EP1 - เครื่องบินกระดาษเครื่องที่ล้าน
1 - เครื่องบินกระดาษเครื่องที่ล้าน
เครื่องบินเครื่องที่หนึ่ง...
เครื่องบินเครื่องที่สอง...
ปกติมนุษย์เรานั้น หากเกิดอาการนอนไม่หลับ การนับแกะทีละตัวไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะนอนหลับสนิท ถือว่าเป็นผลวิจัยที่มีผลและทำกันมาช้านานตั้งแต่หลายร้อยปี ถ้าไม่ใช่นักวิจัยคงระบุไม่ได้ว่ามนุษย์นอนนับแกะก่อนนอนมาแล้วกี่ปี แต่ที่ทราบตอนนี้คือ มนุษย์คนนี้แทนที่จะนอนนับแกะกลับกลายเป็นว่านอนนับเครื่องบินกระดาษแทน สิ่งที่โบยบินไปมาบนท้องฟ้า จะทำให้นอนหลับสนิทได้จริงหรือ แม้จะแปลกกว่าแต่ได้ผลกับชายผู้นี้เพียงผู้เดียว การนอนนับเครื่องบินกระดาษทำให้นอนหลับสนิทเพราะไม่ว่าจะอยู่ในโลกความฝันหรือชีวิตจริง สิ่งนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาไปแล้ว
ตี๊ด ๆ ๆ
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเพื่อปลุกชายคนหนึ่งให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง แม้ว่าเขาจะอยากอยู่ในโลกแห่งความฝันแค่ไหน เวลาที่ให้มาถือว่ามากพอต่อการพักผ่อนของมนุษย์คนหนึ่งแล้ว หลังจากเสียงนาฬิกาปลุกดังได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ดังต่อเนื่อง เช้าแบบนี้มันไม่น่าจะเป็นเวลาตื่นมารับสารเรื่องราวที่ทำให้หนักอกหนักใจเช่นนี้ ใจอยากจะนอนอยู่ในห้วงนิทราแต่มันก็ทำไม่ได้ มนุษย์เราไม่สามารถนอนต่อเนื่องครบยี่สิบสี่ชั่วโมง หากเป็นเช่นนั้นเกิดเป็นสัตว์ดีกว่าเป็นมนุษย์ผู้แสนประเสิรฐจะดีเสียอีก ไม่ต้องทำอะไรกินนอนเป็นชีวิตจิตใจ หากใครต้องการเช่นนั้นชาติหน้าเกิดมาเป็นสัตว์ขี้เซาจะดีกว่า
“ฮัลโหล”
ผมชื่อ เพลนส์ เป็นผู้ชายที่เปิดร้านขายของเล่นให้กับเหล่าลูกค้าที่เป็นเด็กเล่นไปจนถึงเด็กประถม เพราะความชอบที่ผมชอบเล่นของเล่นทำตัวเหมือนเด็ก ทำให้ผมมีความชอบที่ดูขัดกับวัยและรูปร่างหน้าตา ผมหน้าตาก็ไม่ได้หล่อ หุ่นดีเหมือนดาราในโทรทัศน์ หุ่นหมีไปหน่อย หน้าตาก็บ้าน ๆ ใส่หมวกแก๊ปเหมือนวัยรุ่นทำทรง แม้บุคลิกหน้าตาจะไม่เข้ากันแต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้น้อยใจในโชคชะตา สร้างตัวตนมาแบบไหนผมก็พอใจแม้แต้มความอิจฉาจะยังมีบ้าง
“ยังไม่มาเปิดร้านอีกเหรอ เขามาส่งของแล้วนะ” ผมกำลังงัวเงียยังตื่นไม่เต็มที่ ลืมตาขึ้นมาขณะถือโทรศัพท์พบว่าแสงแรกของวัน สาดส่องจากหน้าต่างห้องนอนชั้นสอง เรียกได้ว่าแสบตาจนอยากหลับต่อ แต่ผมต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ค่อย ๆ มองไปรอบห้องสลับมองหน้าจอโทรศัพท์ดูเวลา เท่านั้นแหละ ผมถึงกับสร่างเมาอาการคล้ายคนรู้ความจริงหลังจากโดนหลอกมา มันไม่ใช่เลย ผมนอนเพลินจนเวลาแปดโมงเช้าแล้ว เวลานี้ผมควรเปิดร้านของเล่นแล้วไม่ใช่ยังอยู่ที่บ้าน ผมบอกเลยว่าทำอะไรไม่ถูกขอกรีดร้องด้วยความตกใจก่อน
