EP14 - น่ารักจนผมสนใจ

2105 คำ
14 - น่ารักจนผมสนใจ หลังจากนั้น “อึกกก ฮือออ...” พะโล้มานั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ผมไม่ชอบเลยที่ต้องมาเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น ยิ่งผมเป็นแบบนี้อยู่แล้วใครก็ไม่เข้าใจ กลายเป็นว่าผมกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาพวกเขาไปแล้ว ใครก็ไม่เข้าใจถึงขั้นมาหัวเราะและคิดว่าเป็นเรื่องขบขันไปแล้ว “พะโล้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ยูไดซ์พี่ของพะโล้รู้สึกแปลกใจมาสักพักหนึ่ง เพราะช่วงที่ผมเดินผ่านโรงอาหารผมเห็นนักเรียนหลายคนมุงดูอะไร ตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องของคนอื่นแต่เปล่าเลยเป็นเรื่องของน้องผมเอง น้องผมมันเป็นคนสติไม่ค่อยเต็ม ถ้าภาษาบ้าน ๆ เรียกว่าเอ๋อแดกแต่ผมไม่อยากใช้คำรุนแรง น้องผมฟังแล้วใจคอไม่ดี ผมยังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมือซ้ายน้องมีรอยบาดจากแก้วพลาสติก “ใครทำอะไรพะโล้...” “ฮึกก...” ผมร้องไห้จนพูดไม่ออกเพราะผมไม่อยากพูดชื่อคนที่ผมไม่ชอบเพราะมันจะเป็นการตอกย้ำให้ผมกลัวจนเกลียดมากกว่าเดิม มันเป็นคนที่ไม่ชอบคนที่ไม่ปกติและมาอยู่ร่วมในสังคมทำไมไม่รู้ ผมผิดเหรอที่เกิดมาไม่เหมือนคนอื่น ถึงผมจะไม่เต็มแต่ติดเพื่อนติดพี่ได้เหมือนกัน “ว่าไงนะ” ผมได้ยินแล้วถึงกับไม่พอใจเพราะว่าคนที่ทำร้ายพะโล้ ใคร ๆ ก็รู้ว่าน้องผมสติไม่ค่อยสมประกอบ ดูเหมือนคนปกติแต่ว่าถ้าลองสังเกตดี ๆ อาการคนพูดไม่ค่อยได้ใจความเวลาหวาดกลัวหรือไม่กล้าแสดงออก อาการจะแสดงชัดเพราะคนแบบพะโล้เก็บอาการได้ดีจนผมดูไม่ออก “เดี๋ยวยูไดซ์” ผมพยายามวิ่งตามไปเพราะผมไม่อยากให้พี่ผมทำอะไรไม่ใช้ความคิดแต่จะเอาอารมณ์ตัวเองเป็นหลัก ผมไม่อยากให้ปัญหาที่เกิดจากผมส่งต่อให้พี่ไปจัดการแล้วเวลาที่พี่ชอบแก้ปัญหาให้ผมมักจะไม่สวยเสมอ ผมต้องรีบตามไปกลัวว่ามันจะเกิดเรื่องใหญ่ เพราะนี่ไม่ใช่การจัดการด้วยการเจรจาดี ๆ แล้วล่ะ ยูไดซ์เดินหาตัวปัญหาที่ทำร้ายน้องของผมอยู่ ผมต้องหาตัวของมันให้เจอจะได้จัดการเอาให้มันเจ็บเท่าที่มันทำกับน้องผม มันเป็นคนหน้านิ่งแต่เวลาร้ายร้ายเงียบกว่าที่คิด เสียงกีต้าร์ดังไปทั่วห้องเรียน ใบข้าวกำลังสนุกกับเสียงเพลง ผมเองจะชอบใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการออกมาเล่นดนตรีผ่อนคลายใจ เวลาผมมีปัญหาไม่สบายใจ ของชิ้นนี้จะทำให้ผมมีความสุข เวลานี้ก็เช่นกัน ผมทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เหลือเวลาพักอีกมากมายขึ้นมาดีดกีต้าร์ เปิดหาคอร์ดเพลงที่อยากเล่น ถือว่าเป็นเวลาพักที่เด็กแบบผมชอบที่สุดเลย “อยากฟังเพลงอะไรล่ะจะได้เล่นให้” “ธรณีกรรแสง” ผมตกใจเพราะเสียงที่ตอบคำถามผมไม่ได้มาจากเพื่อนของผมแต่ดังมาจากด้านหลัง ผมหันไปพบว่าไอ้ยูไดซ์มันตะโกนใส่ผมพร้อมกรรไกรจะหยิบมาตัดสายกีต้าร์ ผมตกใจกระชากออกและมันดันทุรังจะทำให้ได้ “มึงหยุดนะ” มันกระชากกีต้าร์จากมือผมจะเอากรรไกรตัดสายกีต้าร์ให้พังไปข้าง ผมไม่ยอมเพราะนี่มันของหวงของผม ผมทนไม่ไหวผลักยูไดซ์ล้มให้พร้อมกับโต๊ะเก้าอี้ ผมรีบเก็บกีต้าร์และเข้าไปหาเรื่องมันทันที ผมก็อยู่ของผมดี ๆ เรื่องอะไรต้องเข้ามาเรื่องแบบไม่มีเหตุผลด้วย “มึงแกล้งน้องกูทำไม” ผมทนไม่ไหวกระชากคอเสื้อและทำการต่อยมันเพราะว่ามันทำร้ายน้องผมทั้งที่น้องผมไม่ค่อยเต็ม มันยังจะลากไปต่อยและให้กำเคศแก้วพลาสติกความเจ็บเท่าแก้วของจริงเลย ผมไม่ไหวแล้วอยากจะเตะหน้าท้องให้มันจุกไปข้าง ผมขาดสติจนทำร้ายใบข้าว ขนาดเพื่อนผมมาห้ามผมยังไม่หยุดเลย “ไอ้ยูไดซ์พอแล้ว” “มันทำร้ายน้องกูคิดว่ากูจะปล่อยให้มันรอดเหรอ” ผมทนไม่ไหวขาดสติจนถึงขั้นเตะหน้าท้อง มันนอนจุกแต่ยังพยายามใช้แรงมาจัดการผมต่อ คนที่มันเลวฆ่าตายยากเหลือเกิน ผมต้องทำยังไงให้มันสำนึกจะได้ไม่ต้องไประรานคนอื่นแบบนี้ ผมโดนเพื่อนดึงตัวออก ดีที่อยากให้ผมได้สติและไม่เกิดเรื่องวุ่นวายแต่ทว่ามันไม่ทันการแล้ว “อะไรกันน่ะ” ทางด้านเพลนส์ ผมมาที่ร้านกาแฟร้านเดิมที่ผมมากับเพื่อนวันก่อน เพราะผมอยากเจอใครบางคน ผมยังไม่ทันได้ทำความรู้จักมากพอ มีอะไรมาฉุดไว้ทำให้ผมค้างคาต้องมาต่อในวันนี้ ผมนั่งรออยู่ในร้านสักพักเผื่อว่าเธอจะมา ขอให้ความบังเอิญทำให้ผมได้เจอจะได้ไหม ฟริ้ววว ผมตกใจเมื่อมีเครื่องบินกระดาษบินหัวดิ่งลงมาจุ่มแก้วกาแฟร้อนจนส่วนหัวเปียกคราบกาแฟจนกระดาษสีขาวเปลี่ยนสี ผมหยิบขึ้นมาจะว่าไปสิ่งนี้มันคือเครื่องบินกระดาษของผม ผมจำได้ว่าก่อนผมจะโยนออกไปผมเขียนชื่อไว้จะได้รู้ว่าเจ้าของคือผม แล้วมันลอยมาได้ยังไง ผมหันไปไม่พบว่าใครเป็นสาเหตุที่แท้จริง “สวัสดีค่ะ” ผมหันไปตรงหน้าถึงกับสะดุ้งเฮื้อกเพราะก่อนหน้าที่นั่งตรงหน้าผมว่างอยู่ พอหันมาอีกทีมีผู้หญิงคนหนึ่งมานั่งพร้อมทักทาย ทำผมตกใจเพราะนึกว่าผมเจอวิญญาณมาปรากฏตัวตรงหน้า “เห้ยยย” “ขออภัยนะคะพอดีที่นั่งเต็มค่ะ” ผมหันไปพบว่าวันนี้ลูกค้าเยอะจนที่นั่งเต็ม พนักงานจึงขอให้ใช้พื้นที่จากแขกที่เข้ามาใช้บริการคนเดียวจะได้มีพื้นที่ มันก็จริงอย่างที่เธอพูดจะว่าไปผมเจอผู้หญิงคนนี้ในเวลาที่ผมอยากเจอ มันดูบังเอิญมากเลยว่าไหม “ครับ ว่าแต่เครื่องบินกระดาษนี้ทำไมมาอยู่ที่คุณล่ะ” “ไม่รู้สิคะ มันลอยมาดิ่งลงกระเป๋าเสื้อฉัน แล้ววันก่อนฉันได้ยินเพื่อนคุณเรียกชื่อคุณก็พอจะรู้ว่าคุณชื่ออะไร จริงสิลืมไป ฉันแนะนำตัวไปเลยนี่นา” ฉันกลายเป็นคนความจำสั้นไปได้ยังไง ฉันแนะนำตัวพร้อมกับเขาไปแล้ว และอีกอย่างเครื่องบินกระดาษลำนี้ก็น่าจะเป็นของเขาเพราะชื่อเขียนอยู่ชัดเจน “คุณชอบพับเครื่องบินกระดาษเหรอคะ” “ครับ ถ้าผมพูดไปจะเชื่อไหม ผมพับจนกระดาษหมดไปครึ่งโลกเพราะมันเป็นเครื่องรางเผื่อว่ามันจะนำพาความรักผมเจอกับคนที่ใช่” “จริงเหรอคะ” ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ชายคนนี้จะมีความเชื่อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน การพับเครื่องบินกระดาษจะช่วยตามหารักแท้กับผู้หญิงคนหนึ่ง ฟังดูแล้วมันงมงายไปหน่อยเพราะฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่คงจะเป็นความเชื่อสำหรับเขา เอาเป็นว่าฉันยังพอมีวิจารณญาณอยู่ “คุณดูไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ผมเชื่อตัวเองครับ” แม้ว่าเธออาจจะไม่เชื่อแต่ผมจะทำให้เธอเชื่อมันก็ไม่ใช่เรื่องผิด มันก็เหมือนกับพับนกกระดาษนั่นแหละ ผมจะทำให้มันโบยบินไปให้ไกลที่สุดต่อให้มันจะไม่เหมือนเครื่องบินของจริง ผมพับให้ดูแล้วโยนให้มันลอยไปมา “พับมานานหรือยังคะ หรือทั้งชีวิตแล้ว” “ประมาณนั้นครับ” ผมพูดพร้อมหัวเราะไปด้วย ระหว่างนี้ผมจะได้ทำความรู้จักกับเชอเบลล์มากขึ้นเพราะเห็นว่าคุยสนุกกับผมเช่นกัน ระหว่างคุยไปผมก็เห็นว่าเธอมีความชอบเหมือนกับผมหลายเรื่องเลย ในขณะที่ผมกำลังคุยเพลินจนเกือบลืมเวลา เสียงโทรศัพท์เข้ามารบกวนทำให้หมดอารมณ์เล็กน้อย เธอขอโทษผมและขอรับสายสักครู่อาจจะเป็นธุระด่วน ผมก็ไม่ได้ขัดใจอะไร “เอ่อ... เพลนส์คะ ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” “อ้าวว” ผมไม่ทันได้ถามอะไร เชอเบลล์ขอตัวออกไปทำธุระต่อ ดูจากความเร่งรีบและด่วนดูจะเป็นเรื่องไม่ดีสักเท่าไหร่ น่าเสียดายยังไม่ได้ถามเลยว่ามีเจ้าของหรือยัง จะได้วัดดวงกันไปข้างมันน่าเสียดายเหมือนกัน เวลาเจอกันทีไรมีเรื่องให้คาดกันทุกทีเลย เวลาต่อมา เชอเบลล์และประทัดมาที่โรงเรียนในเวลาเลิกเรียนเพื่อมารับนักเรียนตามปกติ เราสองคนรีบมาก่อนเวลาเล็กน้อยพอรู้ว่าเกิดเรื่องไม่ดี รีบเดินทางมาโรงเรียนอย่างรวดเร็วเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากฝีมือของใบข้าว แล้วดูท่าทางผู้ปกครองฝั่งสองพี่น้องจะเอาเรื่องให้ได้ ฉันรีบมาที่ห้องปกครองมาดูเหตุการณ์ให้เห็นไปเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ “ใบข้าว” ประทัดเห็นใบข้าวน้องของตนเองนั่งหันหลังแม้จะได้ยินเสียงเรียกจากผมแล้ว แต่เขาไม่ยอมหันมา ทำเป็นหูทวนลม ผมไม่ชอบเลยเวลาที่น้องแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินพอโกรธก็ทำอะไรที่ใครเห็นก็ไม่ชอบเช่นกัน เหมือนกับที่ทำตอนนี้ ผมเรียกให้หันมาเขาก็ไม่หัน “นี่มันหมายความว่ายังไงคะครูคิวบิก ทุกคนก็รู้นะคะว่าพะโล้เขาไม่ปกติแต่ทำไมถึงยังมีการแกล้งกันได้” เดนิชทราบเรื่องถึงกับรีบมาที่โรงเรียน ด้วยความที่ฉันเป็นคนที่ถือได้ว่าอารมณ์ร้อนเมื่อมีใครมารังแกน้องของฉัน ฉันจะไม่ทราบเรื่องมันก็ไม่ใช่ไหม น้องของฉัน ฉันรู้ดีว่าเขาเป็นคนยังไง “คุณคะ ดิฉันว่าเรื่องนี้คนที่เป็นปัญหาคือเด็กนะคะ ถ้าปัญหารองก็พวกเรา ดิฉันว่าจัดการเรื่องเด็กกันก่อนนะคะ” “ดิฉันว่าที่เด็กเป็นแบบนี้เป็นเพราะคุณหรือเปล่าคะ” ฉันไม่พอใจที่เด็กของเขามาทำแบบนี้กับน้องของฉัน ใครก็รู้ว่าพะโล้มีปัญหาบางอย่างแต่ยังคิดจะแกล้งแสดงว่าจงใจมาหาเรื่องโดยเฉพาะ รู้ก็แกล้งแสดงว่าไม่ได้ทำเป็นไม่รู้แต่ตั้งใจเลยล่ะ “เดี๋ยวนะคะ คุณจะเปลี่ยนมาหาเรื่องพวกฉันต่อเหรอคะ” “ดูสิ พ่อแม่บังหนุ่มยังสาวทำไมออกลูกไวแบบนี้ ท้องในวัยเรียนงั้นเหรอ” “เดี๋ยวก่อนสิ คุณไม่รู้อะไรอย่าพึ่งตัดสินสิคะ” ฉันไม่ชอบเลยที่ผู้หญิงตรงหน้ามากล่าวหาว่าฉันเป็นพ่อแม่ไม่พร้อมมีลูกทั้งที่ฉันกับเขาไม่ได้แต่งงานหรือเกิดเด็กคนนี้ออกมา ฉันพยายามอธิบายแต่เธอไม่ฟัง อีกอย่างฉันกับประทัดเป็นแฟนกัน แต่ไม่ได้เกิดเด็กคนนี้ออกมา “แล้วเด็กคนนี้อยู่กับคุณไหมล่ะ จะมาทำเป็นไม่รู้เรื่องได้ยังไง สวยแต่โง่มันเป็นแบบนี้เหรอ” “มันจะมากเกินไปแล้วนะ” ใบข้าวเห็นผู้ปกครองมาทะเลาะกันเองแล้วบอกเลยว่าผมเหมือนกำลังถูกลอยแพ แม้ว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาแต่ใช้ปัญหากันหนักกว่าเดิม ผมมองดูพวกเขาทะเลาะกันมันน่าสนุกดี ก่อนจะหันไปมองยูไดซ์ที่มองตรงประตูกระจกไม้พร้อมส่งสายตาจิกกัดด้วยความสะใจ เห็นแล้วหรือยังว่าไม่มีใครแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ “คุณครับ ผมว่าหยุดกันก่อน” ครูคิวบิกถึงกับบอกให้ทุกคนหยุดทะเลาะกันเพราะดูท่าทางผู้ปกครองจะมาสร้างปัญหาต่อจากเด็กกันเองแล้ว ถ้ามันไม่หยุดทะเลาะกันผมว่าเด็กจะเริ่มมีพฤติกรรมเลียนแบบแค่เห็นผู้ใหญ่เป็นแบบที่ถูกต้องก็ถือว่าถูกแล้วเหรอ “นี่พี่เดนิชเขามาช่วยทำให้มันแย่ลงกว่าเดิมเหรอ” “พะโล้...”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม