Last from the heart 10 : ความลับ

1879 คำ
"แกเอาจริงเหรอ" ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่มองไปรอบๆ มหาลัยในช่วงตอนดึกมันน่ากลัวสุดๆ บรรยากาศอันเยือกเย็นเหมือนกับตอนที่ฉันเจอผีตอนนั้นเลย "ใช่ ฉันเอาจริง ถ้าพวกแกกลัวก็ไม่ต้องตามมาก็ได้" "พี่ ผมว่าเรามาตอนกลางวันไม่ดีกว่าเหรอ" "ใคร" ฉันเบิกตากว้างก่อนจะวิ่งหาที่ซ่อนเมื่อยามเดินเข้ามา ไม่นานแสงจากไฟฉายก็เริ่มห่างไกลไปเรื่อยๆ "ใช่ ยังไงแกก็เปิดประตูไม่ได้" "ใครว่าเปิดประตูไม่ได้" ฉันหยิบที่ตัดเหล็กขึ้นมา ทำให้ทั้งสองคนอ้าปากค้างทันที "นี่แกเอาอุปกรณ์ช่างมากระทำความชั่วเลยเหรอวะ" ฉันกรอกตามองบน เหนื่อยกับเพื่อนคนดีของฉันจริงๆ "แทนที่พวกแกจะมานั่งถามฉัน ไปล่อยามก่อนดีไหม" "เออๆ เดี๋ยวฉันกับอินดี้จะล่อยามไป" หลังจากที่ทั้งสองเดินออกไป ฉันก็จัดการตัดเหล็กทันที ฉันว่าห้องนี้ถูกปิดตายแบบนี้ถ้าฉันเดินไปขอกุญแจห้องดีๆ เขาต้องสอบสวนฉันแน่ๆ แล้วถ้าฉันจะบอกว่าหาหนังสือเกี่ยวกับตำนานคนครึ่งยมทูตคงหาว่าฉันบ้าแน่ๆ แต่ในส่วนหนึ่ง ถ้าฉันถูกจับได้ละก็ ความซวยคงมาเยือน แกร็ก ฉันเผยยิ้มเมื่อประตูห้องถูกเปิด ก่อนจะคว้าไฟฉายส่องแสงผ่านความมืดไปโดยรอบ ทว่า ก็พบกับหนังสือจำนวนมาก ฮัดชิ้ว ฉันบีบจมูกตัวเองเมื่อรู้สึกจะจามอีกครั้ง ฝุ่นที่จับอยู่ที่หนังสือจำนวนมากเวลาฉันเดินไปโดนก็จะรู้สึกได้กลิ่นมัน ขณะนั้นเองจึงเดินไปในโซนพวกหนังสือลี้ลับ โครม!! ทว่า ฉันต้องเบิกตากว้างเมื่อเดินไปสะดุดหนังสือกองหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อมีสมุดเล่มหนึ่งล่นมาทับเท้าฉันเต็มเป้า มันคือสมุดจดบันทึกของใครคนหนึ่ง "ผู้นำวิญญาณ จินตสัตว์" ฉันพลิกมองด้านหลังก็พบว่าสมุดมันมีรูปร่างแปลกตา แถมตัวหนังสือก็ดูแปลกอีก เหมือนจะเป็นภาษากรีก ฉันเปิดไปหน้าแรกก็ต้องพบกับภาษากรีกจริง แต่โชคดีมีภาษาไทยแปลอยู่ และฉันต้องเบิกตากว้างอีกครั้งเมื่อเปิดมาเจอข้อความเก่าของสมุด "มนุษย์ตระกูลจินตสัตว์ เป็นตระกูลที่ไม่มีทายาทเป็นผู้หญิง ทุกคนที่เกิดมาล้วนเป็นผู้ชายทั้งสิ้น" ขวับ!! ฉันสะดุ้งมองไปทางประตู "ใคร อินดี้เหรอ" จึงเอ่ยถามเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าของบุคคลมาใหม่ "อื้อ..." ฉันพยายามร้องเมื่อมีมือของใครคนหนึ่งปิดปากฉันไว้ก่อนจะลากฉันไปอยู่ที่มุมหนึ่ง เขาคือผู้ชายเพราะแรงเยอะจนฉันไม่สามารถต่อสู้ได้ "เงียบ" แสงไฟฉายของยามที่เล็ดลอดเข้ามาทำให้ฉันหยุดดิ้นทันที ลมหายใจที่เป่ารดแก้มฉันทำให้ขนลุกอย่างบอกไม่ถูก "เธอนี่แสบกว่าที่คิดไว้อีกนะ" "เจได คนโรคจิต" "ชู๊ เงียบๆสิ เดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก" ฉันพยายามแกะมือของเขาออกจากเอวแต่กลับไม่เป็นผล ฟู้ ฉันพ้นลมออกจากปากเมื่อยามเดินไปทางอื่น แล้วไอ้สองตัวมันไม่ล่อยามยังไงวะเนี่ย "ทีนี้ก็ปล่อยฉันได้ยัง" "ฉันปล่อยเธอตั้งนานแล้ว แต่มือเธอไม่ปล่อยมือฉันเอง" ฉันถอยออกจากเขาทันที "นายมาที่นี่ได้ไง" "ก็มาดูขโมยแถมยังเป็นขโมยที่ซื่อบื่ออีก ฉันคิดไม่ผิดจริงๆว่าเธอไม่มีทางล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆแน่" รู้ใจจังเลยนะพ่อคุณ เห๊อะ ฉันเค้นหัวเราะก่อนจะเดินไปหยิบสมุดเล่มเดิมขึ้นมา เอี๊ยด เสียงเหมือนชั้นวางหนังสือที่กำลังจะล้มเลย ฉันเงยหน้ามองตามเสียงก็พบว่ามันกำลังจะล้มมาหาฉัน "อ้ะ" โครม!! ฉันนิ่วหน้าเพราะรู้สึกหนัก ว่าแต่ทำไมชั้นวางหนังสือมันดิ้นได้ "หัดระวังบ้างสิ" ฉันลืมตาขึ้นมาก็พบกับนายเจไดที่กำลังคร่อมฉันอยู่แถมมืออีกข้างของเขาที่รองศีรษะฉันไม่ให้กระแทกพื้น ฉันสบตากับเขาโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาทำให้บรรยากาศภายในห้องเงียบ ทว่า กลับรับรู้บางสิ่งที่กำลังดิ้นอยู่ภายในร่างกาย หัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อใบหน้าหล่อค่อยๆเคลื่อนเข้ามา ลมหายใจอุ่นๆรินรดแก้มฉันทำให้ฉันเม้มปากแน่นก่อนจะข่มตาหลับ ทว่า กลับต้องสะดุ้งกำมือแน่นเมื่อริมฝีปากอุ่นทาบลงมาที่ริมฝีปากฉันโดยที่เขาไม่ได้ขยับหรือรุกล้ำอะไร แต่ไม่นานริมฝีปากอุ่นชื้นก็ค่อยๆขยับขบเม้มริมฝีปากฉันเพียงแผ่วเบาและมันเต็มไปด้วยความใจเย็น อ่อนโยน "พี่เบล" ฉันพลักเจไดออกก่อนจะลุกยืนขึ้นเมื่อเห็นทั้งสองคนยืนอยู่หน้าประตูก่อนที่ฉันจะเปิดไฟฉายขึ้นทำให้ทั้งสองคนตกใจเมื่อเจอใครอีกคนอยู่ในห้องกับฉัน "พวกเธอมาทำอะไรที่ห้องนี้" ต่อมาก็มีเสียงยามดังขึ้นก่อนจะเดินมาหาฉัน "ผมมาหาของบางอย่าง เลยให้เพื่อนมาช่วยหา" "คุณชายเองเหรอครับ ผมก็นึกว่าขโมย ทำไมมาดึกดื่นแบบนี้" "ฉันขอไม่ตอบ" ฉันเม้มปากแน่นเมื่อสายตาของยามดันมองมาที่ฉัน ฉันขยับหลบหลังเจไดพร้อมกับซ่อนสมุดไว้ด้านหลัง "อ๋อ แบบนี้นี่เอง ผมเข้าใจวัยรุ่นครับ แต่บรรยากาศเงียบๆแบบนี้ก็โรแมนติกไปอีบแบบนะครับ" โรแมนติกอะไรกัน สยองขวัญไม่ว่า "มะ.. ไม่ใช่อย่างที่คิดนะคะ" "ไม่ต้องอายหรอกครับ เชิญคุณชายตามสบายเลยครับ" "อ้ะ ลุงมันมะ...