วันต่อมา...
ฉันเก็บกระเป๋าเตรียมตัวออกเดินทางกลับบ้านพอดีมีวันหยุดสองวันก็เลยอยากกลับบ้านไปหาครอบครัว ฉันมีเรื่องต้องคุยกับพ่อก่อนที่จะออกเดินทางไปทำกิจกรรมค่ายอาสา ฉันยกกระเป๋าใส่บนรถของพี่เขยซึ่งเป็นสามีของพี่สาวฉัน
ที่รักนั่งข้างคนขับส่วนฉันนั่งเบาะหลังกับอินดี้ ฉันนั่งเม้มปากแน่นมองหน้าที่รักที่คุยหยอกล้อกับสามีส่วนอินดี้รายนั้นหลับตั้งแต่ออกรถแล้วล่ะ
สมุดดำมันน่าเชื่อถือหรือเปล่า ฉันก็มีพี่สาวนี่ "เรียนเป็นไงบ้างเราอ่ะ" เสียงพี่ดินพูดขึ้นทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ทันที
"ก็ดีแหละพี่ ผู้ชายเยอะดี " พูดอย่างขำขัน
"ทำไมอยากเรียนวิศวะล่ะ พี่จะถามหลายรอบแล้วแต่ไม่ค่อยได้เจอกันเลย"
"ก็พ่ออยากได้ลูกเขยเรียนวิศวะ เบลก็เลยไปเรียนช่างซะเลย พอจบช่างยนต์เบลก็สอบเข้าเรียนคณะวิศวะ พ่อจะได้เลิกหาลูกเขยวิศวะซักที เอาเป็นลูกสาวเรียนวิศวะไปแทน "
"เบลก็พูดซ่ะเวอร์ พ่อแค่คิดไม่ได้จริงจังเสียหน่อย" ฉันหน้ามุ้ยทันทีเมื่อพี่สาวพูดตัดความเวอร์วังของฉัน
ผ่านไป 2 ชั่วโมง ฉันก็ถึงจุดหมายปลายทางนั่นก็คือบ้านของฉันเอง ฉันก้าวขาลงจากรถพร้อมกับสูดเอาอากาศบริสุทธิ์
"พ่อแม่คิดถึงจังเลย" ฉันวิ่งเข้าไปกอดพ่อแม่ก่อนจะมองหาใครอีกคน
"กอดเสียแน่นเลย เอากระเป๋าไปเก็บได้แล้ว" ฉันพยักหน้าก่อนจะเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้อง "แล้วย่าสุดที่รักของเบลล่ะแม่"
"อ้อ รดน้ำผักอยู่หลังบ้านจ้ะ" ฉันเม้มปากพยักหน้าก่อนจะมองอินดี้ที่นั่งดื้มน้ำอยู่
"แล้วแกจะไม่กลับบ้านหรือไง" ฉันมองท้องฟ้าเหมือนฝนกำลังจะตกบ้านอินดี้อยู่ไม่ไกลจากบ้านฉันสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับใกล้มาก
"เดี๋ยวค่อยกลับก็ได้ พี่จะรีบทำไม"
"ดูดิฝนมันจะตกแล้ว เดี่ยวฉันเดินไปส่ง" ฉันฉุดกระชากลากอินดี้ให้เดินตามทันที
"งั้นผมกลับก่อนนะครับ"
"จ้า กลับดีๆล่ะ" เสียงแม่ดังมาจากข้างหลัง ฉันกับอินดี้เดินไปเรื่อยๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าบ้านของมัน
"ทำไมบ้านเงียบ"
"พ่อกับแม่คงอยู่ที่ไร่ จะเข้าไปในบ้านปะ"
ฉันส่ายหน้า "ไม่ดีกว่า เหมือนฝนจะตกแล้วด้วย"
"อ่า กลับดีๆนะพี่" ฉันเพียงพยักหน้ารับก่อนที่ฉันจะเดินไปตามทางเรื่อยๆ ทว่า จู่ๆ ก็นึกอะไรออก ไม่รอช้าฉันรีบหยิบมือถือต่อสายหาใครคนนั้นทันที
(อืม มีไร) เสียงงัวเงียเหมือนคนกำลังตื่นดังขึ้น
"ฉันจะโทรมาบอกว่า ฉันกลับบ้านต่างจังหวัดนะ"
เสียงเหมือนก้อนหินตกลงพื้น ก่อนที่จะมีกิ้งก่าตัวหนึ่งกตลงมาตรงหน้าฉัน ฉันมองผู้ชายคนหนึ่งวิ่งมาหยิบกิ้งก่าตัวนั้นก่อนที่จะเงยหน้ามองฉัน
"เอ้า ไอ้จุก มาทำไรตรงนี้วะ" ฉันพูดขึ้นทั้งๆที่ยังไม่วางสาย
ไอ้จุกมันเป็นเด็กในสังกัดของฉันเอง ตอนนี้มันอายุน่าจะ 18 ปีแล้วล่ะ แถมเดินตามรอยฉันอีกเรียนช่างเหมือนกัน มันมองหน้าฉันเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่างก่อนจะเผยยิ้มออกมา "เฮ้ยลูกพี่ เป็นไงมาไงผมนึกว่าพี่ลาจากโลกไปแล้วนะเนี่ย"
"เอ้า ไอ้เด็กนี่ พูดจาไม่เป็นมงคล"
(ใคร) เสียงปลายสายดังขึ้นทำให้ฉันชะงักก่อนจะเอาโทรศัพท์แนบหู
"น้องน่ะ"
(หึ รู้สึกเหมือนน้องจะเยอะจังนะ)
"ฉันเป็นคนเฟรนลี่มีคนรู้จักเยอะเป็นธรรมดา งั้นแค่นี้นะ อีกสองวันเจอกัน"
ฉันกดวางสายก่อนจะเดินไปตบไหล่มัน "ฆ่าสัตว์มันบาปนะเว้ย"
"ผมรู้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ทำบุญไปให้มันแล้วกัน วันนี้เอามันไปทำเป็นอาหารก่อน" พูดจบมันก็เดินกลับทันที ปล่อยให้ฉันยืนอยู่คนเดียว พูดอะไรไม่ออก
ฉันแอบย่องไปเคาะประตูห้องผู้ใหญ่ก่อนจะค่อยๆเปิดเข้าไป "ทำตัวเหมือนโจรนะเรา"
ฉันส่งยิ้มแห้งให้พ่อ "เบลขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมคะ" ฉันยื่นสมุดสีดำให้ผู้เป็นพ่อ
"เบลได้มันมาจากไหน" พ่อขมวดคิ้วมองฉันอย่างสงสัย
"จากห้องเก็บหนังสือโบราณค่ะ"
"สมุดเล่มนี้บอกว่าตระกูลเรามีผู้หญิงแค่คนเดียว เบลรู้สึกว่ามันไม่เป็นความจริงสักเท่าไหร่ ไม่งั้นทำไมเบลมีพี่..."
"ที่รักไม่ใช่พี่สาวแท้ๆของเบล ที่รักเป็นเด็กกำพร้า"
ฉันยืนอึ้งไปชั่วขณะ ฉันไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ แต่ถึงที่รักจะเป็นใครฉันก็รัก พี่สาวคนนี้ดีกับฉันมากๆ ให้ฉันได้ทุกอย่าง
"พ่อกับแม่รับที่รักมาจากบ้าเด็กกำพร้าเพื่อมาเป็นลูกบุญธรรมเพราะตระกูลเราไม่มีทายาดที่เป็นผู้หญิง พ่อกับแม่รู้สึกถูกชะตากับที่รัก ที่รักเป็นเด็กดี ไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวังเลยสักครั้ง" ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ทันที
"ที่รักรู้ว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆของพ่อหรือเปล่าคะ" คนตรงหน้าพยักหน้าเบาๆซึ่งทำให้ฉันยิ้มออกมาทันที ถึงที่รักรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้แต่ที่รักก็รักฉันเหมือนน้องสาวแท้ๆ
"คุยอะไรกันอยู่คะ" ฉันหันไปมองที่รักเดินเข้ามาในห้องก่อนจะเดินไปกอดพี่สาวคนสวย
"เบลรักพี่สาวคนนี้จัง"
"ทำไมอ้อนแบบนี้ล่ะ พี่ขึ้นมาตามพ่อกับเบลลงไปทานข้าวจ้ะ"
ฉันยิ้มก่อนจะจูงมือพ่อกับที่รักเดินลงไปข้างล่าง "คุณย่าคนสวย คิดถึงจังเลย"
"สวยตรงไหนแก่จนจะเข้าโลงแล้ว" ฉันทำหน้ามุ้ยก่อนจะก้มหอมแก้มย่าฟอดหนึ่ง
"ดูสิ อ้อนเหมือนเด็กเลย แล้วไม่ชวนพ่อหนุ่มคนนั้นมาด้วยล่ะ" ฉันขมวดคิ้วทันทีเมื่อคนบนโต๊ะอาหารหันมามองหน้าฉันโดยเฉพาะพ่อที่จ้องฉันไม่วางตา
"ไอ้โซ่เหรอ มันติดธุระเลยมาด้วยไม่ได้ค่ะ"
"ไม่ใช่หนูโซ่ พ่อหนุ่มที่ย่าเจอที่โรงพยาบาล ชื่อเจ อะไรสักอย่าง ย่าความจำไม่ค่อยดีเลย" เจ เจได ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่พร้อมกับหัวเราะแห้งๆ
"อ้อ เขาชื่อเจไดค่ะ ไม่ได้สนิทกันอะไรขนาดนั้น" พูดจบฉันก็ยกน้ำขึ้นมาดื่ม
"เอ้ ทำไมพ่อหนุ่มคนนั้นบอกว่าเป็นแฟนเบลละลูก"
ฉันพ้นน้ำก่อนจะสำลักน้ำออกมา "แถมยังส่งคนมาส่งย่าที่บ้านอีก ท่าทางจะเป็นคนมีเงินนะ" เดี๋ยว ไหนไอ้โซ่บอกว่าอินดี้เป็นคนมาส่งย่า ทำไมเป็นลูกน้องนายนั่นแทนล่ะ แล้วฉันไปเป็นแฟนนายนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
"ลูกมีแฟนแล้วเหรอ ทำไมไม่พามาแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักล่ะ" เสียงหวานของแม่ดังขึ้น
"เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมได้หน้ามืดมาชอบลูกสาวแมนๆของผู้ใหญ่บ้านเกรียงไกรได้ " และนี่คือเสียงอันทรงพลังของผู้เป็นพ่อก่อนจะมีเสียงหัวเราะดังออกมา
"พี่ว่าละ ที่สวนสนุกวันนั้นที่พี่เห็นพี่ไม่ได้ตาฝาดจริงๆด้วย แต่แฟนเบลหน้าตาคุ้นๆนะ"
"หยุดค่ะ ไปกันใหญ่แล้ว" ฉันรีบยกมือห้ามปรามทันทีก ก่อนที่จะเข้าใจอะไรผิดไปมากกว่านี้
"เบลยังไม่มีแฟนค่ะ"
"ไม่ต้องมาโหกแม่เลยนะ เอาเป็นว่าเราหยุดพูดเรื่องนี้แล้วก็มาช่วยแม่ล้างจานดีกว่า" What!!!!!!!
"แต่เบลยังไม่มีแฟน...."
"มาเร็วๆ แม่จะได้ดูละครหลังข่าว" สุดท้ายฉันจำใจต้องเดินเก็บจานไปล้าง
22:00 น.
หลังจากที่ผมอ่าบน้ำเสร็จก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นก่อนจะกดเข้าไลน์หาใครบางคน
เจได : ......
ยัยเพี้ยน : อะไรของนาย ว่างมากเหรอ
จู่ๆ ผมก็เผยยิ้มออกมา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อยัยเพี้ยนวิดีโอคอลมา ผมเม้มปากแน่นกดรับสายทันที ภาพจากหน้าจอทำให้ผมเห็นหน้ายัยเพี้ยนในระยะใกล้
"มีอะไรก็ว่ามา" ผมขมวดคิ้วมองปากยัยเพี้ยนที่กำลังเคี้ยวขนมอยู่
"ฉันกดส่งผิด"
"ว่าไงนะ งั้นฉันวาง"
"เดี๋ยว" เมเบลเงยหน้าจากขนมมองกล้องพร้อมกับขมวดคิ้ว
"ฉันจะอ่านหนังสือสอบ ห้ามวาง"
"แล้วนายจะมีสมาธิอ่านหนังสือเหรอ ฉันว่าฉันวางสายดีกว่า"
"ฉันพูดคำไหนคำนั้น ถ้าเธอวางเจอดีแน่"
"ได้ ฉันมีเรื่องจะถามนายพอดีเลย" อะไรกัน "ตอนที่ฉันอยู่โรงพยาบาล นายเจอย่าฉันใช่ไหม"
ผมพยักหน้าตอบ
"นายพูดอะไรกับย่าฉันบ้าง"
"เปล่านี่ ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ก็แค่คุยเรื่องค่ารักษา" พูดจบผมก็ยกมาแฟขึ้นมาดื่ม
"แน่ใจนะ ทำไมนายถึงบอกว่านายเป็นแฟนฉัน"
แค่กๆ ผมรีบวางโทรศัพท์ลงทันทีเพื่อไม่ให้ยัยเพี้ยนเห็นผมตอนสำลักกาแฟ
"จะอ่านหนังสือ อย่ากวน" ผมหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทันที
จริงๆ วันนั้นย่าเมเบลท่านถามผมว่าเป็นแฟนเมเบลหรือปล่าว พอดีเวลานั้นผมมีธุระที่ผมต้องไปทำ ผมก็เลยตอบปัดๆไปก็แค่นั้น
เสียงจิปากดังขึ้นก่อนที่กล้องของยัยเพี้ยนจะเปลี่ยนเป็นกล้องหลังทำให้ผมเห็นบรรยากาศตอนกลางคืนของที่นั่น
ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ผมปิดหนังสือลงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเมื่อไม่ได้ยินเสียงยัยเพี้ยน ภาพที่เห็นเมเบลกำลังนอนหลับตาพริ้มโดยตั้งหน้าจอโทรศัพท์เข้าหาตัวเองทำให้ผมเห็นการนอนหลับเหมือนเด็กน้อยมากขึ้น
"หึ ฝันดียัยตัวแสบ"