15 - ความบังเอิญที่คาดไม่ถึง
ที่บ้านเพลนส์
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
ผมกำลังได้ทำความรู้จักกันอย่างเข้ากันได้ดีจนผมอยากให้เวลาเพิ่มขึ้นจนผมสามารถเข้าใจทุกอย่างได้ดี อยู่ ๆ มีเหตุการณ์บางอย่างทำให้เธอต้องกลับไปอย่างไม่ทันได้ถาม เธอบอกว่าน้องมีเรื่องกับเพื่อนที่โรงเรียน ดีหน่อยที่ผมแลกเบอร์ช่องทางติดต่อแล้ว อย่างน้อยผมรู้จักชื่อของเธอแล้ว ผมขออนุญาตถามด้วยความเป็นห่วงจะได้ไม่ต้องคิดหนัก
“ฉันไม่เป็นไรมากหรอก ถ้าเป็นใบข้าวตอนนี้สงบแล้ว” ฉันออกมาคุยโทรศัพท์กับเพลนส์ให้ห่างจากพวกเขาเพราะกลัวว่าจะมีคนสงสัย เพราะปกติฉันไม่ได้มีเพื่อนผู้ชายมากกว่าสองคนและเป็นคนที่ประทัดรู้จักด้วย
“ผมเข้าใจว่าเด็กสมัยนี้ความคิดและนิสัยเปลี่ยน ลูกค้าที่เข้ามาหาผมก็เด็กทั้งนั้น ผมพอจะมองออกบ้าง” ผมเองอยากทำให้เชอเบลล์สบายใจและผมก็ชวนคุยเปลี่ยนเรื่องให้บรรยากาศดีขึ้น บางทีเรื่องการแกล้งกันมีในทุกสังคมแต่อยู่ที่ว่าวิธีการจัดการปัญหาแต่ละคนใช้วิธีไหน
“คุณสู้มาถึงขนาดนี้แล้วต้องไปให้สุดสิ”
“ค่ะ ปกติฉันไม่เคยเจอเด็กมาก่อน” ฉันบอกกับเพลนส์ไปว่าฉันไม่เคยดูแลเด็กมาก่อน ต่อให้จะโตอายุจะเข้ามัธยมศึกษาแต่ถึงยังไงเขาก็คือเด็ก ทุกวันนี้เขาก็ไม่ให้ใช้ความรุนแรงแล้วด้วย จะตบตีมันยิ่งแย่กว่าเดิม เวลาได้คุยกับใครสักคนมันดีเหมือนกัน
ฉันวางสายกับเพลนส์ไปพักหนึ่ง เข้าไปดูอาการของใบข้าว ฉันพบว่าประทัดกำลังทำอะไรที่ดูไม่เหมาะสม กระชากสายคอมพิวเตอร์ม้วนเก็บเป็นระเบียบซึ่งมันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ดีเลยแม้แต่น้อย ฉันค่อย ๆ พูดกับเขาจะได้ปรับความเข้าใจกัน
“ประทัด ฉันว่าคุณทำเกินไปนะ” ฉันหยิบสายไฟคอมพิวเตอร์แทบจะกองรวมกันให้ได้แล้ว การที่เขาทำแบบนี้คือการดัดนิสัยที่เห็นผลเร็วแต่ไม่มีประโยชน์ด้วยซ้ำ ฉันเจรจากับเขาดี ๆ ไม่งั้นโวยวายแล้วทะเลาะกันเองส่งผลต่อกันไม่จบไม่สิ้น
“ผมกับน้องถือว่าอยู่มาทั้งชีวิต ผมก็ต้องเข้าใจว่าผมทำแล้วเขารู้สึกยังไง ส่วนคุณก็เข้ามาไม่นานอาจจะยังไม่ชิน”
“ถึงฉันไม่ได้เกิดมาพร้อมกับน้องคุณ แต่ฉันมาเป็นแฟนคุณและอยู่บ้านหลังนี้แล้ว ฉันก็ต้องให้คำแนะนำเหมือนเป็นผู้ปกครองคุณสิ” เชอเบลล์พยายามไกล่เกลี่ยด้วยความใจเย็น ดูแล้วไม่เป็นผลเท่าไหร่เพราะว่าทางฝั่งนั้นอารมณ์ไม่เย็นลงกลับมองเราสองคนมากกว่าเดิม ฉันไม่อยากให้ทำอะไรบ้าบอและไม่เป็นประโยชน์
“ผม...”
“ฉันว่าคุณคิดดี ๆ ไหนจะน้องไหนจะฉันอีก ฉันไม่อยากให้คุณคิดง่ายเหมือนเด็ก แต่แก้ปัญหาไม่เหมือนผู้ใหญ่” ฉันเกลี่ยกล่อมให้ประทัดใจเย็นลงในขณะที่เขาเอามือกุมหน้าผากด้วยความไม่พอใจและคิดว่าสิ่งที่ทำในสายตาเขาถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจในสายตาฉัน ยิ่งทำแบบนี้ใบข้าวจะต่อต้านหนักกว่าเดิม
“งั้นผมขอพักก่อนนะ”
ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ประทัดเข้านอนโดยไม่พาฉันไปพร้อมกัน ฉันมองดูด้วยความงุนงง ยังไม่ทันได้รู้เรื่องเท่าที่ควร เขาก็เข้านอนหันตะแครงนอนไปแล้ว ท่าทางจะเครียดเรื่องน้องในวันนี้ไม่ต่างกับฉัน แม้ฉันจะไม่ได้อยู่กับเขาทั้งชีวิตแต่ก็ต้องมารับรู้พร้อมแก้ปัญหา ฉันขอพักผ่อนก่อนเช่นกันแล้วค่อยมาปรับความเข้าใจวันต่อไป เพราะเรื่องราวในชีวิตไม่สามารถจบได้ในวันเดียว ต้องอยู่ด้วยกันอีกนานไม่รู้เวลาแท้จริง
เช้าวันต่อมา
ผมได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าประตูบ้าน ผมกำลังทำบราวนี่เพื่อที่ผมจะได้ส่งให้ลูกค้าที่สั่งล่วงหน้าไว้ ผมยังไม่ได้เปิดขายอย่างจริงจังหรอกเพราะว่าผมทำร้านขายของเล่น แต่ถ้าร้านขนมผมก็อยากมีความคิดจะเปิดแต่ผมต้องไปปรึกษาและหุ้นกับเพื่อนรักของผมก่อน ผมทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันมันก็ไม่ไหวหรอก
“เดนิช”
ผมเห็นเดนิชมาที่บ้านของผมไม่มีบอกกล่าว เธอเป็นคนที่ชอบมาแบบไม่บอกล่วงหน้าทำให้ผมเตรียมการไม่ทัน แล้วทำให้ผมไม่ได้จัดห้องให้เข้าที่เข้าทางเลย แต่เอาเถอะเธอมาถึงที่แล้วก็ต้องต้อนรับกันสักหน่อย ผมเห็นในมือเธอซื้อขนมมาฝาก เป็นขนมบราวนี่ชาเขียวที่ผมชอบ ไม่รู้ว่าไปรู้ใจผมจากไหนเอามาแบบรู้ใจทันที
“รู้ใจเรามากเลย แกก็รู้นี่ว่าเราทำขนมอยู่แล้ว ไม่เชื่อใจฝีมือเราเหรอ” ผมรับขนมจากมือเดนิช เอ่ยปากแซวเล็กน้อยเพราะปกติผมก็ทำขนมเป็นการทดลองแต่ดูเหมือนไม่เชื่อใจฝีมือผมสักเท่าไหร่ ถึงออกไปซื้อเป็นทางลัดไม่ต้องชิมฝีมือมแล้วหรือไง
“ขอคุยอะไรหน่อยสิ”
เดนิชมีอะไรจะคุยกับผม ผมดูสีหน้าแล้วมันไม่สู้ดีนัก ผมเอะใจแล้วว่าทำไมผมเล่นตลกแต่เธอไม่ขำเลย แสดงว่ากำลังมีเรื่องเครียดจริงจังที่บอกใครไม่ได้ ผมเชิญเธอเข้ามาในบ้านเพื่อรับรู้ปัญหาว่าเธอมีอะไรไม่สบายใจ ผมพาเธอมานั่งห้องนั่งเล่นก่อนจะคุยกันพร้อมรินน้ำเปล่าให้ลงในแก้ว
