EP16 - ผมว่าผมแยกแยะได้

2624 คำ
16 - ผมว่าผมแยกแยะได้ “อะไรนะครับ” “ที่บ้านฉันมีน้องชื่อใบข้าวค่ะ” ผมกำลังหยิบกล่องสปาเกตตี้บนชั้นวางพร้อมกับถามเรื่องในครอบครัว ผมขอเสียมารยาทถามสักหน่อยเพราะเห็นสีหน้าไม่สบายใจส่งต่อจากเมื่อวาน แสดงว่าเรื่องยังค้างคาและมีปัญหาทุกวัน ถ้าเป็นแบบนี้จะส่งผลระยะยาว คนเรานอนหลับไปปัญหาต้องทิ้งไว้เป็นอดีตของเมื่อวานไม่ต้องเก็บไปคิด แต่ไม่รู้ทำไมเวลาคนเราโกรธต้องเอาอดีตมาเช็กบิลกับปัจจุบันด้วย “ใบข้าวเหรอ” “คุณรู้จักน้องเขาด้วยเหรอคะ” ฉันเองยังแปลกใจเลยว่าเพลนส์ได้ยินของใบข้าวแล้วไปรู้จักได้จากไหน หรือว่าเพลนส์จะรู้จักกับเด็กคนนี้ แต่มันก็อาจจะเป็นไปได้ถ้าเขาบอกว่าลูกค้าส่วนใหญ่ในร้านเขาเป็นเด็กส่วนมาก อาจจะไม่เกี่ยวข้องกันก็ได้ “พอดีผมคุ้นชื่อตอนที่น้องก้านไม้ชอบมาปรึกษาผมกับเพื่อนผมน่ะครับ เขาบอกว่าชอบเล่นเกมเหมือนกัน” ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าใบข้าวจะรู้จักกับเพื่อนร่วมห้องหลายคนถึงขั้นมาเป็นลูกค้าของเขา ฉันว่ามันดูเป็นความบังเอิญที่ดูแปลกมาก ไม่คิดว่าคนรอบข้างฉันจะรู้จักกันแม้จะไม่นานแต่ก็เห็นหน้ากัน “ถ้าอย่างนั้นผมขอคุยหน่อยนะครับ” ผมว่าเรื่องความบังเอิญของใครหลายคนมันดูเชื่อมโยงกันไปได้สวย คนหนึ่งกับอีกคนหนึ่งรู้จักและเริ่มรู้จักกัน ผมว่ามันบังเอิญเกินไปแล้วถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องที่พะโล้กำลังมีปัญหาแสดงว่าเธอก็อยู่ในเรื่องนี้ ผมก็เลยขอคุยเป็นการส่วนตัวจะได้ทำความเข้าใจแล้วถ้ายังรู้จักเดนิชด้วย ผมว่าเรื่องความบังเอิญคงต้องเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วล่ะ เวลาต่อมา “จริงเหรอคะ” ฉันไม่คาดคิดว่าจะเป็นความบังเอิญเพราะเพลนส์รู้จักกับผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างดีแล้วอีกอย่างเธอเป็นผู้ปกครองของสองพี่น้องคนนั้น ตัวพี่ถือเป็นปกติแต่ตัวน้องดูสติไม่สมประกอบทำให้จะโดนแกล้งจากคนในโรงเรียนบ่อยมาก แต่ถ้ามีปัญหาสุดก็คือใบข้าวเท่านั้น ฉันต้องขอโทษเพราะเพลนส์กับผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เด็ก “ผมต้องขอโทษแทนเดนิชด้วยนะ เธอเป็นคนอารมณ์ไปก่อนเหตุผล แล้วอีกอย่างรักพะโล้กับยูไดซ์มากเพราะเขาเป็นพี่น้องกัน” ผมไม่คิดเลยว่าเดนิชจะไปมีเรื่องกับเชอเบลล์ แล้วเด็กคนนั้นก็เป็นคนในครอบครัวของเธอด้วย ผมเอะใจมาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้วว่าคนในครอบครัวมันหมายความว่ายังไง “เขาเป็นน้องของเพื่อนฉันอีกทีค่ะ” “มิน่าล่ะ...” ผมเข้าใจแล้วว่าใบข้าวเป็นน้องของเพื่อนเชอเบลล์อีกที ผมเองก็สบายใจหน่อยเพราะหน้าตาของเธอกับน้องไม่เหมือนกันเลย แต่ผมว่าสิ่งที่เธอเล่ามาทำไมพฤติกรรมของใบข้าวมันรุนแรงเหมือนว่าถูกปลูกฝังมาอีกสังคมหนึ่งก่อนจะมาเจอเชอเบลล์ “ดูท่าทางเด็กคนนี้จะร้ายใช้ได้เลย” “เขาคงไม่ถูกใจฉันมั้งคะ” ฉันไม่อยากพูดอะไรมาก มันก็เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาของคนแปลกหน้าที่เข้าไปอีกครอบครัวหนึ่ง จะไม่ชอบหน้าหรือทำตัวไม่ดีกับฉันก็ถือว่าปกติกับบางคนเพราะว่าเขาไม่ได้รู้จักฉันดีพอกว่าคนที่อยู่ในครอบครัวมาทั้งชีวิต เอาเป็นว่าใช้เวลาต่อไปปรับตัวก็อาจจะดีขึ้น “เขาอาจจะมองคุณเป็นคนนอก แต่ถ้าคุณเข้าไปแล้วก็น่าจะเข้าใจ” ผมเองก็เห็นว่าเรื่องแบบนี้ใครเจอก็อาจจะไม่เข้าใจ ถ้าเกิดวันหนึ่งมีคนนอกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว เอาเป็นว่าถ้าเข้าใจกันเขาอาจจะปรับตัวและเข้าหากันได้ง่ายขึ้น ผมไม่อยากเธอคิดว่าเป็นคนนอกในสายตาคนอื่นเพราะมันไม่ใช่เหตุผลที่ควรจะต่อต้านถ้าไม่มีเหตุผลที่ดี “ยังไงคุณไปปรับความเข้าใจน้องคุณอีกทีนะ ผมก็เป็นคนนอกเหมือนกันแต่คณเป็นคนนอกที่รู้จักเขาในระดับหนึ่ง คุณพูดก็ดูเชื่อถือกว่านะ” ผมแนะนำให้เชอเบลล์ได้แค่นี้เพราะผมไม่ใช่คนในครอบครัวเขาจะไปแนะนำมากจะหาผมไปสอดรู้เรื่องชาวบ้าน “ค่ะ” “ว่าแต่ผมอยากรู้ว่าคุณโสดไหม” “เอ่อ...” ผมแกล้งถามวัดใจในขณะที่ผมอยู่ในเรื่องจริงจังอยู่ ผมอยากรู้คำตอบไปเลยว่าเชอเบลล์โสดหรือว่ามีเจ้าของแล้ว เธอไม่กล้าตอบออกมาเหมือนมีอะไรมาถ่วงปากไม่ให้พูดออกมา ผมไม่ได้อยากกดดันหรอก บางทีคำถามนี้ดูหนักใจผู้หญิงเวลาตอบ เอาเป็นว่าผมไม่อยากรู้แล้วดีกว่า เธออาจจะโสดแต่ไม่กล้าบอกว่าโสดเพราะไม่มีใครต้องการ “ผมไม่ถามละดีกว่า ไว้คุณรู้หัวใจตัวเองค่อยตอบนะครับ” เธอตอบรับด้วยคำลงท้ายสั้น ๆ ของผู้หญิง ผมเองไม่รู้ว่ากล้าถามไปได้ยังไง แต่ถ้าผมไม่ถามจะไปรู้ได้ยังไงว่าเธอโสดหรือยังไม่มีเจ้าของ ถึงผมจะอยากรู้แต่ถ้าเธอไม่เต็มใจจะบอก ผมไม่ถามแล้วดีกว่ากลัวถามกับอากาศแล้วไม่ได้อะไรกลับมา ที่บ้านประทัด “ใบข้าวล่ะ” ฉันเดินขนของเข้าบ้านมาหลังจากจอดรถยนต์ในโรงจอดรถแล้ว ฉันเดินเข้าบ้านมาพบว่าประทัดนอนอยู่ตรงโซฟาเปิดโทรทัศน์ LED เชื่อมกับโทรศัพท์ดูรายการโปรดที่เขาชอบเป็นรายการกีฬาของผู้ชายโดยเฉพาะ ฉันเห็นก็ไม่ได้อยากรบกวนอะไรมาก