1-1 สิ้นวาสนา
อารามไป๋เทียน อารามเต๋าสีขาวกระจ่างตา เล่าต่อกันมาว่าปรมาจารย์หญิงต้องการหลบเร้นห่างไกลจากโลกที่วุ่นวายจึงเลือกที่จะหยุดอยู่ณที่แห่งนี้ ท่านได้ละวิถีทางโลกฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอยู่นานหลายสิบปีจนบรรลุมรรคาเป็นเซียน ที่นี่มีแต่นักพรตหญิงสิบกว่าท่าน มีศิษย์อายุน้อยเพียงคนเดียว
นับเป็นสถานที่ที่สงบเงียบตั้งอยู่บริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างชายแดนสามแคว้น รอบด้านเป็นภูเขาเขียวขจีซับซ้อนกว้างใหญ่ มีเพียงเสียงนกร้อง ใบไม้ไหวสงบเงียบยิ่งนัก เบื้องบนมองเห็นท้องฟ้ากว้าง เบื้องล่างแลเห็นลำธารหลายสายทอดยาวแยกจากน้ำตกบนภูผาสูง ลมเย็นพัดแผ่วเบา ในป่าลึกห่างออกไปมีเสียงสัตว์ป่าร้องดังก้อง ชาวบ้านทั่วไปมาไม่ถึงสถานที่แห่งนี้
ห้องโถงหลักด้านหน้าอารามมีรูปพระโพธิสัตย์ขนาดใหญ่ และภาพวาดปรมาจารย์หญิง ควันธูปจางๆลอยอ้อยอิงตามกระแสลมที่พัดเข้ามาเบาๆ อาจารย์ห้าท่านกำลังบำเพ็ญเพียรอย่างสงบนิ่งบนเบาะกระจายซ้ายและขวา ด้านหน้าเป็นกระถางกำยานหอมจากสมุนไพรล่องลอยเอื่อยเฉื่อย ห้องข้างมีภาพวาดของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งอารามแห่งนี้ และเป็นเรื่องต่อมาว่าท่านปรมาจารย์ได้บรรลุมรรคาเป็นเซียนที่สามารถมีชีวิตเป็นอมตะและมีอิทธิฤทธิ์มากมาย
“แย่แล้ว แย่แล้ว ท่านอาจารย์ พวกท่านอยู่ที่ใด ท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านอาจารย์รอง”
อาจารย์ที่นั่งแต่ละท่านล้วนมีผมขาวใบหน้าอิ่มเอิบ อาจารย์ใหญ่มีรูปร่างผอมบางอายุเกินร้อยปีอาจารย์ที่อายุน้อยสุดปีนี้พึ่งได้แปดสิบเก้า บรรดาอาจารย์ที่สวมชุดเทาซับในขาวทุกท่านเพียงลืมตาขึ้นมองเจ้าของเสียงเสียงตื่นตระหนกที่ดังเข้ามาก่อนตามมาด้วยเสียงรองเท้าวิ่งตึกตักอย่างรีบเร่ง เมื่อได้เห็นตัวตนเจ้าของเสียงเด็กน้อยก็วิ่งเข้ามาหยุดหอบหายใจอยู่บนพื้นตรงหน้าเรียบร้อย
“จิ่วเอ๋อร์ มิใช่เด็กน้อยแล้วเจ้าส่งเสียงดังอันใดทั้งยังวิ่งในเขตอาราม ใยไม่รักษากริยามารยาทที่อาจารย์สั่งสอน”
อาจารย์รองผู้มีรูปร่างอวบท้วมกว่าอาจารย์ผู้มีรอยยิ้มเอื้ออารีบนใบหน้าเป็นผู้เอ่ยถามขึ้นมา
เด็กสาวสวมชุดเทาวิ่งพรวดพราดเข้ามาหยุดยืนหอบหายใจสักครู่ เงยหน้ากลมเนียนแก้มดั่งซาลาเปาที่เวลานี้แดงปลั่งมีเหงื่อไหลเป็นเม็ดเนื้อผ้าบนรูปร่างกระทัดรัดเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ เด็กสาวอยู่ในวัยสิบสองปีเพราะเกิดในครอบครัวยากจน ครอบครัวอาศัยอยู่ในชนบทที่แร้นแค้นฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล บิดามารดามีบุตรหลายคนสิบปีก่อนช่วงที่ครอบครัวเลี้ยงไม่ไหวกำลังจะพากันอดตาย อาจารย์ใหญ่ผู้ซึ่งไม่เคยออกจากอารามได้ผ่านไปพอดีด้วยความเมตตาสงสารจึงเอ่ยปากขออุปการะ ด้วยท่านอาจารย์มองเห็นว่าเป็นผู้มีโชควาสนากับการบำเพ็ญเพียร บิดาดีใจจึงรีบยกให้เด็กหญิงตัวน้อยจึงกราบลาบิดามารดาและครอบครัวติดตามกลับมาอาราม นางเติบโตท่ามการเลี้ยงดูของอาจารย์ทุกคนที่อารามและได้รับการตั้งชื่อให้ตามลำดับในพี่น้องของครอบครัวตนเอง นางเป็นเด็กสาวที่จิตใจดีงาม
“เรียนท่านอาจารย์ อาจารย์รองและอาจารย์อาทุกท่าน ศิษย์ลงไปตักน้ำและหาผลไม้ที่ลำธารด้านล่างตามปกติ ขณะที่เดินกลับอารามได้ยินเสียงประหลาดข้างทาง ศิษย์สงสัยจึงหยุดและแหวกหญ้าริมทางเข้าไปดูพบเห็นคล้ายซากศพของเด็กน้อย จึงรีบกลับมาอารามเรียนให้อาจารย์ทราบเจ้าค่ะ”
พูดจบก็ยังหายใจเข้าออกแรงๆ อาจารย์ใหญ่หันไปหาอาจารย์รอง หากเป็นเรื่องจริงร่างนั้นจะปล่อยให้เป็นอาหารของสัตว์ป่าก็ดูจะน่าสงสารเกินไปสมควรได้รับการจัดการที่เหมาะสมจึงพยักหน้าพลางเอ่ยให้ลงไปตรวจสอบและจัดการให้เหมาะสม
“เด็กหรือ ที่นี่ห่างไกลบ้านเรือนของชาวบ้านยิ่งนักไม่ค่อยจะมีผู้คนมาถึง เจ้าพาศิษย์น้องสองสามคนตามนางไปตรวจสอบดูว่าความจริงเป็นอย่างไร แล้วจัดการตามความเหมาะสม เด็กที่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่ก็สมควรลงไปดูเสียหน่อย มิอาจปล่อยปละละเลยได้ ผู้บำเพ็ญสมควรมีจิตเมตตา”
“ข้าทราบแล้วศิษย์พี่ ท่านวางใจได้ข้าจะจัดการให้เหมาะสม”
ชั่วครู่เดียวกลุ่มอาจารย์และศิษย์ตัวน้อยก็พากันเดินลงมาจากอารามด้วยความสุภาพยิ่งไม่มีเสียงพูดจาให้ได้ยินมีเพียงเสียงฝีเท้าหนักเบาไม่เท่ากันเท่านั้น เมื่อเดินตามจิ่วเอ๋อร์ตัวน้อยมาถึงจุดหนึ่งเกือบปลายทางก่อนขึ้นอารามเด็กน้อยก็ชี้ไปที่ด้านข้างทางเดิน ร่องรอยต้นหญ้าถูกแหวกออกไว้แล้วพอที่จะมองดูได้ อาจารย์รองก้าวไปข้างหน้าเมื่อมองลงไปมีร่างของเด็กสาวตัวเล็กๆ นอนขดตัวในพงหญ้ามีใบไม้และเศษหญ้าปิดคลุม รอบๆร่างเล็กก็ไม่มีสิ่งของใดใดเห็นเพียงสีเขียวสีน้ำตาลของต้นไม้ใบหญ้า พลิกดูสภาพเด็กสาวใบหน้าเลอะดินโคลน เสื้อผ้าฉีกขาดสกปรกเปรอะเปื้อนมองไม่เห็นสีที่แท้จริงของเนื้อผ้า สีผิวซีดเซียวไร้สีสันสภาพเหมือนคนตายจริงตามที่จิ่วเอ๋อร์ขึ้นไปบอก นางโบกมือเรียกคนหนึ่งในกลุ่มให้ก้าวเข้าไปก้มๆ เงยๆตรวจดูลมหายใจและชีพจร
“โชคดี เด็กนี่ยังมีชีวิตอยู่แต่ลมหายใจเบาบางมากเจ้าค่ะศิษย์พี่”
“พวกเจ้าสองคนช่วยกันหาไม้มาทำแคร่หามพานางกลับอาราม”
บนเตียงอุ่นร่างเล็กถูกวางเหยียดยาวผลัดเปลี่ยนเป็นชุดของจิ่วเอ๋อร์แต่ก็ยังดูใหญ่เกินกว่ารูปร่างของนางที่เล็กและผอมบางอย่างยิ่ง อาจารย์ใหญ่นั่งที่ขอบเตียงเป็นผู้ตรวจชีพจรและร่องรอยต่างๆ ก่อนจะดึงผ้าห่มคลุมร่างเล็กไม่ให้ถูกลมยามค่ำคืนที่หนาวเย็น ท่านถอนหายใจ ลุกขึ้นหันมาสบตาอาจารย์ท่านอื่นที่ยืนรอบๆ
“ศิษย์พี่ เด็กน้อยนางนี้มีอาการเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
อาจารย์อาสามแซ่หลี่ ผู้มีใบหน้าเรียบเฉยนิ่งสงบในมือยังคงนับประคำในมือเลื่อนไปเรื่อยๆ เป็นผู้เอ่ยถาม
“เด็กหญิงผู้นี้คาดว่าได้รับพิษบางอย่างทำให้ชีพจรอ่อนแรงและอาจจะพลัดหลงมาหรือถูกนำมาทิ้งไว้ โชคยังดีถูกจิ่วเอ๋อร์พบเข้าและในอารามของเรามีโอสถพอที่จะบรรเทาอาการของนางได้ ถือว่าสวรรค์เมตตาแล้วจากนี้ก็ต้องดูว่าเด็กน้อยคนนี้มีวาสนาเพียงพอไหม หากโชคนางยังเหลือพอสองสามวันหลังจากนี้เด็กน้อยก็น่าจะฟื้นขึ้นมา หลังจากนั้นถ้าอาการดีขึ้นค่อยซักถามรายละเอียดอีกครั้งพวกเจ้าก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ ให้จิ่วเอ๋อร์ต้มยาและอยู่ดูแลนางแล้วกัน”
“จิ่วเอ๋อร์ เจ้ารับหน้าที่ต้มยาและป้อนให้นางเช้าเย็น เจ้าดูแลนางได้หรือไม่ หากว่าดีขึ้นรู้สึกตัวแล้วเจ้าก็ไปตามอาจารย์ เข้าใจหรือไม่”
“ศิษย์ ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เด็กสาวผงกศรีษะพร้อมยกมือคำนับให้กับอาจารย์ทุกท่านที่ค่อยๆทยอยออกจากห้องไปในห้องเหลือเพียงจิ่วเอ๋อร์คนเดียวมีลมพัดเข้ามาจากหน้าต่าง ที่นี่อยู่บนเขาสูงอากาศกลางคืนเย็นมากนางรีบเดินไปปิดหน้าต่างเพื่อให้ห้องอบอุ่นขึ้น ตรวจดูความเรียบร้อยของเทียนก่อนจะถอยออกจากห้อง
แสงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าเสียงนกร้องนอกหน้าต่าง จิ่วเอ๋อร์ลืมตาขึ้นอากาศกำลังสบาย ความจริงนางยังอยากปิดตานอนหลับต่ออีกสักนิด แต่ใจยังกังวลกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กไม่ต่างกับนางที่นอนเหยียดยาวตั้งแต่พาขึ้นมายังไม่ได้สติสักครั้ง เมื่อวานเย็นหลังทานมื้อเย็นเมื่อดูแลตนเองผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็มานั่งเฝ้าอาการนาง ป้อนยาตามเวลาที่ท่านอาจารย์ใหญ่กำชับไว้ ในใจข้าคาดหวังว่านางจะลืมตาขึ้นมา (หายไวไวนะข้าเฝ้ารอเจ้าอยู่) ในอารามที่นี่เงียบเหงามีแต่บรรดาผู้อาวุโสที่คร่ำเคร่งบำเพ็ญเพียรมุ่งหวังจะบรรลุเป็นเซียน สำหรับตนเองแล้วอยากได้เพื่อนเล่นเพื่อนคุยบ้างสักคน นี่ตะวันขึ้นแล้วนางน่าจะอาการดีขึ้นแล้ว(หากนางหายดีข้าจะขอให้อาจารย์รับนางไว้แล้วข้าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ เด็กน้อยคนนี้ต้องเป็นศิษย์น้องของนางเท่านั้น) พลางมองไปที่เตียงยังไม่มีการขยับตัวใดใด เมื่อเอื้อมมือไปอังที่หน้าผากยิ่งตกใจใยเป็นเช่นนี้ นางยังมีชีวิตยังหายใจใช่หรือไม่ ข้าต้องรีบไปตามอาจารย์ใหญ่มาช่วยนาง
“อาจารย์ อาจารย์เจ้าคะท่านตื่นแล้วหรือยังเจ้าคะ ศิษย์ขออนุญาต เด็กคนนั้นร่างกายเย็นเฉียบเลย ท่านได้โปรดไปดูอาการนางด้วยเจ้าค่ะ”
มือเล็กเคาะที่ประตูไม้สามครั้งแล้วรอจนได้ยินเสียงตอบรับจากด้านในจึงเปิดแล้วก้าวเข้าไปด้านในพบอาจารย์ยืนถือลูกประคำอยู่อย่างสงบ
“อาจารย์ เมื่อครู่ข้าสัมผัสตัวนางมันเย็นมาก ข้าได้ป้อนยาตามเวลาที่ท่านกำหนดไว้แต่นางยังไม่ฟื้นขึ้นมา ท่านสามารถไปตรวจดูอาการของนางได้ไหมเจ้าคะ”
“เจ้ากลับไปเฝ้าดูนาง สักครู่อาจารย์จะตามไป”