“เจ้าของร้านจะมาหลังเพื่อนไม่ได้นะเว้ย” ผมเห็นว่าเพื่อนของผมมันเดินไปรอที่ประตูหน้าร้านพร้อมกับกล่องพัสดุที่ผมสั่งไว้ ภายในกล่องมีของเล่นเยอะมากที่ผมจะเอามาลงขายที่ร้าน ป่านนี้มันคงรอจะเข้าร้านให้ได้แล้ว เพราะวันนี้ผมลืมให้กุญแจร้านกับมัน ทำให้มันเข้าไม่ได้ โทรตามผมเป็นชุดใหญ่ว่าให้เจ้าของร้านแบบผมไปเปืด ผมถึงกับไปอาบน้ำทำธุระส่วนตัวจะได้ไปที่ร้านของผมอย่างรวดเร็ว
“รอก่อนนะมึง”
ผมเองจะเป็นคนที่เรียกได้ว่าถ้าผมชอบอะไรจะตื่นตัวเสมอ แต่รอบนี้ผมพลาดเอง นวัตกรรมที่เรียกว่านาฬิกาปลุกบางทีมันไม่ยอมปลุกผมทั้งที่ตั้งเวลาแล้ว มันคงอยากลงโทษผมที่ผมชอบกดปิดแล้วนอนต่อ ผมรีบทำธุระส่วนตัวแล้วตรงดิ่งไปร้านของเล่นที่ผมเปิดไว้ให้ลูกค้าทุกคนเข้ามา
ที่ร้านของเล่น
ผมเห็นเพื่อนรักอย่างม่อน เพื่อนหุ่นหมีตัวคล้ำหน้าเห่ย ๆ ใส่แว่นและนอตหล่อหน้าโจร แม้หน้าตาจะติดลบแต่ได้คบเป็นเพื่อนแล้วติดใจ มันเป็นเพื่อนรักที่ดีที่สุด เวลาผมเปิดร้านมันก็มาช่วยผมจัดของ ดูแลลูกค้า เวลาว่างก็ชอบถ่ายรูปกับของเล่น ลงติ๊กต็อกหรือร้ายสุดมันอู้งาน ถ่ายทุกมุมจนนึกว่ามันเป็นเจ้าของร้านเสียเอง
“หุ่นยนต์สีแดงเท่มากเลย”
ม่อนเห็นหุ่นยนต์สีแดงที่วางในชั้นวางฝั่งกลางร้านแล้ว มันทำให้ผมตื่นเต้นราวกับย้อนวัยมาเป็นเด็กอีกครั้ง ผมดีใจกระโดดเต้นทำตัวน่ารักเหมือนเดิม เข้าร้านของเล่นไม่ทำตัวเป็นเด็กจะให้ทำตัวเป็นอะไร
“อยากได้รอไม่มีลูกค้าจองก่อนแล้วกัน ชั้นนี้เด็กอยากได้ ตรงนั้นก็ด้วยตรงนี้ด้วย” ผมผายมือและชี้ไปตามชั้นวางของร้าน ของเล่นส่วนใหญ่ก็มีลูกค้ามาจองไว้รอมาซื้อ ถึงจะเอาหรือไม่ก็ถือว่าสำรองไว้ก่อน ผมถือว่าผมเป็นพ่อค้าที่มีคุณธรรมพอตัว พอจะเข้ากับเด็กได้เป็นอย่างดีเพราะผมเปิดร้านของเล่นก็ต้องเข้าใจกลุ่มลูกค้าวัยนี้ ผมยังคิดนะว่าถ้าไปเปิดใกล้โรงเรียนประถมอาจจะได้ลูกค้าเต็มร้านจนขายไม่ทันก็ได้ เด็กมีสิ่งที่ชอบเป็นหลัก ๆ เลยก็คือขนม เกมและของเล่น ปัจจัยหลักที่ไม่ได้เหมือนผู้ใหญ่ มีสุรา มอมเมาและโทรศัพท์มาอยู่ในปัจจัยหลัก
“ม่อน เดี๋ยวเอาของในกล่องไปติดบนเพดานด้วย”
“ไอ้เครื่องบินกระดาษเนี่ยนะ”
ผมกวักมือให้นอตมาดูของในกล่องพบว่าในกล่องมีเครื่องบินกระดาษหลายร้อยเครื่องพับด้วยกระดาษแข็งหลากสี ผมรู้ดีว่าของสิ่งนี้เพลนส์ชอบมากเพราะเวลามันว่าง ชอบพับจนกระดาษในร้านจะหมดไม่ได้เอาไปเขียนหรือพิมพ์เอกสาร เอาไปพับเครื่องบินกระดาษฆ่าเวลาเล่น ผมกับนอตคิดอะไรดี ๆ ก่อนจะเอาประดับเพดานห้อยด้วยเชือก ผมขอเอาไปโยนแข่งกันว่าใครพาเครื่องบินบินไปไกลที่สุด
ฟริ้ววว
ม่อนโยนเครื่องบินกระดาษเล็งระยะทางให้ไปข้างหน้า บวกกับดูทิศทางลม เมื่อโยนออกไปมันลอยไปตกบนชั้นวางของ ผมต้องปีนไปเก็บแล้วโยนแข่งกับนอต ทำให้เครื่องบินหลายลำบินชนกันจนเครื่องแทบระเบิดกลางอากาศ หาเรดาห์เครื่องบินแต่ละลำไม่ได้แล้ว เพราะความสนุกย้อนวัยของเราสองคนทำให้ลืมเอาพวกมันไปติดห้อยเป็นโมบายบนร้าน
