ในทุกเช้า เมิ่งเยียนและสวีป๋อหย่าจะแสดงงิ้วเป็นคู่สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวปานจะกลืนกิน
เมิ่งเยียนเดินไปส่งสวีป๋อหย่าทำงาน ในระหว่างทางนั้น นางก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านรู้หรือยัง ว่าตอนนี้ท่านแม่ของท่านกำลังแผลงฤทธิ์ใส่ข้าแล้ว” นางไม่แปลกใจเท่าไรกับเรื่องนี้ เพราะคิดว่าอย่างไรก็ต้องเจออยู่แล้ว
หลายวันมานี้สวีป๋อหย่าก็พอสังเกตได้ หลี่อวี้เองก็คอยรายงานเรื่องในบ้านให้เขาฟังอยู่ประจำ “นี่แค่เริ่มต้น อีกไม่นานเจ้าจะเจอของจริง” ชายหนุ่มแกล้งขู่เล่น ก่อนจะรีบก้าวยาว ๆ เดินดุ่ม ๆ ไปข้างหน้าไม่รอคนขาสั้น
เมิ่งเยียนได้แต่เบะปากใส่แผ่นหลังกว้าง ก่อนร้องตะโกนไล่หลังเขาเสียงอ่อนเสียงหวาน “ท่านพี่เจ้าขา รอข้าด้วย!”
อีกด้านหนึ่ง เหวินโหรวที่วันนี้อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามืดเพราะตั้งใจมารอเจอสวีป๋อหย่า นางแอบซ่อนตัวอยู่ตรงนี้นานแล้ว
“คุณหนู คุณชายสวีเดินมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทวิ่งมากระซิบบอก เหวินโหรวพยักหน้าและจัดเผ้าผมให้เข้าที่
เมื่อได้ยินเสียงพูดของสวีป๋อหย่าดังเข้ามาใกล้ เหวินโหรวจึงทำทีเดินออกมาจากที่ซ่อน ทำเหมือนบังเอิญเจอกันระหว่างทาง
เหวินโหรวเอ่ยทักเสียงอ่อนหวาน “เอ๊ะ นั่นพี่ป๋อหย่าใช่หรือไม่” ไม่เจอหน้าเขาสามปี เขายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย
“...ใช่แล้ว” สวีป๋อหย่าจำเหวินโหรวไม่ได้ในคราแรก เขาจ้องหน้านางอยู่นาน ก่อนที่คิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากันจนแทบผูกปมได้ เพราะรู้สึกคุ้นหน้านางมาก ทว่าไม่นานคิ้วเข้มก็คลายออก
“เหวินโหรว?” สวีป๋อหย่ามีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้เจอเหวินโหรวเกือบสามปี ทุกครั้งที่นางมาเยือนเขาก็หนีหายเพราะต้องการหลบนาง เขาไม่นึกเลยว่านางจะเปลี่ยนไปเพียงนี้ นางดูสวยขึ้นเสียจนเขาจำภาพเด็กอ้วนฟันเหยินน้ำลายย้อยคนนั้นไม่ได้แล้ว สวีป๋อหย่าคิดว่าส่วนหนึ่งคงเพราะนางโตขึ้น
แต่ทันทีที่เขาเห็นนาง ความรู้สึกเหล่านั้นก็ไม่จางหาย ตัวเขายังรู้สึกไม่ค่อยดีกับนางอยู่ดี
“เจ้าค่ะ โหรวเอ๋อร์เอง” เหวินโหรวยิ้มพราว ก้มหน้าเขินอาย มือทัดผมที่ตกปรกหน้า นางเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของสวีป๋อหย่าก็เข้าใจไปแล้วว่าเขาตกตะลึงในความงามของนาง
สวีป๋อหย่าขยับตัวเบียดเมิ่งเยียนโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิด ทำอย่างกับเด็กน้อยหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
เมิ่งเยียนเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง นางคิดไปเองว่า คุณชายสวีคงต้องการให้นางแสดงละครผัวเมียปลอม ๆ ตอนนี้กระมัง
เมิ่งเยียนแสร้งกระแอมเสียงดัง หญิงสาวคล้องแขนชายหนุ่ม สีหน้าแสดงออกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ นางจ้องหน้าเหวินโหรวอย่างไม่เกรงกลัว ทำทีเป็นกล่าวทักใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณหนูเหวิน ตื่นเช้าจังเลยเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหวินโหรวค่อย ๆ หุบลง อารมณ์ดีเมื่อครู่ก็จางหายไปในพริบตา นางเงยหน้าสบตาเมิ่งเยียน “ข้าตื่นเช้าทุกวันอยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าเล่า เหตุใดวันนี้ถึงตื่นเช้าได้ วันก่อนเจ้ายังตื่นตอนตะวันตรงหัวอยู่เลย”
เมิ่งเยียนเม้มปากกลั้นยิ้ม แสร้งบิดตัวเขินอาย ก่อนเงยหน้ามองชายหนุ่มด้านข้าง “ข้าพูดได้จริงหรือ เรื่องนั้นน่ะ...คือว่าเมื่อคืนไม่หนัก..”
เหวินโหรวรู้ทันทีว่าเมิ่งเยียนกำลังจะหมายถึงสิ่งใด นางกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ แล้วเอ่ยขัดขึ้นมาเพราะไม่อยากฟังเรื่องพรรค์นั้น “พี่ป๋อหย่า หากวันไหนท่านว่างก็มากินข้าวกับแม่ข้าสักมื้อ ท่านแม่เองก็ถามถึงท่านบ่อย ๆ”
“อืม” สวีป๋อหย่าขานรับในลำคอ
เมิ่งเยียนเปลี่ยนจากแขนที่คล้องไปจับมือสวีป๋อหย่า พูดกับเขาอย่างออดอ้อนโดยไม่สนใจอีกคน “ท่านพี่ เสร็จงานแล้วก็รีบกลับบ้านนะเจ้าคะ ข้ารอท่านอยู่” เมิ่งเยียนฉีกยิ้มหวาน ดวงตาพราวระยับ
สวีป๋อหย่าเองก็ยิ้มตอบกลับ ทว่าเป็นรอยยิ้มที่ค่อนข้างฝืนเหลือเกิน “ข้าเข้าใจแล้ว”
จากนั้นชายหนุ่มก็รีบก้าวยาว ๆ เพื่อเดินไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่หน้าจวน ทว่าเขาก็ต้องหยุดฝีเท้า เมื่อได้ยินเสียงร้องทักของเมิ่งเยียน
“โอ๊ะ! เดี๋ยวเจ้าค่ะ เหมือนมีอะไรติดหน้าท่านพี่” เมิ่งเยี่ยนรีบเดินขึ้นหน้า หยุดอยู่ตรงหน้าร่างสูง
สวีป๋อหย่าก้มมองนางแล้วขมวดคิ้ว ชายหนุ่มยกมือลูบหน้าตนเอง กระซิบถามเบา ๆ “อะไรติดหน้าข้า?”
เมิงเยียนไม่กล่าวอะไร นางยิ้มอีกแล้ว จากนั้นก็เขย่งปลายเท้าขึ้น แล้วหอมแก้มเขาฟอดหนึ่ง
“คงเป็นความรักข้าที่ติดบนหน้าท่านกระมัง” พูดจบนางก็ก้มหน้าจนคางชิดอก บิดตัวไปมาอย่างเขินอาย บรรยากาศโดยรอบพลันเงียบฉี่เมื่อได้ฟังคำตอบของนาง
หลี่อวี้ที่เดินตามหลังทั้งคู่มาถึงกับอ้าปากหวอ ตื่นตะลึงกับภาพเบื้องหน้า
สวีป๋อหย่าเบิกตากว้าง สีหน้าตกตะลึง ทว่าไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย เขาวางฝ่ามือหนาบนศีรษะนางแล้วตบเบา ๆ สองสามที ยิ้มเจื่อนคราหนึ่ง ก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าไป
เมื่ออยู่ในรถม้า สวีป๋อหย่าก็ถอนหายใจออกมา เขานั่งกอดอก คิดอะไรเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย...
เมื่อเหวินโหรวเห็นภาพนั้น ตัวนางก็แข็งทื่อ ความรู้สึกของนางในตอนนี้ที่สัมผัสได้ชัดเจนคืออยากจะอาเจียนเสียเหลือเกิน
“นางเป็นสตรีเช่นไรกัน! ทำอะไรช่างไม่รู้จะอาย!” เมื่อทั้งคู่พากันเดินออกมาไกลแล้ว เหวินโหรวก่นด่าเมิ่งเยียนให้สาวใช้ตนเองฟัง
ทั้งวันเมิ่งเยียนอยู่แต่ในเรือนไม่โผล่หัวออกไปไหน ขณะที่นอนกลางวันอยู่นั้น หลี่อวี้ก็ได้เข้ามาหานาง เขาบอกว่าให้นางเตรียมตัว ตอนเย็นนายน้อยจะแวะมารับไปจวนสกุลมู่ด้วยกัน ที่จวนสกุลมู่มีการจัดงานเลี้ยงฉลอง เนื่องด้วยสวีเยี่ยนหรง น้องสาวนายน้อยได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง
เมิ่งเยียนรอเขาจนเย็นย่ำ ปรากฏว่าเขาให้นางนั่งรถม้าไปหลี่ฟางเชียน หยวนเปาและเหวินโหรว ส่วนตัวเขาคงไปช้าหน่อย
เดิมทีสวีฮูหยินไม่ต้องการให้เมิ่งเยียนไปร่วมงานเลี้ยงจวนสกุลมู่ นางอายหากคนอื่นรู้ว่าสะใภ้คนรองเป็นแค่บุตรพ่อค้าขายต่ำต้อย หากแต่เหวินโหรวแนะนำว่าควรให้เมิ่งเยียนไป โดยที่บอกกับนางว่า เมิ่งเยียนจะได้รู้จักที่ต่ำที่สูง
หยวนเปาที่เป็นเด็กว่าง่ายและร้องไห้ยาก จู่ ๆ เขาก็ร้องไห้จ้าขึ้นมา หลี่ฟางเชียนก้มมองบุตรชายอย่างแปลกใจ “ลูกแม่เป็นอะไรไป” นางโอบกอดลูกไว้ในอ้อมอกแล้วตบที่ก้นเขาเบา ๆ
“เขาหิวหรือเปล่าพี่เชียนเอ๋อร์” เหวินโหรวที่พึ่งขึ้นรถม้าเป็นคนสุดท้ายเอ่ยถาม นางรำคาญเสียงเด็ก เหวินโหรวแม้ภายนอกดูอ่อนโยนใจดี แต่นางหาใช่คนรักเด็กไม่
“เขาพึ่งกินไปเอง หยวนเปา ลูกเป็นอะไรไป”
“เหม็น ท่านแม่เหม็น” หยวนเปาพูดเสียงสั่น ๆ
เมิ่งเยียนไม่ได้กลิ่นเหม็น แต่เป็นกลิ่นฉุนของเครื่องหอม “หรือหยวนเปาฉุนกลิ่นเครื่องหอม”
หลี่ฟางเชียนและเมิ่งเยียนไม่ได้ใช้เครื่องหอม สายตาสองคู่เหลียวมองไปที่เหวินโหรวทันที เหวินโหรวเองก็เข้าใจได้ในทันทีเช่นกัน
หญิงสาวแอบขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน “เช่นนั้นข้าไปนั่งคันอื่น” พูดจบนางก็สะบัดก้นลงจากรถม้าไป
พอเหวินโหรวลงไป หยวนเปาก็เลิกร้องไห้ทันที จากเด็กขี้แยเมื่อครู่ ก็กลายเป็นเด็กร่าเริงและซุกซนทันที
หลี่ฟางเชียนจ้องหน้าบุตรชายแล้วส่ายหน้า ทุกครั้งที่หยวนเปาอยู่ใกล้เหวินโหรว เขาก็มักจะมีอาการดื้อรั้นเช่นนี้
ไม่นานรถม้าก็มาจอดเทียบหน้าจวนสกุลมู่ สวีเยี่ยนหรงออกมาต้อนรับด้วยตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหน้าพี่สะใภ้รองชัด ๆ แม้ตัวนางจะรู้สึกสงสัยเรื่องการแต่งงานของพี่รอง ว่าทำไมพี่รองของนางถึงลั่นวิวาห์รวดเร็วปานสายฟ้าแล่บเช่นนี้ แต่คิดอีกแง่ก็ดีเหมือนกัน ข่าวลือข้างนอกที่ว่าพี่เขาชอบชายด้วยกันจะได้ซาลง
สวีเยี่ยนหรงยิ้มแย้ม “พี่สะใภ้ทั้งสอง เชิญด้านในเจ้าค่ะ ส่วนหยวนเปา มาหาน้าเลย” นางยื่นมือไปข้างหน้า หยวนเปาที่อยู่ในอ้อมกอดของมารดาก็รีบโผเข้าหาน้าสาวทันที
สวีเยี่ยนหรงนิ่วหน้า กล่าวอย่างหยอกล้อว่า “หยวนเปา เจ้าตัวหนักขึ้นนะ”