ให้ตายสิ เพราะนายคนเดียวเลย ดูสิลุงเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว" "แล้วเธอไม่ชอบบรรยากาศโรแมนติกอย่างที่ลุงยามบอกเหรอ" "เฮ๊อะ ชอบก็บ้าแล้ว อ้อ ขอบใจที่ช่วย โซ่อินดี้กลับบ้าน" ฉันขมวดคิ้วมองแขนตัวเองที่ถูกมือหนาจับไว้ ทำให้ร่างกายเซเล็กน้อย "เธอต้องมากับฉัน" ฉันอ้าปากค้างเดินไปตามแรงฉุด ก่อนที่แขนอีกข้างของฉันจะถูกอินดี้จับไว้ "พี่จะพาพี่เบลไปไหน" "กูไม่เอาพี่สาวมึงไปฆ่าหรอก พวกมึงกลับบ้านได้แล้ว กูมีเรื่องต้องคุยกับพี่สาวมึง" ฮะ ฉันส่ายหน้ารัวๆเพื่อให้อินดี้มันช่วยแต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้น นอกจากไม่ช่วยแล้วยังยกยิ้มให้อีก เจ้าน้องไม่รักดี ผ่านไปยี่สิบนาที ฉันนั่งกรอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย เฮ้อ ก็นายเจไดลากฉันมาที่บ่อนแถมให้นั่งอยู่ที่ห้องทำงานของเขาอีก พูดแล้วก็เหมือนหมานั่งเฝ้าเจ้านายเลย ไม่สิฉันไม่ได้เป็นหมาสักหน่อย "นี่ นายว่างมากหรือไงลากฉันมา แต่กลับไม่ยอมพูดอะไรสักคำ" "...." เงียบ ฉันเบะปากลุกเดินไปที่ระเบียงพร้อมกับหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมาเปิดอ่าน ฉันกวาดสายตาไปตามตัวหนังสือก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ย่อหน้าหนึ่ง 'ผู้นำวิญญาณตนหนึ่งได้รับมอบหมายมารับดวงวิญญาณมนุษย์ซึ่งเป็นผู้หญิง แต่เวลาผ่านไปไม่นานผู้นำวิญญาณตนนั้นได้ตกหลุมรักวิญญาณที่ตนเองต้องมารับตัวไปยมโลก' "ยมทูตรักกับมนุษย์" ฉันบ่นคนเดียวก่อนจะก้มลงอ่านต่อไป 'ผู้นำวิญญาณตนนั้นตัดสินใจพาดวงวิญญาณหญิงสาวหลบหนี แต่สุดท้ายท่านพญายมก็รู้เห็นในสิ่งที่ผู้นำวิญญาณตนนั้นกระทำเป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรง ท่านจึงสั่งลงทัณฑ์ด้วยกฎมณเทียรบาล ให้ผู้นำวิญญาณตนนั้นกลับชาติไปเกิดเป็นมนุษย์เพื่อรับบาปที่ตนได้ก่อไว้ แต่ตระกูลที่ผู้นำวิญญาณตนนั้นกลับชาติมาเกิดจะไม่มีทายาทที่เป็นผู้หญิง' "โห่ น่าสงสาร" "เจข๋า" พอเสียงหนึ่งดังขึ้น ฉันก็ปิดสมุดจดบันทึกก่อนจะหันไปตามเสียงที่ดังมาจากข้างใน ก่อนจะพบผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนตักนายเจได "เธอเป็นใคร" นี่ก็อีกคน ฉันนี่ได้ยินคำถามพวกนี้จนจะเป็นประสาทละ ฉันไม่สนใจนั่งลงบนโซฟาก่อนจะเปิดสมุดจดบันทึกเล่มนั้นอ่านต่อ 'จนเวลาล่วงผ่านไปท่านพญายมเห็นในความดีของผู้นำวิญญาณตนนั้นจึงแปลงกายลงมาบอกว่าอีก 100 ปีข้างหน้าจะมีทายาดที่เป็นสตรีจุติมาเกิดบนโลกมนุษย์ สตรีที่เกิดมาพร้อมกับความตาย สตรีผู้นั้นจะมีดวงจิตของผู้นำวิญญาณครึ่งหนึ่ง ดวงตาที่สามรถของสตรีผู้นั้นจะทำให้มองเห็นมนุษย์ที่หมดวาระบนโลกมนุษย์ ทว่าเมื่อได้อ่านเรื่องราว หัวใจฉันกลับเต้นสั่นไหวไปหมด หรือว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นฉัน ทว่า ฉันต้องหยุดความคิดทุกอย่างลง เงยหน้ามองมือคนหนึ่งที่ดึงสมุดออกจากมือฉัน "ผู้นำวิญญาณ จินตสัตว์ " ฉันถอนหายใจเอือกใหญ่เพื่อระงับอารมณ์ตัวเอง กับเสียงหัวเราะดูถูกพวกนั้น "เอาคืนมา" แควก! สมุดจดบันทึกที่ถูกฉีกออกครึ่งหนึ่งพร้อมกับผู้หญิงตรงหน้าแซะยิ้มอย่างสะใจ "จีจี้หยุด" เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนที่เธอจะทิ้งสมุดฉันลงไปกับพื้น ส่วนฉันเพียงยืนมองกระดาษร่วงหล่นบนพื้นพร้อมกับภายในใจแทบอยากจะฆ่าคนตรงหน้า "ก็จีจี้ไม่ชอบถูกคนเมิน แค่นี้มันยังน้อยไป" สองมือเผลอกำแน่น สายตาจดจ้องผู้หญิงตรงหน้าด้วยความเยือกเย็น ฉันเพียงเค้นหัวเราะออกมามองการกระทำพวกนั้น "ฉันบอกให้หยุดไง" เสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้งแต่เธอกลับใช้เท้าเหยียบสมุดเล่มนั้น ด้วยความที่เป็นคนใจร้อนมันจึงทำให้ฉันไม่อดทนต่อไปแล้ว สองมือพลักจีจี้ล้มลงกับพื้นก่อนจะเดินไปหยิบสมุดเล่มนั้นมา ก่อนที่ฉันจะเดินไปหาจีจี้ด้วยความโมโหสุดขีด "คนใจบาปอย่างเธอตายไปก็มีแต่ตกนรก หัดละอายใจกลัวบาปซะบ้าง" ปัง!!! หน้าต่างที่ปิดเองโดยไม่มีแม้แต่ลมพัด ฉันหันไปมองก็พบกับนกแสกตัวหนึ่งบินมาเกาะหน้าต่าง "เจ้า" เสียงที่ดังมาจากหน้าต่างทำให้ฉันถอนหายใจเพื่อระงับอารมณ์ตัวเองก่อนที่ฉันจะทำอะไรที่ผิดไปมากกว่านี้ ว่าแต่นกแสกตัวนั้นพูดได้ ฉันลูบแขนตัวเองมองนกตัวนั้นที่บินจากไป พยายามระงับอารมณ์ร้อนของตัวเอง "เจ อีนี่มันไม่ใช่คน มันเป็นปีศาจ" "ปีศาจมันไม่ใช่ฉันแต่เป็นเธอต่างหาก เธอระวังตัวเธอให้ดีแล้วกัน นรกสวรรค์มันมีจริง"  พูดจบฉันก็ลุกเดินออกจากห้องโดยไม่บอกกล่าวทันที "เมเบล"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม