หันไปมีทหารสามสี่นายสภาพน่าอนาถทั้งตัวสกปรกผมเผ้ายุ่งเหยิงบนหลังม้า เวลานี้ลงมายืนนอบน้อมอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง หนึ่งในนั้นก้าวขยับเข้ามาหาทั้งสองจำได้เป็นชายหนุ่มที่ทั้งสองเคยรักษามารดาของเขา เซิ่นหลางทรุดตัวลงดวงตาปริ่มไปด้วยน้ำตาในที่สุดพวกเขาก็สามารถทำสำเร็จ เขาออกมากับนายทหารหลายๆ กลุ่มแบ่งกันเป็นหลายเส้นทางตามหาบุรุษที่วาดภาพขึ้นเพื่อแจกจ่ายให้กับกลุ่มอื่นๆ ทุกคนที่เสี่ยงอันตรายออกตามหาเพื่อสิ่งเดียวเท่านั้นคือให้ท่านชินอ๋องปลอดภัย
“พวกข้าตามหาท่านมาสองวันแล้วขอรับ ได้โปรดตามข้ากลับไป”
“ไปที่ใด”
“ท่านเซียนรักษาคนต้องพิษได้ไหมขอรับ นายข้าได้รับอันตรายต้องการการรักษาจากท่านขอรับหากขาดเขาไปทั้งกองทัพต้องพ่ายแพ้ ชาวบ้านนับหมื่นนับแสนต้องเดือดร้อนขอรับ”
“ผู้รับพิษ.. อยู่ที่ใด”
“ที่กองทัพห่างจากที่นี่ไปยี่สิบลี้ได้ขอรับ”
ชายหนุ่มชุดขาวหันกลับไปสบตาอีกคน พร้อมก้าวเข้ามาจับข้อมือทหารคนนั้น เสกกระบี่บินพากันไปตามทิศทางที่เซิ่นหลางชี้มือ ทหารด้านหลังส่งเสียงตกใจ ก่อนจะหันมาถามกับทหารอีกคนที่ยืนอยู่
“นี่..เกิดอะไรขึ้นทั้งสามคนนั่นไปไหน”
“ข้าว่าพวกเขากลับไปที่ค่ายแล้ว พวกเรารีบขี่ม้าตามกลับไป เร็วเข้า”
ทั้งสองพูดจบก็ขึ้นหลังม้าขี่กลับไปพร้อมม้าอีกตัวที่ยามนี้ไร้คนขี่จึงต้องจูงสายคล้องไว้
เวลาเพียงดื่มชาถ้วยเดียว ชายหนุ่มชุดขาวพาทหารคนนั้นมาถึงหน้าประตูเมือง ทั้งสองหยุดมองประตูที่ปิดสนิท ทหารบนกำแพงสอบถามแล้วเมื่อได้ความว่ามีหมอมาด้วยก็รีบเปิดประตูต้อนรับ ทหารสอดแนมที่ถูกส่งออกไปกลับมาแล้วแต่ไม่พบคนในภาพวาด นี่เป็นกลุ่มสุดท้ายที่กลับเข้ามา บุรุษทั้งสองถูกพาไปยังกระโจมที่พักของชินอ๋อง ด้านหน้ารองแม่ทัพไหวเซิงก้าวเข้ามาขวาง มองด้วยสายตาดุดัน คนเบื้องหน้าคือชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ค่อนข้างจะบอบบางแบบบัณฑิต ใบหน้างดงามอย่างยิ่ง บนกายไม่มีเครื่องประดับ รัดผมปักปิ่นหยกสวมชุดขาวสะอาดตา อายุไม่มากจะเป็นหมอที่มีฝีมือได้อย่างไรนี่เป็นเล่ห์กลของศัตรูหรือไม่ ยิ่งมองยิ่งไม่เชื่อ
“ท่านแม่ทัพ ท่านนี้คือท่านหมอที่ข้าเรียนไว้ก่อนหน้านี้ขอรับ”
“ท่านเป็นใคร แน่ใจว่ารักษาได้ หมอในกองทัพตอนนี้ไม่มีใครกล้ารักษาท่านอ๋องสักคน”
ชายหนุ่มตรงหน้ายืนตรงใบหน้าไม่เปลี่ยนสีในคำพูดที่รุนแรง ไม่เอ่ยปากตอบยังคงยืนนิ่งสงบให้อีกฝ่ายจ้องมองราวกับไร้ความรู้สึก เซิ่นหลางเห็นท่าทางทั้งสองฝ่ายเกรงว่าท่านหมอจะมีโทสะจะมิยินยอมรักษาท่านอ๋อง จึงก้าวขึ้นมาเพื่อเอ่ยเตือน
“เอ่อ.. ท่านรองแม่ทัพ อาการของชินอ๋องทรงจำเป็นต้องรีบรักษานะขอรับ”
“เข้าไป จำไว้หากชินอ๋องทรงเป็นอะไรไป เจ้าและเจ้าทหารคนนี้ต้องตายตามไปด้วย”
รองแม่ทัพใบหน้าเคร่งครึมดวงตาแข็งกร้าว ส่งเสียงข่มขวัญเบาๆ ระหว่างที่ชายหนุ่มเดินเนิบๆ ไร้เสียงก้าวเท้าหายเข้าไปในกระโจม หมอทหารที่ยืนอยู่ถูกสายตานั้นกดดันของรองแม่ทัพรีบตามเข้าไปทันที ด้านนอกยังมีเสียงสอบสวนเซิ่นหลางที่นำพาชายหนุ่มมาด้วยเสียงดุดันดังเข้าไปในกระโจม
