เสียงฟ้าคำราม แสงจากสายฟ้าแลบเป็นสายอยู่ห่างออกไปทางภูเขา ลมพัดแรงขึ้นแล้วฝนก็ตกลงมา หน้าปากถ้ำเชิงเขา มือขาวผ่องนิ้วมือเรียวรวบกิ่งไม้ที่ระปากทางเข้าแหวกออกรองเท้าสีขาวเปื้อนไปด้วยละอองและเศษฝุ่นก้าวเข้าไป ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะจุดไฟด้วยมืออีกข้าง ด้านหลังมืออีกคู่ยื่นมาห้าม
“ข้าจุดไฟเอง เวทย์จุดไฟง่ายๆ นี่ข้าทำได้”
ชายหนุ่มที่ตามมาด้านหลังร่ายเวทย์จุดไปพร้อมส่องทางเข้าไปภายในถ้ำที่มีขนาดไม่ใหญ่ ไม่ลึกมากนัก
“ดีนะที่พวกเราหาที่หลบฝนทัน หากเป็นคนธรรมดาเราสองคนคงต้องเปียกฝนอยู่ระหว่างทางอีกทั้งไม่มีทางหาที่หลบฝนได้แน่”
ชายหนุ่มชุดน้ำเงินยังคงพูดต่อไปพลางมองไปที่ชายหนุ่มชุดขาวที่ใช้มือปัดละอองฝนตามผมและเสื้อผ้า
“เป็นเพราะเจ้า! คนมากมายขนาดนั้นเจ้าคิดจะช่วยหมดทุกคนย่อมต้องเสียเวลา เสียสมุนไพรและโอสถไปไม่น้อย"
“เฮ้อ…ออกจากเมืองได้แค่สามสิบลี้เสียเวลาหนึ่งวัน ถ้าไม่เพราะต้องช่วยชาวบ้านระหว่างทางที่พบเราคงเดินทางไปได้ไกลกว่านี้”
“จิ่วเอ๋อร์พวกเราลงเขาเพื่อช่วยคนสะสมบุญกุศลไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะรักษาใคร ดังนั้นพบใครลำบากช่วยได้เจ้าควรช่วยทันที เลิกบ่นเถอะ เราพักที่นี่สักคืนฟ้าสว่างแล้วค่อยเดินทางต่อ”
“ภายนอกเจ้าเย็นชาเข้าถึงได้ยาก แต่ทำไมข้ารู้สึกว่าจิตใจเจ้าเมตตากว่าข้านะ ฮวาเอ๋อร์”
ประโยคสุดท้ายนางบ่นเบาๆ คล้ายพูดกับตนเอง แต่ชายหนุ่มชุดขาวก็ยังได้ยิน ยิ้มน้อยๆที่มุมปากจากนั้นต่างคนต่างแยกกันคนละฝั่ง ขยับได้จุดที่เหมาะสมปูผ้าขนาดไม่ใหญ่แล้วเริ่มนั่งสมาธิ
ท่านแม่..ท่านแม่ เสียงเสี่ยวไป๋ดังเบาๆ แทรกเข้ามาระหว่างที่สั่งสมาธิ ตั้งแต่ช่วยนางเจ้ามังกรน้อยสูญเสียพลังไปไม่น้อยมันก็พันแนบที่แขนประดุจกลายเป็นเครื่องประดับไม่ขยับเคลื่อนไหวอีกเลย ยามนี้ส่งเสียงในจิตใจได้แล้ว (เจ้าเป็นอย่างไร)
“ข้าตื่นแล้วแต่ยังใช้พลังไม่ได้”
(ไม่เป็นไร)
“มีสิ่งใดที่ท่านต้องการใช้ข้า ท่านแม่เรียกข้านะ”
ทั้งสองตอบโต้กันด้วยจิตวิญญาณชั่วครู่ นางยังคงเคลื่อนพลังในกายหมุนเวียนกลับไปกลับมาช่วงเวลานี้คล้ายพลังเต็มขั้นพร้อมจะเลื่อนไปสู่ขั้นกลางแต่ยังไม่มั่นคงเพียงพอ คงได้แต่รอต่อไปอีกจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม
โอสถเพียงเม็ดเดียวช่วยให้ชินอ๋องฟื้นคืนสติขึ้นมาสั่งให้เดินทัพมุ่งไปชายแดนไม่ต้องหยุดแล้วก็หมดสติไปอีก ในสนามรบที่ชายแดนประกายอาวุธกระทบกันมีไปทั่ว เลือดไหลนองบนพื้นทรายมองไปทางไหนก็มีร่างทหารและศัตรูที่ล้มลงทั้งตายทั้งเจ็บเกลื่อนกลาดไปทั่วการรบมีทุกวันสลับเวลาเช้าบ้างบ่ายบ้าง บางคราก็แอบซุ่มเข้ามายามค่ำเสียงลั่นกองรบมีทุกวัน
ตั้งแต่กองทัพเดินทางมาถึงชายแดนชินอ๋องยังคงไม่ได้สติรักษาตัวอยู่ในกระโจมที่มีทหารเฝ้าอยู่ด้านนอกอย่างหนาแน่น ผ่านคืนนี้ไปก็จะเป็นวันที่สามแล้วเหลือเวลาเพียงสี่วันเท่านั้นหน่วยสอดแนมถูกใช้ออกไปหาข่าวท่านหมอตามรูปลักษณ์ที่เซิ่นหลาง(พลทหารเฝ้ากระโจม) ผู้นำโอสถมามอบให้หมอทหาร เขาบอกรายละเอียดให้พลทหารที่สามารถวาดภาพได้เขียนภาพเหมือนขึ้นมาเพื่อกระจายกันออกตามหา
ระหว่างที่ชินอ๋องไม่ฟื้นรองแม่ทัพไหวเซิงได้สอบสวนสาเหตุที่ทำให้ทหารส่วนใหญ่หมดเรี่ยวแรงระหว่างการเดินทางผ่านหุบเขา เนื่องจากมีเบาะแสบางอย่างจากเดิมที่คิดว่าในหมอกมีพิษกลับกลายเป็นมีคนทรยศในกองทัพ สุดท้ายพบว่าคนทรยศคือขุนพลหัวหน้างกองอวี๋ซือหยูที่วางยาทหารในกองทัพก็ถูกจับได้ โดนจองจำรอการสอบสวนภายหลัง
ในวันที่สี่ชินอ๋องมีสติขึ้นมาทั้งยังหักลูกธนูด้วยตนเอง แล้วลุกขึ้นมานั่งบัญชาการรบได้ ผิวหน้าที่ซีดขาวและริมฝีปากที่มีสีคล้ำ ร่างกายคล้ายซูบผอมลงท่านั่งที่ปราศจากความเข้มแข็งพิงผนักเก้าอี้ประธานมองดูแผนที่และธงสัญลักษณ์ที่ปักอยู่ มุมกระโจมมองเห็นหมอทหารนั่งอยู่ แม่ทัพใหญ่ ขุนพลและที่ปรึกษายืนล้อมรอบโต๊ะ
“ท่านอ๋อง ทรงไหวไหมพะยะค่ะ อย่าทรงฝืนออกแรงเช่นนี้เลยพักผ่อนก่อนดีไหมพะยะค่ะ”
ที่ปรึกษาฟู่หยางเอ่ยถามด้วยความกังวล
“ไม่เป็นไร เปิ่นหวางยังสามารถออกไปจับดาบขี่ม้าได้”
“เหลือเวลาเพียงสี่วันเท่านั้น หากเราตามหาหมอท่านนั้นไม่พบ พิษในกายท่านอ๋องจะทำอย่างไรพะยะค่ะ”
“ข้ามีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินและชาวบ้านให้สงบสุข พวกเจ้าไม่ต้องกังวลกับร่างกายของข้า ทหารฝ่ายศัตรูยกไพร่พลมาล้อมตีเมืองเป็นเวลาหลายเดือน ทั้งเหนื่อยล้าบาดเจ็บ ขาดแคลนอาหาร แต่กองทัพเราเองก็ไม่อาจเสียเวลาได้อีกถ่ายทอดคำสั่งออกไปพรุ่งนี้หลังเที่ยงวัน พวกเราจะโจมตีทัพข้าศึกให้แตกพ่ายกลับไป”
“ทรงรอกองทัพเสริมของหน่วยเสบียงหน่อยดีไหมพะยะค่ะ คาดว่าอีกสองวันน่าจะมาถึงแล้ว”
“ไม่จำเป็น พวกเจ้าออกไปเตรียมการให้เรียบร้อย”
ยามที่ทุกคนออกไปหมดแล้ว มีเพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ ชายหนุ่มเป็นกังวลหากเขาไม่นำทัพออกไปเอง ขวัญและกำลังใจของไพร่พลในกองทัพจะถูกบั่นทอนลง ในทางกลับกันหากนำทัพไปเองจะเป็นการข่มขวัญศัตรู โอกาสนี้จำเป็นต้องไขว้ขว้าไว้ ยิ่งชนะข้าศึกได้เร็วความลำบากของชาวบ้านจะถูกแก้ไขได้เร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งหากพิษในกายกำเริบเขาอาจจะสิ้นชีพลงก่อนเสร็จศึกอาจส่งผลกระทบต่อการศึกในครั้งนี้ ฉะนั้นจะรอช้าไม่ได้
"ท่านหมอ ท่านหาวิธีให้ข้ามีแรงในวันพรุ่งนี้อย่างน้อยก็สักเจ็ดแปดส่วน"
ชินอ๋องมองหมอทหารที่เฝ้าอยู่ในกระโจมด้วยสายตาดุดันข่มขวัญและไม่ยินยอมให้ปฏิเสธ ยาชนิดนี้มีอยู่เพียงแต่หากใช้กับร่างกายท่านอ๋องในยามนี้พอพ้นช่วงหมดฤทธิ์ยาแล้วเขาไม่กล้าคิดถึงผลที่จะตามมาได้แต่ปฏิเสธ
“ท่านอ๋อง หากทำเช่นนั้นจะยิ่งเป็นการเร่งให้พิษออกฤทธิ์ไวขึ้นนะพะยะค่ะ หม่อมฉันมิกล้า”
“หากขัดคำสั่งข้าจะตัดหัวเจ้า ข้ารู้ตัวดีเจ้าห้ามพูดออกไป เจ้าไปเตรียมการ ทุกสิ่งข้าเข้าใจดี ล้วนเป็นความเต็มใจของข้า ไปสิ”
“พะยะค่ะ”
บนยอดผา ชายชุดดำเฝ้ามองการสู้รบเบื้องล่างของทหารและศัตรูที่ต่อสู้กันเกือบสองชั่วยาม สถานการณ์เบื้องล่างฝ่ายศัตรูกำลังอ่อนแรงลงบางจุดเริ่มถอยร่นพลางสู้ไปพลาง บนพื้นเกลื่อนไปด้วยซากศพและอาวุธมีเลือดเนื้อ ชินอ๋องที่ปิดคลุมใบหน้าด้วยหน้ากากสีเงินบัญชาการอยู่บนหลังม้า ในมือถือดาบไล่ฟาดฟันศัตรู ล้อมด้านรอบไปด้วยเหล่าทหารที่กำลังสู้รบ ชั่วขณะหนึ่งธนูในมือก็ถูกยกขึ้นพาดสายเล็งไปในสนามรบเบื้องล่าง งานในครั้งนี้คือ “การจบชีวิตชินอ๋องระหว่างการรบ” เป็นคำสั่งบนป้ายไม้สีดำ (ตาย) ดอกธนูถูกยิงออกไปเพียงดอกเดียวทะลุเข้าที่หน้าอกของชินอ๋อง เงาร่างสีดำก็หายไปจากหน้าผา
“ท่านอ๋อง!!”
เสียงตะโกนเรียกขององค์รักษ์ข้างกายก่อนที่หน้าอกรู้สึกเจ็บแปล๊บ แล้วทุกอย่างก็วูบไป
ในสนามรบที่กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ กลับหยุดนิ่ง ชินอ๋องถูกยิงตกจากหลังม้าอีกครั้ง ทหารกรูกันเข้าล้อมรอบก่อนที่จะตีฝ่ากลับออกมาเพื่อนำร่างที่มีลูกธนูปักอยู่กลับเข้ากำแพงเมือง ทหารถอยร่นอารักขาและปิดกำแพงเมืองทันที เหล่าทหารยังคงมึนงง สับสนและกังวลใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
“ถอยไปให้หมด หมอ..พวกเจ้าเข้ามาเร็วท่านอ๋องถูกยิงลูกธนูปักที่หน้าอก”
เสียงรองแม่ทัพประจำด่านตะโกนเรียกหมอสนามดังลั่นกระโจม ส่วนคนที่ไม่เกี่ยวข้องแม้จะเป็นห่วงแต่ก็มิอาจเข้าไปด้านในได้ ทุกคนถูกสั่งให้ออกมาด้านนอกทั้งหมด (เป็นหมอทหารที่มีอำนาจตัดสินใจยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
“ทุกคนออกไปข้างนอกให้หมด”
ชั่วครู่เดียวผ้าหน้ากระโจมถูกเปิดออกมา ทุกคนพากันเหลียวมาดูไม่มีเสียงออกจากปากแต่ละคน ต่างพากันรอคำพูดจากหมอที่เดินออกมา
“ครั้งนี้ธนูใกล้หัวใจเกินไป พวกข้าไม่สามารถรักษาได้”
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นทันที
“จะเก็บหัวพวกเจ้าไว้ทำไม รักษาท่านอ๋องมิได้ ยังไม่รีบเข้าไปดูแล"
รอบกระโจมถูกอารักษาอย่างแน่นหนากว่าเดิม ข่าวสารต่างๆเพิ่มระดับความเข้มงวดทันทีไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดออกมาแม้แต่ทหารในกองทัพก็มิอาจล่วงรู้ว่ายามนี้พระอาการของชินอ๋องทรงเป็นอย่างไร
สิบลี้ห่างจากที่กำแพงเมือง ชายหนุ่มสองคนกำลังจะหยุดพักที่ริมลำธารสายเล็กที่น้ำเกือบจะแห้งจะหมด ทั้งสองต่างใช้น้ำลูบและล้างมือที่เปื้อนดินโคลนออก ข้างกายมีกองสมุนไพรที่พึ่งถูกเก็บมา
“ในแหวนเจ้าเก็บสมุนไพรมาตลอดทาง ยังไม่ได้หลอมโอสถเลยสักเม็ด พวกเราเหลืออีกไม่มากแล้วนะ จากที่ถามชาวบ้านเราห่างจากที่นั่นไม่มาก เจ้าแน่ใจนะว่าจะเข้าไป”
“มีการสู้รบ ย่อมมีคนเจ็บ ไม่ต้องเดินหาตามทาง ไปที่นั่นเจ้าได้ช่วยคนจนนับไม่ไหวแน่นอน นี่สิถึงจะเป็นการฝึกตน”
“ข้ายอมเจ้าจริงๆ อีกสักพักเราก็เดินทาง”
“ท่านเซียน!!! ได้โปรดหยุดก่อน”