ช่วงสายหลี่ฟางเชียนอุ้มบุตรชายวัยสามขวบมาหาเมิ่งเยียนที่เรือนไป๋หลัน สวีไคเฉิงสามีนางได้บอกไว้ว่า หากว่างก็ให้นางช่วยไปทำความรู้จักกับน้องสะใภ้หน่อย นางพึ่งแต่งเข้ามาคงไม่คุ้นชิน กลัวว่านางจะเหงา อีกอย่างน้องสะใภ้กับท่านแม่ก็ไม่ลงรอยกันเสียด้วย
ตัวหลี่ฟางเชียนเองยังรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดสวีป๋อหย่าถึงแต่งงานเร็วเช่นนี้ แน่นอนว่าทุกคนสงสัย คิดว่าการแต่งงานครั้งนี้ต้องมีเหตุผลบางอย่าง
“นายหญิงของพวกเจ้าอยู่หรือไม่” หลี่ฟางเชียนถามสาวใช้คนหนึ่งที่กำลังกวาดใบไม้แห้งอยู่ลานหน้าเรือน
“อยู่เจ้าค่ะ นางนอนอยู่ สะใภ้ใหญ่รอสักครู่ เดี๋ยวข้าจะไปเรียกให้”
หลี่ฟางเชียนพยักหน้ายิ้ม ๆ ไม่ได้ถือสาที่เมิ่งเยียนยังนอนอยู่ทั้งที่ตะวันจะตรงหัวอยู่แล้ว ผู้หญิงด้วยกันล้วนเข้าใจกันดี ตอนนางเข้าหอครั้งแรกก็ตื่นเสียตะวันคล้อยบ่าย
หญิงสาวนั่งรอที่เก้าอี้โยก โดยมีเจ้าซาลาเปาตัวอ้วนนั่งอยู่บนตัก เขาสนใจแต่กลองป๋องแป๋งในมือ ดูเหมือนว่าของเล่นที่ท่านปู่มอบให้ชิ้นนี้จะเป็นของเล่นที่เขาชื่นชอบที่สุด
ในจังหวะนั้นเอง เหวินโหรวก็เดินเข้ามา พร้อมกับสาวใช้คนสนิท นางเห็นหลี่ฟางเชียนก็เอ่ยทักพร้อมยิ้มกว้าง “พี่เชียนเอ๋อร์”
หลี่ฟางเชียนเงยหน้าขึ้น นางมองเหวินโหรว ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “เหวินโหรว เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อใด”
“ถึงเช้านี้เองเจ้าค่ะ” เหวินโหรวยิ้ม ก่อนถามต่อว่า “แล้วพี่เชียนเอ๋อร์มาทำอะไรที่นี่หรือเจ้าคะ”
“มาหาอาเยียนน่ะ แล้วเจ้าเล่า” หลี่ฟางเชียนแอบสังเกตสีหน้าเหวินโหรว นางคิดว่า เจ้าตัวคงรู้เรื่องแล้วกระมังว่าสวีป๋อหย่าแต่งงาน
“ข้าเอาของมามอบให้สะใภ้คนใหม่เจ้าค่ะ” เหวินโหรวยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า นั่นทำให้หลี่ฟางเชียนยิ่งแปลกใจ
เมิ่งเยียนเดินออกมาด้วยสภาพงัวเงีย แต่เมื่อนางเห็นว่าเป็นหลี่ฟางเชียนจึงส่งยิ้มให้ นางเคยเห็นหลี่ฟางเชียนมาก่อนแล้ว ตอนเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน สวีป๋อหย่าบอกว่า นางคือสะใภ้ใหญ่ นามว่าหลี่ฟางเชียน
เมิ่งเยียนเหลือบมองอีกคน คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างสงสัยว่านางคือใครกัน ซึ่งไม่คุ้นหน้าเลย ผู้หญิงคนนี้ก็ถือว่างามเลยทีเดียว ความงามของนางสามารถเข้าวังได้สบาย
ที่เหวินโหรวมายังเรือนไป๋หลัน ก็เพราะตั้งใจจะมาดูหน้าผู้หญิงของพี่ป๋อหย่า นางแอบยิ้มเยาะในใจ หน้าตากลาง ๆ อยู่ในระดับทั่วไป ไม่มีอะไรน่าดึงดูดเลยสักนิด ที่สำคัญหน้าอกก็เล็กกว่านาง
ตอนแรกนางนึกว่า ผู้หญิงของพี่ป๋อหย่าจะมีความงามหยาดเยิ้มเหมือนพวกปีศาจจิ้งจอกที่ชอบใช้เสน่ห์ความงามล่อลวงบุรุษอะไรประมาณเสียนั้น
เหวินโหรวรู้สึกสบายใจขึ้นมาแล้ว ไม่มีอะไรที่นางจะสู้ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ นางจึงกล่าวแนะนำตัวกับเมิ่งเยียน ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย “ข้าเหวินโหรว ตระกูลข้าและตระกูลสวีนับว่าสนิทกันมาก...”
“อ้อ ข้าเมิ่งเยียน ยินดีที่ได้รู้จักคุณหนูเหวิน” เมิ่งเยียนพูดแทรกขึ้น ไม่อยากจะฟังที่นางจะพล่าม แล้วไหนสวีป๋อหย่าบอกกับนางว่าประมาณอีกสามวันกว่าคุณเหวินจะเดินทางมาถึงอย่างไรเล่า นางคิดว่าตนเองจะได้นอนเล่นสบาย ๆ อีกสักสามสี่วันเสียอีก
เมิ่งเยียนที่พึ่งเห็นหน้าคุณหนูเหวินโหรวครั้งแรก ยอมรับว่ารู้สึกตื่นตะลึงอยู่ในใจ เพราะนางสวยมาก สวยเสียจนเสียดายแทนคุณชายสวี เขาน่าจะชอบผู้หญิง
เหวินโหรวเม้มปากเมื่อถูกขัดจังหวะ นางจึงหันไปพยักหน้าให้สาวใช้ที่อยู่ด้านหลัง “ข้านำของขึ้นชื่อจากเมืองเทียนตงมาฝาก เป็นผ้าทอมือหายาก อ้อ ของพี่เชียนเอ๋อร์ก็มีนะเจ้าคะ ข้าฝากไว้ให้ท่านที่เรือนไป๋เฉ่าแล้ว” ประโยคหลังนางหันไปกล่าวกับหลี่ฟางเชียนที่นั่งอุ้มลูกอยู่
หลี่ฟางเชียน “ขอบใจเจ้ามาก”
จากนั้นเหวินโหรวก็ขอตัวทันที นางมีนัดพบปะกับบรรดาคุณหนูในเมืองหลวง นางมาเมืองหลวงบ่อย จึงมีสหายที่นี่เยอะ
“สะใภ้ใหญ่ เชิญข้างในดีกว่าเจ้าค่ะ ข้างนอกแดดร้อน เดี๋ยวหยวนเปาจะไม่สบาย” เมิ่งเยียนผายมือไปข้างใน รู้สึกเกรงใจที่ให้หลี่ฟางเชียนต้องรอนาน
หลี่ฟางเชียนพยักหน้า ยิ้มให้เมิ่งเยียนอย่างใจดี ก่อนจะอุ้มเจ้าซาลาเปาตัวอ้วนเข้าไปข้างใน
หลี่ฟางเชียนมาก็เพื่อชวนเมิ่งเยียนคุย นางเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน ส่วนใหญ่ก็เลี้ยงลูกอยู่แต่ในเรือนไม่ออกไปไหน “สามีข้าบอกว่า หากว่างก็ให้ข้ามานั่งคุยเล่นกับเจ้า เขากลัวว่าเจ้าจะเบื่อน่ะ” หลี่ฟางเชียนบอกยิ้ม ๆ
เมิ่งเยียนยิ้มแหยเพราะนางรู้สึกเกรงใจ อีกอย่างตัวนางชอบอยู่เงียบ ๆ คนเดียวเสียมากว่า “เกรงใจสะใภ้ใหญ่แย่ ลำบากท่านแล้ว”
“เรียกฟางเชียนเถิด ไม่ต้องพิธีรีตองอะไร ข้ากับเจ้าเราน่าจะอายุเท่ากัน จริง ๆ แล้วก็ไม่ลำบากอะไร” จากนั้นหลี่ฟางเชียนก็เรียกหยวนเปาให้เงยหน้าขึ้น “หยวนเปา นี่ท่านอาสะใภ้ของเจ้า เจ้าชอบท่านอาสะใภ้หรือไม่”
หยวนเปาเงยหน้าขึ้น ดวงตาใสแจ๋วมองท่านอาสะใภ้ที่ท่านแม่แนะนำให้รู้จัก หยวนเปารีบพยักหน้าขึ้นเหมือนไก่จิกข้าวสาร “หยวนเปาชอบท่านอาสะใภ้”
เมื่อเยียนยิ้มหวานให้เด็กน้อย หัวใจรู้สึกฟูฟ่องขึ้นมาอย่างประหลาด “อาสะใภ้ก็ชอบหยวนเปา”
เมิ่งเยียนรู้สึกว่าหลี่ฟางเชียนผู้นี้ไม่ถือตัวเลยสักนิด ที่สำคัญนางยังเป็นคนคุยสนุก
หลี่ฟางเชียนถึงกับสอนเมิ่งเยียนเย็บถุงเงิน เมิ่งเยียนนั้นฝีมือแย่มาก นางมองถุงเงินในมือตนเองด้วยความอับอาย ก็อย่างว่า สตรีอย่างนางจะเก่งเรื่องประณีตพวกนี้อย่างสตรีในห้องหอได้อย่างไรกัน
หลี่ฟางเชียนเห็นสีหน้าเมิ่งเยียน นางก็กล่าวอย่างปลอบใจ “ฝึกบ่อย ๆ เดี๋ยวฝีเข็มก็ประณีตเอง ครั้งแรกข้าก็แย่เช่นเจ้า แต่ท่านแม่มักเคี่ยวเข็ญให้ข้าฝึกเย็บปักถักร้อยอยู่บ่อย ๆ ฝีมือจึงดีขึ้น เจ้าเห็นชุดที่หยวนเปาใส่หรือไม่ นั่นข้าก็เย็บเอง” เพราะนางมีเวลาว่างมาก จึงเย็บชุดให้ลูกชายใส่ ซึ่งชุดส่วนใหญ่ที่หยวนเปาใส่ล้วนเป็นฝีมือนางเอง
เมิ่งเยียนมองชุดสีน้ำเงินที่หยวนเปาใส่ แล้วกล่าวอย่างชื่นชม “พี่ฟางเชียนเก่งมากเจ้าค่ะ ส่วนตัวข้านั้นไม่ชำนาญเรื่องเย็บปักถักร้อยเลย”
“แล้วเจ้าชำนาญเรื่องอะไร”
“เอ่อ...” เมิ่งเยียนไม่รู้จะตอบอย่างไร หากนางบอกว่า ชำนาญเรื่องหลอกลวงผู้อื่น จะได้หรือไม่นะ
จู่ ๆ หยวนเปาก็ร้องไห้โยเยขึ้นมา หลี่ฟางเชียนจึงรู้ว่าถึงเวลาที่เขาต้องนอนกลางวันแล้ว นางจึงขอตัวกลับเรือน “หยวนเปาเขาง่วงนอนแล้ว วันนี้ข้าขอตัวก่อน ไว้วันหลังจะมาหาใหม่ หรือเจ้าจะไปหาข้าที่เรือนก็ได้ วันหลังข้าจะสอนเจ้าปักลายบนผ้า ดีหรือไม่”
เมิ่งเยียนพยักหน้า เดินออกมาส่งสองแม่ลูกที่หน้าประตู “ดีเจ้าค่ะ วันนี้ข้าสนุกมาก ขอบคุณพี่ฟางเชียน”
กระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่ยามเย็น สวีป๋อหย่าก็ยังไม่กลับบ้าน วันนี้เขาคงกลับดึกหน่อยเพราะเขาต้องไปงานเลี้ยงของใต้เท้าหยวน
เมิ่งเยียนนั่งรอไปท้องก็ร้องไป หิวข้าวจนแทบเป็นลม นางนั่งรออยู่นานว่าเมื่อไรสาวใช้จะยกอาหารมาให้เสียที นางเปิดประตูออกไปข้างนอก เห็นสาวใช้คนหนึ่งเข้าพอดี นางจึงเรียกไว้
“นี่เลยเวลามื้อเย็นแล้ว เหตุใดถึงยังไม่ยกสำรับเข้ามา”
สาวใช้นางนั้นเงยหน้าสบตาเมิ่งเยียน ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “หากหิวเจ้าก็ไปหากินเอาเองที่ครัวเถอะ”
สวีฮูหยินสั่งกับบ่าวในจวนไว้ ว่าห้ามปรนนิบัติรับใช้เมิ่งเยียนอย่างเจ้านาย เพราะนางไม่ใช่เจ้านาย แต่เป็นเพียงนางบำเรอของลูกชายเท่านั้น หากใครขัดคำสั่ง คนผู้นั้นจะถูกขายออกจวน
เมิ่งเยียนรู้สึกงงกับท่าทีของสาวใช้ในเรื่อน สังเกตมาทั้งวันแล้ว รู้สึกว่าว่าบ่าวในเรือนดูแปลกไป นางเรียกหาก็ไม่มา ซ้ำยังเมินเดินหนีนาง
ทว่าเมิ่งเยียนก็ไม่ใส่ใจอะไร นางจึงเดินไปที่ครัวและตักอาหารด้วยตนเอง
เมื่อบ่าวในครัวเห็นนางเข้า ต่างก็ปรายตามองนางอย่างดูแคลน บ้างก็จับกลุ่มซุบซิบนินทาเสียงดัง ตั้งใจให้นางได้ยิน
“ก็ว่า...เป็นแค่นางบำเรอนี่เอง ก็อย่างว่าแหละ นางเป็นแค่ลูกพ่อค้า ไม่อาจเอามาเป็นภรรยาออกหน้าออกตาได้ ไม่รู้คุณชายรองหลงนางได้อย่างไร คุณหนูเหวินสวยกว่าตั้งเยอะ”
เคร้ง!
เมิ่งเยียนปิดฝาหม้อเสียงดัง นางหันขวับมองไปที่กลุ่มสาวใช้พวกนั้น มือเท้าเอวท่าทางเอาเรื่อง “พวกเจ้าจะซุบซิบทำไม เสียงเหมือนยุงบินได้ยินแล้วรำคาญหู พวกเจ้าพูดดัง ๆ ไปเลยก็ได้ ข้าไม่ว่าอะไร อย่างมากข้าก็ร่วมเตียงกับคุณชายรองแล้ว ข้าไม่บอกหรอกนะว่าเผ็ดร้อนแค่ไหน” พูดแล้วนางก็เอามือปิดปากหัวเราะคิกคัก “ไม่เหมือนพวกเจ้า! ได้แต่มองจนน้ำลายไหล” พูดจบนางก็สะบัดก้นเดินจากไป ปล่อยให้คนกลุ่มนั้นได้แต่ยืนเงียบ เพราะแท้จริงแล้ว พวกนางก็ปรารถนาอยากปีนเตียงคุณชายบ้างเช่นกัน
สวีป๋อหย่ากลับมาก็ดึกแล้ว แต่ในห้องยังจุดตะเกียงสว่างไสว เมิ่งเยียนนอนไม่หลับ นางจึงลุกมานั่งเย็บถุงเงิน เพราะหลี่ฟางเชียนบอกว่า ผู้หญิงทุกคนล้วนต้องเย็บเป็น
“เจ้ากินข้าวหรือยัง” สวีป๋อหย่าถามอย่างห่วงใย แน่นอนว่าในฐานะเพื่อนร่วมงาน
“กินแล้ว” เมิ่งเยียนตอบโดยไม่เงยหน้ามองเขาเลยสักนิด
สวีป๋อหย่าเห็นนางเอาแต่ก้ม จึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ถามอีกว่า “เจ้าทำอะไรน่ะ”
“ข้าเบื่อ เลยหัดเย็บถุงเงิน” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นแล้วชูถุงเงินให้เขาดู
สวีป๋อหย่าส่ายหน้า “ฝีมือแย่มาก”
เมิ่งเยียน “ขอบคุณนะ”