“เจ้าพาใครมากันแน่ อายุน้อยเพียงนี้จะรักษาท่านอ๋องได้หรือ”
“ท่านรองแม่ทัพ เป็นทั้งสองท่านนี้จริงๆ ขอรับพวกเขาให้ยาในขวดกระเบื้องเม็ดนั้นจริงๆ ขอรับจะให้ข้าสาบานก็ได้นะขอรับ”
“ถอยไป หากรักษาไม่ได้เจ้าก็เตรียมตัวรับโทษก็แล้วกัน”
หลังกำแพงเมือง หลังข่าวการบาดเจ็บและอาการของชินอ๋องหลุดออกไป ในวัดวาอารามและศาลเจ้าของเมืองล้วนมีเสียงสวดมนต์ภาวนาของชาวบ้านดังไม่ขาดสาย ตามบ้านเรือนก็มิได้ขาดเสียงภาวนาวิงวอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเซียนทั้งหลายโปรดเมตตาช่วยปกปักรักษาท่านอ๋องด้วยเถิด พวกเขาทั้งหลายล้วนเชื่อมั่นในความรักความเมตตาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลายปีที่สงบสุขมาได้นั้นเพราะบารมีของท่านอ๋องในด้านการศึกทำให้ศัตรูหวาดเกรงมิกล้าที่จะลุกล้ำเข้ามา ยามนี้หากสูญสิ้นท่านอ๋องไปพวกศัตรูต้องตีด่านนี้แตกได้แน่นอน พวกตนที่เป็นชาวบ้านล้วนต้องตายหรือทุกข์ยากแน่นอน เพราะเกิดที่นี่อยู่มาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่าไม่คิดจะอพยพย้ายไปตั้งรกรากที่อื่น คงได้แต่หวังให้ท่านอ๋องฟื้นขึ้นมา ในกองทัพเองก็เช่นกันเหล่าทหารต่างภาวนาในใจ ยามที่เดินเวรยามมักเหลียวไปมองที่พักของท่านอ๋อง
“นี่ข้าตายแล้วใช่หรือไม่.
ไป๋จินหลงย่ำเท้าเดินไปรอบตัวล้วนเป็นสีขาวสุดลูกหูลูกตา ในชีวิตข้าไม่เคยตั้งเป้าหมายไม่เคยมีปลายทางที่ต้องเดินไปให้ถึงมีเพียงการทำหน้าที่ของตนให้ดีที่็สุด พระราชบิดาไม่เคยรักใคร่ พระสนม(มารดา) ก็ไม่เป็นที่โปรดปรานไม่มีตระกูลสนับสนุนย่อมไม่สามารถช่วยเหลืออันใดแก่เขา คำว่าพี่น้องในราชวงศ์ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม ไม่มีสิ่งใดยึดเหนี่ยวหากต้องจากไปก็ไม่เสียใจใดๆ
“ท่านอ๋อง ชินอ๋อง….”
มีเสียงก้องสะท้อนไปมาเบาๆ
“ท่านอ๋อง ยังไม่ถึงเวลาของท่าน พวกเรายังพาท่านจากไปมิได้ ยังมีสิ่งที่ท่านต้องจัดการอีกมากมาย ท่านฟังดู ชาวบ้านของท่านทุกคนล้วนต้องการท่าน ท่านจะทิ้งทุกสิ่งไปได้อย่างไร จากนี้ทุกสิ่งจึงจะเป็นการเริ่มต้นที่แท้จริงของท่าน กลับไป…”
สิ้นเสียงทุกสิ่งก็วูบไป
“บาดเจ็บหนัก ต้องพิษ… อืม แต่ยังหายใจ ชีพจรยังมีแต่เบาบาง”
ในที่พักของชินอ๋อง มีที่ปรึกษา ขุนพลและนายกองหลายคนยืนร่วมกันด้านหนึ่งของห้อง หมอทหารที่ติดตามมาจากเมืองหลวงและหมอทหารประจำค่ายรวมกันหลายคนยืนอีกฝั่ง ทั้งหมดเหลียวไปมองชายหนุ่มชุดน้ำเงินที่ทหารเปิดผ้าม่านให้เข้ามา พวกเขาไม่มั่นใจในความสามารถของอีกฝ่าย ทั้งสองคนเป็นผู้เยาว์ท่าทางบอบบางคล้ายคุณชายเจ้าสำอางค์ไม่มีแรงแม้จะฆ่าไก่จึงพากันจ้องมองด้วยแววตาดูถูกดูแคลนไม่เชื่อถือ เมื่อชายหนุ่มชุดขาวตรวจอาการและจับชีพจรเสร็จก็ลุกจากเก้าอี้เดินไปหาชายชุดน้ำเงินที่เข้ามาด้วยกันแต่หยุดยืนห่างออกไปเล็กน้อย พยักหน้าให้กับชายชุดน้ำเงินที่ยืนดูอยู่เงียบๆ อีกฝ่ายไม่มีอาการใดตอบกลับจึงเอ่ยถามออกมาอย่างอดใจไม่ไหว
“เป็นอย่างไรบ้างอาการของคนผู้นี้”
“เวลาของเขาเกรงว่าจะเหลือไม่เกินสองราตรีแล้ว”
“เจ้า..จะช่วยรักษาให้เขาไหม”
"…….."