“กูไม่ได้ให้เอาไปเล่นสร้างทรัพยการขยะในร้านนะ” ผมถึงกับบอกให้มันหยุดเอาเครื่องบินไปโยนเล่นให้ลอยไปมาชนกันกลางอากาศ ผมสั่งให้เอาไปตกแต่งร้านไม่ใช่ให้เอาไปเล่น เท่ากับว่าบนเพดานมีแต่เชือก ตัวเครื่องบินมันเอาไปปาเล่นหมด ผมสั่งให้มันเก็บใส่กล่องก่อนจะได้เป็นระเบียบ อย่าให้ผมถึงขั้นต้องนับแล้วกันว่าที่ผมพับไปมีกี่ลำ
“ถามจริงนะเพลนส์ มึงพับเครื่องบินกระดาษทำไมตั้งเยอะ แบ่งไปให้พวกกูเล่นบ้างไม่ใช่เอาไปแต่งร้านหมดแบบนี้ ใครมาเห็นเขาจะคิดว่าร้านนี้ขายเครื่องบินแทนที่จะขายของเล่นแล้ว”
นอตถามผมด้วยความสงสัยแม้ในใจมันอยากจะเอาไปเล่นกับม่อนย้อนวัยตามประสาคนเป็นเด็กมาก่อน ความจริงผมมีเหตุผลที่ตอบเพื่อนรักได้ การที่ผมชอบพับเครื่องบินกระดาษ เพราะถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถลอยไปไกลได้แต่อย่างน้อยผมเชื่อว่าถ้าผมประคับประคองโยนและเก็บไปเรื่อย ๆ เดินไปตามทางให้เครื่องบินลอยตกวนลูปไป ผมอาจจะเจอรักแท้ในชีวิตนี้ก็ได้ ผมเชื่อว่าในชาตินี้ยังมีความรักรออยู่เสมอ ผมก็เลยพับเครื่องบินกระดาษไปจนกว่าผมจะพบรักแท้กับผู้หญิงสักคน
“เชี่ย... โรแมนติกจังวะ”
“กูว่ามึงพับให้ตายกี่ล้านลำมึงก็ไม่มีแฟนอยู่ดี พับไปเปลืองทรัพยากรโลกหมด ยิ่งกระดาษหายากด้วย” ไอ้นอตมันชอบขัดขาผมเสมอ หน้าแบบผมจะหาแฟนไม่ได้หรือไง แค่ความรักยังไม่ส่งคนที่ใช่มาหาผมเท่านั้นเอง ผมบอกพระแม่ลักษมีแล้ว แค่รอรับบัตรคิวก่อน คิวที่เก้าพันเก้าร้อยก้าสิบเก้าก็ไม่นาน แค่ทั้งชีวิตจนต่อไปถึงชาติหน้าเท่านั้นเอง
“เอาเป็นว่ากูยังรอคอยอย่างมีความหวัง กูจะพับเครื่องบินกระดาษไปจนกว่ากระดาษจะหมดโลกหรือจนกว่ากูจะมีความรักกับเขาสักที” ผมเชื่อว่าความพยายามไม่สามารถฆ่าคนให้ตายหรอก ผมจะตามหาความรักต่อไปจนกว่าผมจะหมดลมหายใจไปพร้อมกับการพับของชิ้นนี้ ผมจะพับเครื่องบินกระดาษให้มากที่สุดจนกว่าผมจะพบรักแท้ แม้ใครจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้แต่ผมจะทำให้มันเป็นไปได้
เวลาต่อมา
ระหว่างที่ผมกำลังจัดของอยู่นั้น เสียงกระดิ่งที่แขวนหน้าประตูร้านดังขึ้น ผมเห็นว่ามีลูกค้าเข้ามาแน่นอน ไม่ใช่เพื่อนผมไปเปิดประตูเข้าออกแกล้งผมเล่น ระหว่างที่ผมกำลังจะหันไป เสียงหวาน ๆ ของเด็กคนหนึ่งเข้ามาถามหาของเล่นบางอย่าง ตอนแรกผมก็กำลังจะหันไปแต่พอได้ยินเสียงแล้ว ทำให้ผมชะงักจนทำอะไรไม่ถูก
“พี่เพลนส์”
ผมเห็นเด็กคนหนึ่งตัวผอมบาง ตัวเล็ก ๆ ผมทรงกะลาครอบเส้นผมเงางามราวกับที่บ้านดูแลอย่างดี น่ารักหน้าหวานเกินความเป็นชายแต่น้องเป็นผู้ชายใส่กางเกงขาสั้น ไม่ใช่กระโปรงถือแก้วชานมไข่มุกส่งยิ้มมาให้ผมพร้อมถามหาของเล่นที่อยากได้ เด็กสมัยนี้น่ารักมากทำให้ผมเห็นแล้วอิจฉาว่าทำไมตอนเด็กผมเกิดมาไม่ได้เบ้าหน้าแบบนี้ แล้วคนตรงหน้าเป็นคนที่ผมรู้จักมาพักหนึ่งแล้ว
“น้องก้านไม้”