไร “ลูกชายข้าไม่ได้เรื่อง เขาโดนหญิงแพศยาคนนั้นหลอกล่อ สามีข้าซึ่งเป็นใหญ่ในบ้านก็ไม่สนใจอะไรเลย ห่วงแต่เรื่องในราชสำนัก ข้าจะบ้าตายอยู่แล้ว มีเพียงข้าผู้เดียวที่ร้อนใจกับเรื่องนี้” นางระบายให้สองแม่ลูกฟังหมดเปลือก
เซี่ยซื่อย่อมไม่พอใจเช่นกัน เรื่องที่สวีป๋อหย่าแต่งงานโดยไม่ยอมบอกอะไร แต่นางก็ไม่อาจแสดงความไม่พอใจออกไปได้ นางหันไปมองบุตรสาวที่เอาแต่นั่งก้มหน้าแล้วก็รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ เพราะเหวินโหรวปักใจรักสวีป๋อหย่ามาหลายปี
เซี่ยซื่อกล่าวกับสวีฮูหยินอย่างเข้าใจ ก่อนเอื้อมมือไปกุมมือบุตรสาวที่น่าสงสารด้วยความเห็นใจ “ป๋อหย่าเขาโตแล้วย่อมต้องมีครอบครัวถือเป็นเรื่องถูกต้องที่เขาแต่งงาน...”
สวีฮูหยินแอบถอนหายใจ สงสารหลานสาวผู้จับใจ นางจึงเล่าเพิ่มต่อว่า พ่อของเมิ่งเยียน ต้องการให้ลูกสาวแต่งงานซ้ำยังมีการข่มขู่ให้นางหวาดกลัว
เซี่ยซื่อได้ฟังก็โมโหแทนสหาย “กล้ากระทำเช่นนี้ พวกนั้นคิดว่าบ้านเมืองไม่มีกฏหมายหรืออย่างไรกัน!”
“ท่านแม่ ท่านป้า... ”เหวินโหรวที่เงียบไปนาน จู่ ๆ นางก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำ น้ำตานองหน้า นางไม่อาจทำใจได้เรื่องพี่ป๋อหย่าแต่งงานแล้วได้จริง ๆ “โหรวเอ๋อร์ขอตัวก่อน”
สวีฮูหยินคว้ามือเหวินโหรวมากุมไว้ นางตบหลังมือเบา ๆ ปลอบใจ นางมองหน้าเหวินโหรวด้วยสายตาแน่วแน่ อย่างไรเหวินโหรวก็ต้องเป็นสะใภ้บ้านนี้ “ป้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า โหรวเอ๋อร์อย่าได้กังวลใจไปเลย มาคราวนี้เจ้าก็อยู่กับป้าที่นี่ตลอดไปเถอะ ป้าจะเอาวันเดือนปีเกิดของเจ้าและป๋อหย่าไปให้ซินแสดูกฤษ์มงคลให้ อย่างไรเจ้าก็ต้องเป็นสะใภ้บ้านนี้ ส่วนแม่นางเมิ่งอะไรนั่น ป้าจะทำให้นางออกจากบ้านนี้เอง”
เหวินโหรวซับน้ำตาตนเองเบา ๆ นางรู้สึกอุ่นใจ ที่ท่านป้ายังต้องการให้นางเป็นสะใภ้ “เจ้าค่ะ ท่านป้า”