เซิ่นหลางที่ได้รับโอกาสเข้ามาดูการรักษาเพราะหากผิดพลาดเขาต้องรับผิดชอบด้วยการตัดศรีษะพร้อมกับชายหนุ่มที่เขาพามารักษาท่านอ๋อง เห็นท่าทางสงบนิ่งของท่านหมอชุดขาวก็รู้สึกว่าอาจมีความหวังในการรักษาก็ได้ ตนที่เคยสูญเสียบิดายามนี้ รู้เพียงว่าท่านอ๋องคือแสงสว่างของชาวบ้านและทหารที่ด่านแห่งนี้ ดังนั้นมิอาจปล่อยให้โอกาสในการรักษาหายไปได้ เขาก้าวเข้าหาท่านหมอทั้งสองก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่าห่างจากท่านหมอเพียงสองฉื่อก่อนจะส่งเสียงร้องขอ
“ท่านเซียน ได้โปรดช่วยท่านอ๋องด้วยเถอะข้าขอร้อง ยามนี้มิอาจสูญเสียท่านอ๋องได้ขอรับ ได้โปรดรักษาให้ด้วยขอรับ ข้ายอมเป็นม้าเป็นวัวรับใช้ท่าน"
“เจ้าคุกเข่าให้ข้าทำไม ลุกขึ้น”
“ท่านเซียน กรุณาให้ความเมตตากับชาวบ้านและทหารในค่ายด้วยขอรับ ขอท่านได้โปรดรักษาท่านอ๋องด้วยขอรับ”
"ท่านหมอที่ผ่านมาข้าพูดจาเกินสมควรขออภัยด้วย ได้โปรดช่วยรักษาท่านอ๋องให้พวกเราด้วยขอรับ ไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใดล้วนตอบแทนให้ทั้งสองได้ทั้งนั้น หากหามาให้ท่านไม่ได้ข้ายินดีเป็นข้ารับใช้ให้ท่านขอรับ”
เป็นเสียงท่านรองแม่ทัพไหวเซิงที่แทรกเข้ามาก เวลานี้คุกเข่าลงแล้ว คนด้านหลังต่างพากันทรุดตัวตามลงไป พวกเขาเดิมไม่คาดหวังกับการมาของชายหนุ่มแต่เมื่อเซิ่นหลางคุกเข่าโดยไม่ลังเลทั้งยังร้องขอประหนึ่งญาติสนิทของตนป่วยไข้ ทั้งสีหน้าและท่าทางของบุรุษในชุดขาวที่แสดงออกยามทหารหนุ่มคุกเข่าลงเบื้องหน้าเป็นแววตาที่เมตตาหาได้เป็นอย่างอื่น จึงพากันคาดหวังว่าอาจมีปาฏิหารย์ให้ท่านอ๋องสามารถรักษาจนหายได้
จิ่วเหมยฮวาพอจะทราบอาการของคนบนเตียงเมื่อผ่านการตรวจครั้งแรกแล้ว แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าจิตของอีกฝ่ายดูเหมือนเย็นชาไม่สนใจต่อการมีชีวิต ทั้งร่างกายก็ได้รับพิษทั้งยังมีธนูปักคาอกอยู่นับรวมแผลเก่าแผลใหม่บนกายแล้วจะเหนื่อยแรงไปเพื่อการใด สู่นางเก็บแรงไว้ช่วยคนที่ดิ้นรนอยากมีชีวิตอยู่ดีกว่า แต่เมื่อเห็นเซิ่นหลางก็ทำให้นางนึกถึงภาพชายชราที่จากไปเมื่อคราก่อน นางสัมผัสได้ถึงความคาดหวังของชายหนุ่มเบื้องหน้า ในเมื่อมีความเชื่อมั่นต่อนางเช่นนี้ก็จะช่วยเหลือสักคราแล้วกัน