“หา พะโล้เป็นอะไรนะ”
ผมไม่อยากเชื่อว่าพะโล้จะโดนแกล้งแรงขนาดนี้ เรื่องใหญ่ทำไมไม่ไลน์มาบอกผมก่อน เพราะผมกับเดนิชรู้จักกันมาตั้งนานแต่พอเกิดปัญหากับน้องก็ดิ่งไปถึงโรงเรียนไม่บอกผมก่อน แม้เธอจะเกรงใจและไม่อยากรบกวนเวลางานแต่เรื่องคอขาดบาดตายใครจะนิ่งเฉยได้ ผมว่าผมกับเดนิชเกินเลยคำว่าเกรงใจไม่เห็นต้องปิดบังอะไรผมเลย
“แกไม่ได้รู้จักพะโล้ดีพอกว่าฉันนี่ ฉันเลยไม่อยากรบกวนแก”
“แต่พะโล้ผมก็รู้จักกันมานานแล้วนะ เราว่าเรากับเธอก็เกินเลยคำว่าเกรงใจแล้วนะ มีอะไรก็บอก” ผมเองก็ไม่อยากให้เดนิชจัดการปัญหาคนเดียวต่อให้เราสองคนจะโตและบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ปัญหาไม่ได้ออกแบบให้จัดการคนเดียว ยิ่งเป็นผู้หญิงความยากไม่ต่างกับผู้ชาย ผมไม่อยากให้มาลำบากใจคนเดียว
“แล้วฝ่ายนั้นว่าไง”
“ดูท่าทางเขาจะตามใจมากเลยล่ะ เพลนส์ ถ้าแกจะมีผู้หญิงสักคนอย่าเลือกคนที่ตามใจผัวตามใจเด็กจนไม่ฟังอะไรเลยล่ะ”
“แกมาอารมณ์ไหน ไปมีเรื่องกับพ่อแม่เด็กเขาทำไม แกก็ลดความปากไว อารมณ์ก่อนมีเหตุผลจะได้ไหม” ผมรู้อีกอย่างว่าเดนิชเป็นคนที่อารมณ์ร้อนก่อนใช้เหตุผล ผมก็อยากให้เธอช่วยปรับตัวเองสักหน่อย ไม่แปลกที่โดนผู้ชายหักอกแล้วยังมาเตือนผมอีก แต่ปกติผมก็รับฟังคนอื่นใครเตือนอะไรถ้ามันดีก็ฟัง
“ก็ดูดิ เขาสวยแต่ดูปากจัดมาก”
“แกมีเรื่องเพราะเขามารังแกพะโล้หรืออิจฉาความสวยเขากันแน่”
“แกนี่ เดี๋ยวตบปากตามอายุเลย” ฉันไม่พอใจที่เพลนส์มากล่าวหาว่าฉันไม่สวยเหมือนผู้หญิงคนนั้น ให้ตายสิไม่อยู่ในประเด็นแต่ถามหาผู้หญิงแบบนี้ รอบหน้าจะไม่มาปรึกษาอะไรจากเพื่อนที่สนิทใจกันแล้ว
“บราวนี่ที่ฉันซื้อมาถูกใจไหม”
“อร่อยดิ ถ้ากูบอกว่าอร่อยแต่ในใจไม่อร่อยกูจะโดนตบไหมวะ” ผมถามแบบรู้ชะตากรรมแต่ที่ริงเดนิชเป็นคนซื้อจากร้านประจำของเธอไม่ใช่ทำเอง เพราะฉะนั้นผมสามารถบอกได้เต็มปากว่าอร่อย อย่างน้อยขนมที่เธอซื้อมาทำให้ผมเจรจากับเธอได้สำเร็จ ผมเตือนเลยว่าอย่าไปมีปัญหากับใครมากล่ะ เดี๋ยวเขาส่งคนมาตบถึงบ้าน ผมไปช่วยไม่ได้นะ
“ว่าแต่แกไม่รู้ชื่อพ่อแม่แล้วแกรู้ชื่อเด็กเขาไหมล่ะ กูไม่ได้จะไปเผือกอะไรนะ แต่ไม่อยากให้เขาเห็นว่ามึงพร้อมบวก”
“ชื่อ...”
ฉันจำได้แค่ชื่อของเด็กคนนั้นว่าใบข้าว ฉันบอกไปถึงกับคาดเดานิสัยของเด็กคนนั้นได้เลยว่าได้ใครมา ฉันคิดว่าเขาอาจจะเกิดมาในช่วงพ่อแม่ไม่พร้อมเป็นพ่อคนแม่คน แต่ถึงยังไงฉันก็ไปตัดสินอะไรไม่ได้หรอก ชีวิตใครชีวิตมันแล้วแต่จะเดินต่อไป
ที่ซุปเปอร์มาร์เกต
ผมส่งเดนิชกลับบ้านและเธอไปทำธุระต่อ ผมเองอยากให้เธอช่วยลดความใจร้อนลงบ้างไม่ใช่เอะอะ พร้อมจะบวกกับคนอื่น ทำแบบนี้มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาของปัญญาชนใช้เหตุผลให้มากกว่าอารมณ์ ผมไม่อยากให้ใครมองว่าเป็นพวกตลาดล่าง คนเราอยู่ดี ๆ เกิดใช้อารมณ์รุนแรงอยากให้คนอื่นมองว่าดูไม่ดี มันใช่เหรอ
ผมไม่อยากคิดมากอะไรแล้ว ขอออกไปซื้อของเข้าบ้านที่ซุปเปอร์มาร์เกตก่อนดีกว่า ผมเห็นว่าตู้เย็นผมเริ่มจะร้างแล้ว ถ้าผมไม่เติมเสบียงผมจะมีแรงทำอะไรในชีวิตต่อได้ล่ะ การเป็นพ่อบ้านคนเดียวถือว่าเป็นอะไรที่ท้าทายในชีวิตมาก เอาเป็นว่าถ้าผมมีผู้หญิงมาครองใจผมแล้ว ผมจะได้เบาบางและช่วยกันใช้ชีวิตโดยที่ผมไม่ทำคนเดียว
ผมเดินเข้ามาในซุปเปอร์มาร์เกตใกล้บ้าน ขนาดใหญ่มากมีศูนย์อาหารไปในตัว ผมกะว่าซื้อของเสร็จแล้ว ผมจะไปเติมพลังที่ศูนย์อาหารสักหน่อยจะได้ใช้เวลาในสถานที่เดียวกันไปในตัว ไหน ๆ ผมก็มาแล้วจะได้ไม่เสียเที่ยว ผมเข็นรถเข็นไปที่ชั้นวางของ แถวตรงหน้าผมส่วนใหญ่จะเป็นพวกบะหมี่ เส้นพาสต้าที่ผมชอบ ผมจึงมาแถวนี้ก่อนเป็นอันดับแรก
ปึกก!!
ผมตกใจเมื่อผมกำลังยืนจับรถเข็น ก้มลงวางของที่หยิบจากชั้นวาง ผมรู้สึกเหมือนมีรถเข็นล้อไหลวิ่งมาชนหลังผมเต็มแรง ทำผมบาดเจ็บเล็กน้อยและตกใจจนเผลอทำของหล่นใส่ตะกร้ารถเข็น
“ขอโทษค่ะ คุณเป็นอะไรไหมคะ”
“ผมไม่... อ้าวว”
ผมหันมาถึงกับแปลกใจกว่าเดิมเพราะผมเจอผู้หญิงที่ชื่อเชอเบลล์ด้วยความบังเอิญอีกครั้งหนึ่ง แถมรอบนี้ในกระเป๋าเสื้อของเธอมีเครื่องบินกระดาษแต่คนละสีกับรอบที่แล้ว ผมเห็นแล้วยังแปลกใจเลยว่าเดี๋ยวนี้พกมันไว้ที่กระเป๋าเสื้อเป็นเครื่องรางติดต่อแล้วเหรอ
“คุณเชอเบลล์”
“บังเอิญอีกแล้วนะคะ” ฉันสาบานเลยว่าไม่ได้รู้จักกับเพลนส์มากกว่ารอบก่อนและไม่ได้สะกดรอยตามมา ฉันตั้งใจมาซื้อของเข้าบ้านแต่ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอกันตอนนี้ รอบก่อนเราสองคนก็นั่งคุยแลกช่องทางติดต่อเสร็จสรรพแล้วด้วย
“ว่าแต่คุณเอาเครื่องบินกระดาษมาด้วยเหรอ” ผมเอ่ยปากแซวเมื่อผมเห็นเครื่องบินกระดาษมันเป็นของที่ผมชอบเพราะผมชอบพับมันเพื่อตามหาความรักจากใครสักคน ซึ่งบอกเลยว่าตอนที่เธอฟังยังไม่เชื่อเลยว่าผมจะทำแบบนี้ มันดูเป็นไปไม่ได้เลย การพับของสิ่งนี้จะนำพาความรักมา ผมเชื่อตัวเองไม่ได้ไปอ่านจากโหราศาสตร์ฉบับไหนด้วย
“ค่ะ เห็นว่าคุณชอบ ฉันก็เลยพกมันไว้เผื่อจะเจอคุณที่ไหน”
“ดูมีความเชื่อแปลกใหม่เหมือนผมเลย” ผมว่าผมกับเธอดูมีความเชื่อไปในทางเดียวกันขนาดนี้ อีกหน่อยไปเปิดสำนักโหราศาสตร์ให้เธอเป็นเจ้ามือคอยยทำนายชีวิตจะดีมากเลยล่ะ ผมช่วยเปิดทางทำมาหากินให้แล้วนะ
“ว่าแต่จะมาซื้ออะไรก่อนล่ะครับ”
“ยังไม่รู้เลยค่ะ ปกติถ้าฉันเห็นของที่ชอบนอกเหนือจากที่เขียนมาจะเดินไปก่อนค่ะ”
ผมคิดแล้วว่าเธอคงอยากมีตัวเลือกนอกเหนือก่อน ถ้าให้เปรียบเทียบกับนักแสดงหนังสั้นก็คงจะถามทีมงานที่เป็นตัวประกอบมากกว่าตัวแสดงหลักเพราะเห็นหน้าน้อยมาก ของที่อยากได้ก็เช่นกันบางทีคิดมาแล้วแต่อยากได้ของที่เตะตากว่าเพราะมันอาจจะดูดีก็ได้ ผมพาเชอเบลล์ไปเดินซื้อของด้วยกันจะได้ทำความรู้จักกันต่อ
“ว่าแต่เรื่องวันก่อนราบรื่นไหมครับ”
ผมขออนุญาตเสียมารยาทถามเรื่องส่วนตัวสักหน่อยเพราะก่อนจะออกไปจากผม รีบจนไม่ได้ลาผมคาดว่าเรื่องด่วนจริง ผมก็เลยไม่ได้ถามอะไรมาก วันนี้ผมเห็นว่าทางสะดวกแล้ว ผมจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่าปัญหาจัดการราบรื่นไหม ผมกลัวว่าจะเครียดหนักกว่าเดิม
“นิดหน่อยค่ะ แต่ไปได้ดีแล้ว ถ้าเป็นใบข้าวคงจะยากหน่อย...”
ผมกำลังถามพร้อมรับฟังขณะที่ผมกำลังหยิบกล่องสปาเกตตี้จากชั้นวางเพราะมันเป็นของที่ผมอยากได้ ในขณะที่ผมรับฟังอยู่ ผมจับใจความได้ว่าใบข้าว ถึงกับชะงักไปชั่วครู่ ทำไมมันเหมือนเรื่องที่เดนิชมาถึงบ้านเพื่อคุยกับผมเรื่องนี้ ผมถามย้ำอีกครั้งเพราะผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม