"แกเอาจริงเหรอ" ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่มองไปรอบๆ มหาลัยในช่วงตอนดึกมันน่ากลัวสุดๆ บรรยากาศอันเยือกเย็นเหมือนกับตอนที่ฉันเจอผีตอนนั้นเลย
"ใช่ ฉันเอาจริง ถ้าพวกแกกลัวก็ไม่ต้องตามมาก็ได้"
"พี่ ผมว่าเรามาตอนกลางวันไม่ดีกว่าเหรอ"
"ใคร" ฉันเบิกตากว้างก่อนจะวิ่งหาที่ซ่อนเมื่อยามเดินเข้ามา ไม่นานแสงจากไฟฉายก็เริ่มห่างไกลไปเรื่อยๆ
"ใช่ ยังไงแกก็เปิดประตูไม่ได้"
"ใครว่าเปิดประตูไม่ได้" ฉันหยิบที่ตัดเหล็กขึ้นมา ทำให้ทั้งสองคนอ้าปากค้างทันที
"นี่แกเอาอุปกรณ์ช่างมากระทำความชั่วเลยเหรอวะ" ฉันกรอกตามองบน เหนื่อยกับเพื่อนคนดีของฉันจริงๆ
"แทนที่พวกแกจะมานั่งถามฉัน ไปล่อยามก่อนดีไหม"
"เออๆ เดี๋ยวฉันกับอินดี้จะล่อยามไป"
หลังจากที่ทั้งสองเดินออกไป ฉันก็จัดการตัดเหล็กทันที ฉันว่าห้องนี้ถูกปิดตายแบบนี้ถ้าฉันเดินไปขอกุญแจห้องดีๆ เขาต้องสอบสวนฉันแน่ๆ แล้วถ้าฉันจะบอกว่าหาหนังสือเกี่ยวกับตำนานคนครึ่งยมทูตคงหาว่าฉันบ้าแน่ๆ แต่ในส่วนหนึ่ง ถ้าฉันถูกจับได้ละก็ ความซวยคงมาเยือน
แกร็ก ฉันเผยยิ้มเมื่อประตูห้องถูกเปิด ก่อนจะคว้าไฟฉายส่องแสงผ่านความมืดไปโดยรอบ ทว่า ก็พบกับหนังสือจำนวนมาก ฮัดชิ้ว ฉันบีบจมูกตัวเองเมื่อรู้สึกจะจามอีกครั้ง ฝุ่นที่จับอยู่ที่หนังสือจำนวนมากเวลาฉันเดินไปโดนก็จะรู้สึกได้กลิ่นมัน ขณะนั้นเองจึงเดินไปในโซนพวกหนังสือลี้ลับ
โครม!! ทว่า ฉันต้องเบิกตากว้างเมื่อเดินไปสะดุดหนังสือกองหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อมีสมุดเล่มหนึ่งล่นมาทับเท้าฉันเต็มเป้า มันคือสมุดจดบันทึกของใครคนหนึ่ง
"ผู้นำวิญญาณ จินตสัตว์" ฉันพลิกมองด้านหลังก็พบว่าสมุดมันมีรูปร่างแปลกตา แถมตัวหนังสือก็ดูแปลกอีก เหมือนจะเป็นภาษากรีก ฉันเปิดไปหน้าแรกก็ต้องพบกับภาษากรีกจริง แต่โชคดีมีภาษาไทยแปลอยู่ และฉันต้องเบิกตากว้างอีกครั้งเมื่อเปิดมาเจอข้อความเก่าของสมุด
"มนุษย์ตระกูลจินตสัตว์ เป็นตระกูลที่ไม่มีทายาทเป็นผู้หญิง ทุกคนที่เกิดมาล้วนเป็นผู้ชายทั้งสิ้น"
ขวับ!! ฉันสะดุ้งมองไปทางประตู "ใคร อินดี้เหรอ" จึงเอ่ยถามเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าของบุคคลมาใหม่
"อื้อ..." ฉันพยายามร้องเมื่อมีมือของใครคนหนึ่งปิดปากฉันไว้ก่อนจะลากฉันไปอยู่ที่มุมหนึ่ง เขาคือผู้ชายเพราะแรงเยอะจนฉันไม่สามารถต่อสู้ได้
"เงียบ" แสงไฟฉายของยามที่เล็ดลอดเข้ามาทำให้ฉันหยุดดิ้นทันที ลมหายใจที่เป่ารดแก้มฉันทำให้ขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
"เธอนี่แสบกว่าที่คิดไว้อีกนะ"
"เจได คนโรคจิต"
"ชู๊ เงียบๆสิ เดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก" ฉันพยายามแกะมือของเขาออกจากเอวแต่กลับไม่เป็นผล
ฟู้ ฉันพ้นลมออกจากปากเมื่อยามเดินไปทางอื่น แล้วไอ้สองตัวมันไม่ล่อยามยังไงวะเนี่ย "ทีนี้ก็ปล่อยฉันได้ยัง"
"ฉันปล่อยเธอตั้งนานแล้ว แต่มือเธอไม่ปล่อยมือฉันเอง" ฉันถอยออกจากเขาทันที
"นายมาที่นี่ได้ไง"
"ก็มาดูขโมยแถมยังเป็นขโมยที่ซื่อบื่ออีก ฉันคิดไม่ผิดจริงๆว่าเธอไม่มีทางล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆแน่" รู้ใจจังเลยนะพ่อคุณ
เห๊อะ ฉันเค้นหัวเราะก่อนจะเดินไปหยิบสมุดเล่มเดิมขึ้นมา เอี๊ยด เสียงเหมือนชั้นวางหนังสือที่กำลังจะล้มเลย ฉันเงยหน้ามองตามเสียงก็พบว่ามันกำลังจะล้มมาหาฉัน
"อ้ะ" โครม!! ฉันนิ่วหน้าเพราะรู้สึกหนัก ว่าแต่ทำไมชั้นวางหนังสือมันดิ้นได้
"หัดระวังบ้างสิ" ฉันลืมตาขึ้นมาก็พบกับนายเจไดที่กำลังคร่อมฉันอยู่แถมมืออีกข้างของเขาที่รองศีรษะฉันไม่ให้กระแทกพื้น
ฉันสบตากับเขาโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาทำให้บรรยากาศภายในห้องเงียบ ทว่า กลับรับรู้บางสิ่งที่กำลังดิ้นอยู่ภายในร่างกาย หัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อใบหน้าหล่อค่อยๆเคลื่อนเข้ามา ลมหายใจอุ่นๆรินรดแก้มฉันทำให้ฉันเม้มปากแน่นก่อนจะข่มตาหลับ
ทว่า กลับต้องสะดุ้งกำมือแน่นเมื่อริมฝีปากอุ่นทาบลงมาที่ริมฝีปากฉันโดยที่เขาไม่ได้ขยับหรือรุกล้ำอะไร แต่ไม่นานริมฝีปากอุ่นชื้นก็ค่อยๆขยับขบเม้มริมฝีปากฉันเพียงแผ่วเบาและมันเต็มไปด้วยความใจเย็น อ่อนโยน
"พี่เบล" ฉันพลักเจไดออกก่อนจะลุกยืนขึ้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่หน้าประตูก่อนที่ฉันจะเปิดไฟฉายขึ้นทำให้ทั้งสองคนตกใจเมื่อเจอใครอีกคนอยู่ในห้องกับฉัน
"พวกเธอมาทำอะไรที่ห้องนี้" ต่อมาก็มีเสียงยามดังขึ้นก่อนจะเดินมาหาฉัน
"ผมมาหาของบางอย่าง เลยให้เพื่อนมาช่วยหา"
"คุณชายเองเหรอครับ ผมก็นึกว่าขโมย ทำไมมาดึกดื่นแบบนี้"
"ฉันขอไม่ตอบ" ฉันเม้มปากแน่นเมื่อสายตาของยามดันมองมาที่ฉัน ฉันขยับหลบหลังเจไดพร้อมกับซ่อนสมุดไว้ด้านหลัง "อ๋อ แบบนี้นี่เอง ผมเข้าใจวัยรุ่นครับ แต่บรรยากาศเงียบๆแบบนี้ก็โรแมนติกไปอีบแบบนะครับ"
โรแมนติกอะไรกัน สยองขวัญไม่ว่า "มะ.. ไม่ใช่อย่างที่คิดนะคะ"
"ไม่ต้องอายหรอกครับ เชิญคุณชายตามสบายเลยครับ"
"อ้ะ ลุงมันมะ...ให้ตายสิ เพราะนายคนเดียวเลย ดูสิลุงเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว"
"แล้วเธอไม่ชอบบรรยากาศโรแมนติกอย่างที่ลุงยามบอกเหรอ"
"เฮ๊อะ ชอบก็บ้าแล้ว อ้อ ขอบใจที่ช่วย โซ่อินดี้กลับบ้าน"
ฉันขมวดคิ้วมองแขนตัวเองที่ถูกมือหนาจับไว้ ทำให้ร่างกายเซเล็กน้อย
"เธอต้องมากับฉัน" ฉันอ้าปากค้างเดินไปตามแรงฉุด ก่อนที่แขนอีกข้างของฉันจะถูกอินดี้จับไว้
"พี่จะพาพี่เบลไปไหน"
"กูไม่เอาพี่สาวมึงไปฆ่าหรอก พวกมึงกลับบ้านได้แล้ว กูมีเรื่องต้องคุยกับพี่สาวมึง" ฮะ ฉันส่ายหน้ารัวๆเพื่อให้อินดี้มันช่วยแต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้น นอกจากไม่ช่วยแล้วยังยกยิ้มให้อีก เจ้าน้องไม่รักดี
ผ่านไปยี่สิบนาที
ฉันนั่งกรอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย เฮ้อ ก็นายเจไดลากฉันมาที่บ่อนแถมให้นั่งอยู่ที่ห้องทำงานของเขาอีก พูดแล้วก็เหมือนหมานั่งเฝ้าเจ้านายเลย ไม่สิฉันไม่ได้เป็นหมาสักหน่อย
"นี่ นายว่างมากหรือไงลากฉันมา แต่กลับไม่ยอมพูดอะไรสักคำ"
"...." เงียบ ฉันเบะปากลุกเดินไปที่ระเบียงพร้อมกับหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมาเปิดอ่าน
ฉันกวาดสายตาไปตามตัวหนังสือก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ย่อหน้าหนึ่ง 'ผู้นำวิญญาณตนหนึ่งได้รับมอบหมายมารับดวงวิญญาณมนุษย์ซึ่งเป็นผู้หญิง แต่เวลาผ่านไปไม่นานผู้นำวิญญาณตนนั้นได้ตกหลุมรักวิญญาณที่ตนเองต้องมารับตัวไปยมโลก'
"ยมทูตรักกับมนุษย์" ฉันบ่นคนเดียวก่อนจะก้มลงอ่านต่อไป
'ผู้นำวิญญาณตนนั้นตัดสินใจพาดวงวิญญาณหญิงสาวหลบหนี แต่สุดท้ายท่านพญายมก็รู้เห็นในสิ่งที่ผู้นำวิญญาณตนนั้นกระทำเป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรง ท่านจึงสั่งลงทัณฑ์ด้วยกฎมณเทียรบาล ให้ผู้นำวิญญาณตนนั้นกลับชาติไปเกิดเป็นมนุษย์เพื่อรับบาปที่ตนได้ก่อไว้ แต่ตระกูลที่ผู้นำวิญญาณตนนั้นกลับชาติมาเกิดจะไม่มีทายาทที่เป็นผู้หญิง'
"โห่ น่าสงสาร"
"เจข๋า" พอเสียงหนึ่งดังขึ้น ฉันก็ปิดสมุดจดบันทึกก่อนจะหันไปตามเสียงที่ดังมาจากข้างใน ก่อนจะพบผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนตักนายเจได
"เธอเป็นใคร" นี่ก็อีกคน ฉันนี่ได้ยินคำถามพวกนี้จนจะเป็นประสาทละ
ฉันไม่สนใจนั่งลงบนโซฟาก่อนจะเปิดสมุดจดบันทึกเล่มนั้นอ่านต่อ
'จนเวลาล่วงผ่านไปท่านพญายมเห็นในความดีของผู้นำวิญญาณตนนั้นจึงแปลงกายลงมาบอกว่าอีก 100 ปีข้างหน้าจะมีทายาดที่เป็นสตรีจุติมาเกิดบนโลกมนุษย์ สตรีที่เกิดมาพร้อมกับความตาย สตรีผู้นั้นจะมีดวงจิตของผู้นำวิญญาณครึ่งหนึ่ง ดวงตาที่สามรถของสตรีผู้นั้นจะทำให้มองเห็นมนุษย์ที่หมดวาระบนโลกมนุษย์
ทว่าเมื่อได้อ่านเรื่องราว หัวใจฉันกลับเต้นสั่นไหวไปหมด หรือว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นฉัน ทว่า ฉันต้องหยุดความคิดทุกอย่างลง เงยหน้ามองมือคนหนึ่งที่ดึงสมุดออกจากมือฉัน
"ผู้นำวิญญาณ จินตสัตว์ " ฉันถอนหายใจเอือกใหญ่เพื่อระงับอารมณ์ตัวเอง กับเสียงหัวเราะดูถูกพวกนั้น
"เอาคืนมา"
แควก! สมุดจดบันทึกที่ถูกฉีกออกครึ่งหนึ่งพร้อมกับผู้หญิงตรงหน้าแซะยิ้มอย่างสะใจ "จีจี้หยุด" เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนที่เธอจะทิ้งสมุดฉันลงไปกับพื้น ส่วนฉันเพียงยืนมองกระดาษร่วงหล่นบนพื้นพร้อมกับภายในใจแทบอยากจะฆ่าคนตรงหน้า
"ก็จีจี้ไม่ชอบถูกคนเมิน แค่นี้มันยังน้อยไป"
สองมือเผลอกำแน่น สายตาจดจ้องผู้หญิงตรงหน้าด้วยความเยือกเย็น ฉันเพียงเค้นหัวเราะออกมามองการกระทำพวกนั้น
"ฉันบอกให้หยุดไง" เสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้งแต่เธอกลับใช้เท้าเหยียบสมุดเล่มนั้น
ด้วยความที่เป็นคนใจร้อนมันจึงทำให้ฉันไม่อดทนต่อไปแล้ว สองมือพลักจีจี้ล้มลงกับพื้นก่อนจะเดินไปหยิบสมุดเล่มนั้นมา ก่อนที่ฉันจะเดินไปหาจีจี้ด้วยความโมโหสุดขีด
"คนใจบาปอย่างเธอตายไปก็มีแต่ตกนรก หัดละอายใจกลัวบาปซะบ้าง"
ปัง!!! หน้าต่างที่ปิดเองโดยไม่มีแม้แต่ลมพัด ฉันหันไปมองก็พบกับนกแสกตัวหนึ่งบินมาเกาะหน้าต่าง "เจ้า" เสียงที่ดังมาจากหน้าต่างทำให้ฉันถอนหายใจเพื่อระงับอารมณ์ตัวเองก่อนที่ฉันจะทำอะไรที่ผิดไปมากกว่านี้ ว่าแต่นกแสกตัวนั้นพูดได้ ฉันลูบแขนตัวเองมองนกตัวนั้นที่บินจากไป พยายามระงับอารมณ์ร้อนของตัวเอง
"เจ อีนี่มันไม่ใช่คน มันเป็นปีศาจ"
"ปีศาจมันไม่ใช่ฉันแต่เป็นเธอต่างหาก เธอระวังตัวเธอให้ดีแล้วกัน นรกสวรรค์มันมีจริง" พูดจบฉันก็ลุกเดินออกจากห้องโดยไม่บอกกล่าวทันที
"เมเบล"