พระพักตร์ที่ยามนี้บ่งบอกความเกรี้ยวกราดในอารมณ์เป็นอย่างดี โบกพระหัตถ์ให้ขันทีเข้าไปพยุงทหารออกไปส่ง ก่อนจะเริ่มตรัสด้วยเสียงดังและห้วนเข้ม
“พวกเจ้าเป็นขุนนางมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของชาวบ้านเกิดสงครามนานขนาดนี้ชาวบ้านทุกข์ยากหนีไฟสงคราม ใครจะรับผิดชอบเรื่องนี้ แม้ชายแดนจะส่งสารมาไม่ถึงแต่มิได้หมายความว่าหัวเมืองที่อยู่ติดชายแดนจะไม่ได้รับข่าวคราว ในเมื่อชาวบ้านมีการอพยพหนีไฟสงคราม ขุนนางของเจิ้นเหล่านั้นทำอะไรกันอยู่มั่วแต่กินนอนอย่างสุขสบายไม่ได้ทำหน้าที่ใช่หรือไม่ หลังสงครามครานี้เสร็จสิ้นเจิ้นจะลงโทษขั้นเด็ดขาดทั้งหมด ราชอาลักษณ์บันทึกคำพูดข้าไว้ทั้งหมด”
“พะยะค่ะ”
“เรื่องเร่งด่วนคือการส่งทัพหนุนและเสบียงไปช่วยเหลือ พวกเจ้าใครอาสานำทัพในครั้งนี้”
สิ้นสุรเสียงขุนนางก็แบ่งฝ่ายเสนอตามฝ่ายที่ตนสนับสนุนทันที ทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ตะโกนแข่งกันเสียงดังไปทั่ว สถานการณ์นี้เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งในเส้นทางสู่เก้าอี้มังกรในอนาคตทั้งกำลังทหารและผลงานที่ตามมา ทำให้ต่างฝ่ายต่างโจมตีกันสลับไปมา
“สถานการณ์คับขันยิ่งนัก ทรงให้ชินอ๋องนำทัพเถอะพะยะค่ะ ประสบการณ์การออกรบเป็นที่ประจักษ์นะพะยะค่ะ”
“ชินอ๋องทรงมีประสบการณ์มาก แต่รัชทายาทก็เหมาะสมยิ่งเช่นกันพะยะค่ะ ทรงมีความสามารถในการวางแผนและการบริหาร ย่อมสามารถดูแลควบคุมความวุ่นวายได้พะยะค่ะ”
“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว เหตุการณ์เร่งด่วนเช่นนี้พวกเจ้ายังมองแต่ผลประโยชน์ ชาวบ้านล้วนเดือดร้อนพวกเจ้าก็ไม่ใส่ใจช่างเป็นขุนนางที่น่าภาคภูมิใจของข้าเสียเหลือเกิน เจิ้นให้ชินอ๋องนำทัพ อู่อ๋องควบคุมทัพเสบียงตามไปสมทบ รัชทายาทอยู่ช่วยเจิ้นบริหารราชกิจและจัดเตรียมทหารเข้าขบวนไปชายแดน รวบรวมข้อมูลและเสบียงเพิ่มเติม มีใครอยากแย้งความคิดของเจิ้นไหม”
คำเรียกขานแทนตัวของฝ่าบาทเปลี่ยนไปแล้วแสดงว่าถึงขีดสุดของพระองค์ ฮองเต้ที่เคยมีพระพักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใสอบอุ่นตลอดเวลาแล้ว ยามนี้ยังจะมีขุนนางคนใดต้องการโผล่ศรีษะยื่นออกไปขัดพระทัยกันเล่าตนยังต้องการเก็บคอไว้บนไหล่เช่นเดิม ได้แต่ก้มหน้ามองเท้าตนเองไม่ส่งเสียงให้เป็นที่ขัดพระทัยแม้แต่น้อย
“ดี เลิกประชุม ขุนนางที่เกี่ยวข้องยังไม่รีบไปจัดการอีก”
ตรัสไล่ขุนนางก่อนที่ขันทีจะรีบเลิกการประชุม ยังไม่ทันสิ้นเสียงของขันที ร่างสง่าในชุดสีทองก็สะบัดชายแขนเสื้ออย่างขัดพระทัยลุกออกไปไม่เห็นเงาเสียแล้ว ขุนนางทุกระดับเงยหน้าขึ้นมายังแปลกใจไปตามๆ กัน ก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปจัดการงานของตน เมืองหลวงวุ่นวายจัดเตรียมทัพและเสบียงตั้งแต่บนลงล่าง
ตำหนักฮองเฮา
ฮองเฮาหลิว หลิวอิ๋นหรู บุตรสาวอดีตราชครูในรัชกาลก่อน พระพักตร์ยังคงงดงามแม้ว่าจะล่วงเลยมาสี่สิบห้าปีแล้วแต่ยังดูคล้ายสามสิบต้นๆ พระญาติฝ่ายพระนางต่างมีความมั่นคงในหน้าที่การงานทั้งกิจการในตระกูลหลิวก็กลายเป็นอันดับหนึ่งไม่มีผู้ใดเทียบเคียงขึ้นมาได้ น้องชายเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายซ้าย หลานสาวเกี่ยวดองกับเจ้ากรมพระคลัง เรียกได้ว่ามองไปทางใดก็ล้วนเป็นคนของตระกูลหลิวทั้งสิ้น พระนางกำลังนั่งรอพระโอรสองค์เล็กที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวไปทั่ว ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับราชกิจตามที่พระนางต้องการแม้แต่น้อย
“เสด็จแม่ หม่อมฉันถวายบังคม ทรงพระเจริญ พันปี พันๆปี”
“อู่อ๋อง เจ้ายังมาตำหนักข้าได้ถูกแล้วหรือ เจ้าหายหน้าหายตาเกือบปี ข้าเกือบจะลืมเจ้าไปแล้ว”
“ทรงไม่ลืมกระหม่อมหรอกพระเจ้าค่ะ ทรงรักกระหม่อมมากที่สุด นี่ของฝากจากชายฝั่งทะเลใต้พะยะค่ะ”
“รัชทายาทไปไหนล่ะ เหตุใดไม่มาพร้อมเจ้า”
“ชายแดนเหนือมีปัญหา เสด็จพ่อทรงแต่งตั้งชินอ๋องคุมกองทัพและเสด็จพี่ควบคุมการจัดทหารที่จะไปเสริมทัพจึงกำลังวุ่นวาย อีกสักครู่กระหม่อมก็ต้องไปเตรียมตัวเช่นกันพะยะค่ะ หม่อมฉันรับผิดชอบเสบียงไปยังด่านชายแดน”
“เจ้าพึ่งมาก็ต้องไปอีกแล้ว เอาเถอะๆ เจ้าก็เตรียมหมอหลวงและโอสถให้มากหน่อย ขันทีที่ไว้ใจได้นำไปด้วยแล้วก่อนออกเดินทาง เจ้าอย่าลืมแวะไปถวายพระพรไทเฮาสักครา”
“กระหม่อมทราบแล้วพะยะค่ะ
ฮองเฮาได้ฟังคำของพระโอรสองค์เล็กก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็มิได้แสดงสีหน้ายังคงรอยยิ้มอ่อนโยน ตรัสเตือนพระโอรสในการเตรียมตัวและเดินทางไปชายแดนเกี่ยวกับอันตรายต่างอย่างเป็นปกติ
ในตลาดภายในเมืองหลวงทุกแห่งล้วนมีข่าวการเตรียมทัพไปชายแดนเหนือเป็นหัวข้อการพูดคุยที่ชาวบ้านพูดจากันตลอดทั้งวัน บางครอบครัวกำลังมีความรู้สึกหดหู่เป็นกังวลกับพี่น้องที่ต้องเดินทัพ ตามวัดและศาลเจ้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ มีแต่ควันธูปและเสียงขอพรขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ป้องกันตัวดังตลอดทั้งวัน บางแห่งต้องเปิดตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนเพราะจำนวนคนไปสักการะมากเกินกว่าจะรับได้ในยามกลางวันตามปกติ บนถนนมีเสียงเกวียนและรถม้าที่จัดเตรียมสิ่งของส่งเข้าไปในค่ายทหารแทบตลอดทั้งวัน ในค่ายเองก็ครึกครื้นไม่ต่างกับภายในเมืองการตรวจนับอาวุธ เสบียงและอุปกรณ์เดินทัพถูกดำเนินการอย่างละเอียด ท่ามกลางแดดที่ร้อนแรงชุดของทหารต่างชุ่มไปด้วยเหงื่อเช่นเดียวกับชินอ๋องที่ได้รับพระราชโองการก็อยู่ในค่ายทหารตลอดเวลามิเคยกลับจวนสักวัน
บนกำแพงเมือง ฮ่องเต้ ฮ่องเฮา รัชทายาทและขุนนางล้วนมายืนส่งทหารออกเดินทาง ชินอ๋องนำหน้าขุนพลในฐานะแม่ทัพ ทัพหลวงออกเดินทัพมุ่งหน้าไปชายแดนอย่างรีบเร่ง ในสองวันถัดไปขบวนเสบียงที่มีเกวียนนับหลายร้อยเกวียนก็ออกเดินทางมีอู่อ๋องคุมเสบียงตามหลังไป
ผ่านมาสี่ปีกว่ายามนี้นางมีอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีได้ผิวพรรณกระจ่างใสอาจเป็นเพราะการบำเพ็ญเพียร จิ่วเหมยฮวาที่มีความก้าวหน้าแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในอาราม ท่านอาจารย์ยังบอกว่าพลังวิญญาณของนางดูละเอียดบางเบาบางครามีแสงเปล่งประกายคล้ายเทพเซียน(พวกท่านอาจจะคิดไปเอง) นางก็ยังรู้สึกว่าตนยังคงห่างชั้นจากปรมาจารย์อีกยาวไกล
วันนี้อากาศดีมาก หลังทำงานช่วงเช้าเสร็จเรียบร้อย ศิษย์พี่ชวนข้าไปธารน้ำเพื่อซักผ้า ความจริงแล้วก็เป็นเพียงข้ออ้างออกจากอารามตามที่เราสองนัดกันไว้เพื่อหาโอกาสไปเที่ยวบนเขาและลิ้มรสเนื้อสัตว์ แม้นางจะฝึกตนบำเพ็ญเพียรแต่ความสามารถในอดีตนางก็ยังไม่เคยละทิ้ง เมื่อมีโอกาสมักจะเก็บสมุนไพรที่แตกต่างออกไปรวมทั้งการทดลองนำผลไม้ป่าชนิดต่างๆ มาใช้ปรับรสชาติสมุนไพร
เมื่อสามวันก่อนจิ่วเอ๋อร์เก็บยายหลานสองคนที่นั่งหมดแรงอยู่ริมทางระหว่างกำลังจะกลับขึ้นเขา นางได้เห็นสภาพของคนทั้งคู่แล้วรู้สึกสงสารจึงไปสอบถามได้ความว่าทั้งคู่ไม่เหลือคนในครอบครัวแล้ว ทั้งสองเดินด้วยเท้าอพยพมาจากชายแดนทางเหนือระหว่างทางถูกปล้นแย่งชิงทรัพย์สินจนหมด ไม่มีเงินซื้อเสบียงอาหารอดมาหลายวันได้กินเพียงน้ำเปล่าจากบ่อน้ำลำธารประทังชีวิต บางคราโชคดีก็ได้ผลไม้ริมทาง จึงพาทั้งสองไปขอความเมตตาจากอาจารย์ ได้พักอาศัยชั่วคราว
“เรารีบซักผ้าให้เสร็จ ศิษย์พี่ตั้งใจชวนเจ้าไปเที่ยวเล่นดีหรือไม่ ฮวาเอ๋อร์”
“ศิษย์พี่ ครานี้เราลองเดินเลียบลำธารขึ้นไปหาน้ำตกดีหรือไม่ พวกเรายังไม่เคยเดินไปทางนั้นเลยนะ”
“จิ่วเอ๋อร์เจ้าเก็บมาเยอะแล้วนะ”
“พวกเรากลับกันเถอะฮวาเอ๋อร์ ที่นี่ไกลมากระวังจะกลับไม่ทัน เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ”
“เจ้านี่เป็นต้นไม้ที่แปลกตา ข้าไม่เคยเห็นในคัมภีร์ ต้องขุดกลับไปศึกษา ด้านนั้นก็มีอีกหลายชนิด ศิษย์พี่ท่านยืนรอข้านิ่งๆสักครู่”
“เจ้านี่นะ.! บอกว่าจะมาเที่ยวเล่น กลับมานั่งขุดต้นไม้ใบหญ้าไปศึกษา ช่างน่าเบื่อ”
ในตะกร้ามีต้นสมุนไพรหลากหลายชนิดที่ชอบขึ้นตามที่ชื้นแฉะริมน้ำอีกทั้งผลไม้ขนาดเล็กหลายลูกวางอยู่มุมหนึ่งของตะกร้า สองมือที่เล็กเรียวยังคงบรรจงขุดต้นพืชหน้าตาแปลกประหลาด
“ศิษย์พี่ ท่านก็เรียนวิชาจากอาจารย์พร้อมข้า ท่านไม่สนใจพวกมันเหรอเจ้าคะ มาช่วยกันเก็บดีกว่าแล้วเรานำไปถามอาจารย์กันนะเจ้าคะ”
“ศิษย์พี่ ท่านเคยออกจากอารามบ้างไหม?"
“เคย... ข้าเคยออกไปครั้งหนึ่งแต่นานมากแล้ว”
แกรก แกรก... จิ่วเหมยฮวารู้สึกเหมือนว่าเสียมเล็กในมือนางกระทบหินหรือเปล่านะ นางวางเสียมในมือลงก่อนจะใช้มือคุ้ยดินด้านบนออกงัดขึ้นมาเป็นก้อนหินกลมผิวเรียบมองดูสวยงามเป็นมันเงารูปทรงเหมือนไข่แต่มีขนาดใหญ่กว่าไข่ไก่ นางรู้สึกสนใจจึงเก็บกลับไปด้วยอย่างน้อยก็วางประดับในห้องได้ ด้วยกลัวเป็นรอยนางตัดหญ้าวางรองก่อนจะวางก้อนหินแล้วคลุมด้วยต้นหญ้าอีกชั้น(ไว้ก้นตะกร้านี่แหละ) มองดูแสงตะวันแล้วสมควรแก่เวลาวันนี้พอแค่นี้ก่อนเดี๋ยวกลับไปไม่ทันตะวันลับฟ้า พวกนางได้นอนนอกอารามพร้อมคัดคัมภีร์ห้าสิบจบแน่