แต่ว่าสิ่งที่แปลกตาคือใบข้าวหายไปไหนทุกทีกลับมาจะต้องเจอตลอด “ออกไปข้างนอก” “คุณไปดุด่าอะไรใบข้าวอีกหรือเปล่า ออกไปไหนแล้วทำไมคุณไม่รู้” ฉันว่าช่วงที่ฉันออกไป ประทัดอาจจะทะเลาะกับใบข้าวน้องของตนเองเพราะฉันเดินเข้าไปในห้องครัวเห็นของในตู้เย็นรื้อออกมาตกพื้นจนมันเสียหายไปหลายอย่างไหนจะห่อช็อกโกแลตและเศษลูกอมที่โยนแตกกระจายทำพื้นสกปรกไปหมด ฉันไม่ค่อยชอบเลยเวลาเห็นอะไรรกตาจนสกปรกไปหมด “ทำไมพื้นมันสกปรกแบบนี้” ฉันเห็นแล้วไม่ค่อยชอบเลยเพราะถ้าพื้นในห้องมันสกปรกมากไป ฉันรีบเก็บกวาดก่อนจะทำให้ฉันไม่สบายใจ กลับมาทั้งทีมาทะเลาะกันมันทำให้ฉันไม่สบายใจเลย ฉันเข้าห้องครัวไปปั่นกล้วยหอมสมูทตี้มาให้ ยกแก้วมาเสิร์ฟให้ประทัด ในขณะที่เขากำลังดูฟุตบอล ฉันยังไม่ทันถามอะไรต่อเขาเปิดคลิปสอนแต่งหน้าขึ้นจอให้ทันที “อุ้ยย ทำไมรู้ใจเราจังเลย” ฉันเห็นประทัดเปิดคลิปสอนแต่งหน้าซึ่งนี่มันเป็นความชอบของฉันมาก ฉันกำลังเอ่ยปากชมแต่เขากลับเดินออกไปไม่พูดอะไรสักคำ หรือนี่มันหมายความว่าไม่อยากรับรู้ปัญหาแล้วก็เลยให้ฉันมาดูโทรทัศน์ต่อจากเขา เหมือนการโยนปัญหาให้ฉันทำต่ออย่างงั้นเหรอ “เดี๋ยวสิประทัด นายไม่พอใจอะไรมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ ประทัด” ฉันก็เคยบอกไปแล้วว่าห้องนอนมันเป็นของส่วนตัว ต่อให้จะเป็นคนในบ้านก็ไม่สามารถไปยุ่งได้ ถ้าไม่จำเป็นเพราะมันลุกล้ำความเป็นส่วนตัว ฉันเองก็บอกเขาแล้วแต่ตอนนี้เขากลับเดินไปจะไปเปิดประตูห้องนอนใบข้าวให้ได้ “ประทัดด...” ทางด้านใบข้าว ผมออกจากบ้านมาพักหนึ่งแล้ว รู้สึกไม่พอใจกับพี่ชายตนเอง เวลาผมไม่พอใจก็จะออกมาจากบ้านเพราะดูจะไม่ใช่เซฟโซนที่ดีสำหรับผมเลย ยิ่งอยู่เริ่มหนักใจกว่าเดิม ช่วงพักเรียนผมเดินออกมาจากห้องแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพบว่ามีสายเรียกเข้าที่ผมไม่ได้รับเกือบสิบสาย แน่นอนว่าพี่ผมโทรมาต่อว่าแน่นอน คงจะเห็นผมออกลายแล้ว งั้นก็ดีเลยผมจะได้ไม่ต้องเสแสร้ง “มีอะไรเหรอครับ” “นี่มันหมายความว่ายังไง” ผมวิดิโอคอลแล้วหมุนกล้องให้ดูสภาพห้องครัวที่รื้อทุกอย่างจนพัง ไหนจะของส่วนตัวของเชอเบลล์รื้อออกจากตู้เสื้อผ้า ตอนแรกผมคิดว่าผมจะให้อภัยแต่พอเจอแบบนี้ผมยิ่งไม่พอใจหนักกว่าเดิม ข้อต่อรองของใบข้าวเรื่องอะไรผมต้องทำ “ทำไมล่ะครับ ปกติพี่เชอเบลล์ก็มีหน้าที่เก็บกวาดนะครับ งานผู้หญิงก็น่าจะเข้าใจนะครับ” “ยุคสมัยนี้เขาเท่าเทียมทางเพศแล้วนะ เลิกต่อต้านเชอเบลล์สักที มันจะอะไรนักหนาพี่เคยบอกไปแล้วไง” “ผมว่าที่ผู้หญิงเขาไม่เอาพี่ น่าจะมาจากเพศพ่อแบบพี่ไง” ผมฟังแล้วยิ่งไม่อยากซื้อเกมให้ใบข้าวแล้ว เพราะถ้าผมซื้อตามความต้องการของเขาบอกเลยว่าบรรลัยหนักกว่าเดิม ขนาดไม่ได้ซื้อยังอารมณ์รุนแรงแล้วของที่อยากได้มันคือเกมต่อสู้รุนแรง ต่อให้เกมจะไม่มีในบทวิจัยว่าเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ แต่ถ้าเป็นใบข้าวยังไงก็เกิดพฤติกรรมเลียนแบบอยู่ดี “ประทัด ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องนะ” เชอเบลล์พยายามเคาะประตูพอไม่มีการตอบรับยิ่งเอามือทุบและพยายามหมุนลูกบิดก็ไม่เป็นผล ล็อกจากข้างในด้วย ฉันอยากคุยให้รู้เรื่องไม่งั้นจะอารมณ์ค้างส่งต่อทั้งวันจนวันที่ควรจะมีความสุขยิ่งทุกข์กว่าเดิม ปัง ๆ ๆ “ผมว่าถ้าพี่ไม่ทำตามข้อตกลงผม ก็ปล่อยให้พี่เขาทำประตูพังไปแต่เงินทุกบาทพี่เป็นคนจ่ายอยู่แล้ว ผมแค่รับใช้ไม่รับหา จบนะครับ” ผมแค่อยากได้ในสิ่งที่ต้องการก็แค่นั้นแลกกับข้อตกลงผม มันยากตรงไหนแต่ดูแล้วหนักใจทั้งสองฝ่าย “ให้ตายสิไอ้ใบข้าว” ผมไม่มีทางเลือกยอมเปิดประตูให้เชอเบลล์แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมแค่จัดการปัญหากับน้องและไม่ได้จะลงโทษอะไร เอาเป็นว่าผมไม่อยากให้เชอเบลล์รู้อะไรไปมากกว่านี้กลัวจะเครียดหนักกว่าเดิม “ผมขอโทษนะเชอเบลล์” “ทีหลังมีอะไรคุยกันดี ๆ ล่ะ” “ว่าแต่คุณดูไม่เครียดเหมือนทุกครั้งเลยนะ” ผมรู้สึกว่าเชอเบลล์ดูสีหน้าไม่ได้กังวลเหมือนตอนเข้าบ้านมาครั้งแรก ลดระดับความกังวลใจไประดับหนึ่งแต่ไม่ได้หายเป็นปลิดทิ้งมันทำให้ผมแปลกใจกับสิ่งที่เห็น แต่ก็ดีเพราะผมไม่อยากให้เธอต้องจมกับปัญหาไปอีกคน “พอดีเพื่อนฉันให้คำแนะนำมาค่ะ” “ก็ดีแล้ว แต่ผมไม่อยากให้เพื่อนคุณมารู้มากกลัวว่าจากจะให้คำแนะนำกลายเป็นสอดรู้มากกว่าเดิม" “มันไม่เป็นแบบนั้นหรอกค่ะ เพื่อนฉันก็สนิทกันมานานแล้ว...” ความจริงฉันไม่กล้าบอกหรอกว่าคนที่ให้คำแนะนำจะเป็นเพื่อนผู้ชาย ฉันกลัวว่าพูดไปกลัวประทัดจะหาว่าฉันมีคนอื่น เอาเป็นว่าเรื่องนี้ฉันขอไม่พูดดีกว่ากลัวฉันจะลากเพลนส์เข้ามาในเรื่องที่ไม่ควรรู้ข ทางด้านเพลนส์ “เป็นไงบ้างวะ จีบผู้หญิงคนนั้นเป็นไง” ม่อนและนอตนั่งอยู่ที่บ้านของม่อน ผมวิดิโอคอลหาเพลนส์พบว่ามันกำลังพับเครื่องบินกระดาษอยู่ในห้อง ผมเห็นแอบรำคาญเหมือนกันเพราะว่าของแบบนี้ ผมกับม่อนเห็นจนคิดว่ามันเป็นอวัยวะที่สามสิบสี่ต่อจากโทรศัพท์ ผมไม่รู้ว่ามันจะพับจนกระดาษหมดโลกจนกว่าจะตามหารักแท้เจองั้นเหรอ ฟริ้ววว “มึงก็เล่นอะไรปัญญาอ่อนจังวะ” “มึงอย่ามาดูถูกกูสิครับ กูบอกแล้วถ้ากระดาษยังไม่หมดโลกกูจะพับจนกว่าจะเจอผู้หญิงคนที่ใช่” ผมนั่งพับเครื่องบินกระดาษแล้วทำตัวเหมือนเด็กชอบกระโดดไปมาแม้ว่าอายุผมจะบรรลุนิติภาวะไปแล้ว ใครบ้างเกิดมาเป็นผู้ใหญ่เลยมันก็ไม่ใช่ เพื่อนผมมันชอบแซวว่าผมปัญญาอ่อนไม่พอยังหาว่าบ้านผมไม่มีเครื่องซักผ้าอีก ผมจะมีชุดประจำตัวที่ใครเห็นก็ต้องรู้ว่าเป็นผม ผมใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ขาสั้นสีฟ้าอ่อน ถุงเท้าและรองเท้าผ้าใบสีขาว มันเป็นชุดที่ผมชอบใส่ที่สุด อีกอย่างผมมีความลับที่ไม่เคยบอกใครคือผมชอบสีขาวและชอบเอาถุงเท้าสีขาวเท่านั้นมาดมเวลามีอารมณ์ทางเพศไม่แพ้กางเกงใน “กูกับม่อนมีเพื่อนปัญญาอ่อนจังวะ” “ก็สร้างสีสันได้ดีนะ” ผมเองบอกแล้วว่าผมชักจะสนใจผู้หญิงคนนั้นเข้าให้แล้วล่ะเพราะว่าผมชอบที่ความสวยและแรงดึงดูดออกมาก่อนนิสัยเสมอ ถ้าหน้าตาดีเป็นอันดับแรกแล้วนิสัยใจคอดีเป็นอันดับสอง ผมจะศึกษานารีเป็นระยะยาวสุดท้ายจบหลักสูตรด้วยการเป็นคู่รัก “กูล่ะชอบเวลามึงจริงจังกับความรักมากเลย ไอ้ม่อนมึงพนันกันไหมว่าผู้หญิงคนนั้นมีเจ้าของแล้ว” “เอาด้วย” “เห้ย ๆ อย่ามาพูดเป็นลางนะเว้ย” ผมหงุดหงิดเพราะมันกำลังจะขัดลาภขัดดวงชะตาผมไม่ให้ผมมีเจ้าของกับผู้หญิงคนไหน พอผมเจอก็จะพนันว่ามีแฟนแล้ว ผมไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นแน่นอน ผมจะภาวนาและยืนยันว่าเขายังโสด ผมจะได้มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ ถ้าผมทะลุจอไปได้จะโยนเครื่องบินกระดาษไปแบ่งบุญมันบ้าง “แปปนึงนะ” ผมเห็นโซดาทักแชทมาในขณะที่ผมวิดิโอคอลอยู่ ไอ้เพื่อนตัวดีมันก็ล้อผมแล้วว่ามีผู้หญิงทักมา ผู้หญิงที่ไหนเขาจะอยากทักมาหาผมเวลากลางดึกนอกจากจะแอบผัวมาคุยกับผมเท่านั้น ผมอ่านแชทของโซดาพบว่าก้านไม้อยากได้ของเล่นสักชิ้น อยากให้ลดราคา นี่มันเอาน้องมาต่อรองให้ผมลดราคาอีกแล้วเหรอ ถ้าเป็นแบบนี้รอบหน้าผมไม่ขายให้แล้วนะ “เออจริงสิ” ผมทักหาเดนิชเพราะผมอยากพาเธอมาเที่ยวร้านของเล่น ผมก็นัดมาเลยแล้วกัน ดีหน่อยที่ผมจะได้พาเดนิชมาเป็นชาวกรุงเทพมันจะได้ไม่ไปหลุดว่าไม่รู้จักแท็กซี่มิเตอร์ ไม่รู้จักพารากอนลามสับสนพระรามหนึ่งถึงเก้า รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ผมจะได้จัดการเรื่องผู้หญิงตามที่ใจผมต้องการ “มาตามนี้ล่ะเดนิช เจอกันพรุ่งนี้งับ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม