ทหารที่อยู่ในเมืองบาดเจ็บล้มตาย เสบียงลดน้อยลงแทบมีชีวิตอยู่ไม่ได้จำเป็นต้องรายงานส่งสาร์นไปกราบทูล นับเดือนที่ส่งไปไม่มีสิ่งใดตอบรับกลับมา ทหารที่เฝ้าประตูเฝ้ากำแพงเมืองเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลสายตาทอดยาวออกไปต่างรอคอยความหวัง เมืองหลวงจะส่งทัพใหญ่และเสบียงมาเสริม ในโถงประชุมแม่ทัพใหญ่ประจำเมือง ขุนพล นายกองและที่ปรึกษาต่างร่วมประชุมเตรียมการรบอยู่ด้วยกัน
“ท่านแม่ทัพเสบียงลดน้อยลงมาก ทหารก็บาดเจ็บล้มตายลง ม้าเร็วที่ไปเมืองหลวงเพื่อส่งรายงานขอเสบียงและกำลังพลสามครั้งสามคราแล้ว เหตุใดไม่มีข่าวสารแจ้งกลับมาสักที”
“จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าม้าเร็วที่พวกเราส่งออกไปทั้งหมดไม่สามารถไปถึงเมืองหลวงได้ บางทีอาจมีศัตรูดักลอบซุ่มโจมตีระหว่างทางก็เป็นได้นะขอรับ”
“ท่านแม่ทัพ ข้ามีความเห็นว่าเราควรจัดเตรียมม้าเร็วและองค์รักษ์แบ่งออกเป็นหลายๆกลุ่ม ออกจากกำแพงเมืองพร้อมๆกัน แยกย้ายกันมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงอาจจะพอมีหวังที่จะบุกทะลวงออกไปส่งรายงานได้นะขอรับ”
“เช่นนั้นก็ประกาศออกไปกองทัพต้องการคัดเลือกผู้ทำหน้าที่นี้ ผู้สมัครใจนำสารออกไปเมืองหลวงอาจจำเป็นต้องเสียสละชีวิตก็ได้”
ก่อนตะวันส่องแสงสามกองทหารพุ่งทะยานออกจากประตูเมืองแยกเป็นสามทิศทางตีฝ่าวงล้อมศัตรูเสียงสะท้อนอาวุธกระทบกันดังขึ้นจนจางหายไปบนกำแพงเมืองสายตานับร้อยนับพันเพ่งดูและส่งกำลังใจให้กับผู้กล้าของกองทัพที่พวกเขารู้ตัวดีออกไปครั้งนี้มีแต่ตายเท่านั้น ขอให้พวกเจ้ารอดพ้นไปถึงเมืองหลวงได้สักเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือความหวังทางรอดของคนทั้งเมืองฝุ่นผงจางหายไป จากนี้คือการเฝ้าระวังและตอบโต้ป้องกันกำแพงเมืองให้ปลอดภัยจากชนเผ่าที่โหดเหี้ยมรอคอยความหวังจากเมืองหลวง
เมืองหลวงแคว้นเฟิ่ง
ท้องพระโรงที่หรูหราสง่างาม ผ้าม่านปักลวดลายทิ้งตัวจากเพดานประดับประดาอย่างงดงามบ่งบอกความมั่งคั่งทหารยืนยามหลังตรงเงียบเฉียบขาด ข้าราชการบริพารทยอยเดินเข้าร่วมประชุมเช้ามีเสียงพูดคุยกันเบาๆ ขึ้นบันไดเข้าไปยืนตามตำแหน่งแยกซ้ายขวาฝ่ายบุ๋น(ปกครอง/บริหาร) ฝ่ายบู๋(ทหาร)
“ชินอ๋อง เสด็จ”
ชินอ๋องพระอนุชาของฮองเต้ผู้ที่เก่งกาจเชี่ยวชาญการรบ ปีนี้ยี่สิบชันษา เสียดายกำเนิดจากพระสนม เสียงฝีเท้าเบาทว่ามั่นคง ใบหน้าซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากสีเงิน ริมฝีปากบาง แววตาเฉียบคม สวมอาภรณ์สีดำ ปักลวดลายมังกรสีเงินดวงตามังกรปักด้วยสีแดงสด
“ท่านอ๋องห้า เสด็จ”
อู่อ๋อง อายุสิบแปดชันษาโอรสในฮองเฮา พระเชษฎาคือองค์รัชทายาทมีความอ่อนโยน เชี่ยวชาญด้านอักษรและการดนตรี
“รัชทายาท เสด็จ”
พระโอรสองค์โตของฮองเฮา อายุยี่สิบสองชันษาสูงสง่าใบหน้าหล่อเหลาคล้ายคลึงฮ่องเต้สามส่วนคล้ายฮองเฮาสองส่วนใบหน้ายิ้มบางตลอดเวลาสวมชุดรัชทายาทก้าวขึ้นยืนเบื้องขวาของเก้าอี้มังกร หันไปทักทายอ๋องทั้งสองที่เข้ามาก่อน
“ถวายบังคม รัชทายาทพะยะค่ะ”
“ตามสบาย”
น้ำเสียงฟังคล้ายเป็นมิตร เหลือบตามองชินอ๋องเพียงกระพริบตาก่อนมองไปยังอู่อ๋อง
“น้องห้า เจ้ากลับมาถึงเมื่อใด หลายเดือนที่ผ่านมาเสด็จแม่ทรงบ่นถึงเจ้าหลายครา มีสิ่งใดมาทำให้เสด็จแม่สำราญพระทัยหรือไม่ หากไม่เจ้าคงต้องรับโทษที่หายไปหลายเพลา”
“หม่อมฉันเดินทางไปถึงชายฝั่งทะเลได้มีโอกาสนำสิ่งแปลกใหม่จากชาวต่างแดนที่นำมาแลกเปลี่ยนที่นั่น อีกทั้งอาหารรสชาติแปลกใหม่ หลังประชุมเสร็จตั้งใจจะนำไปที่ตำหนักเสด็จแม่ เชิญเสด็จพี่ทั้งสองด้วยนะพะยะค่ะ”
“ได้”/“อืม”
“ฝ่าบาทเสด็จ”
เสียงแหลมของขันทีดังขึ้นหน้าม่าน ก่อนที่ชายฉกรรจ์อายุสี่สิบเจ็ดปีใบหน้าบ่งบอกความหล่อเหลาในวัยหนุ่มในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองทองปักลวดลายมังกร พระเนตรเป็นประกายคมกล้า ประสบการณ์ผ่านการต่อสู้และการชิงไหวชิงพริบในวงราชการก่อนที่จะขึ้นสู่บัลลังก์ทองอย่างยิ่งใหญ่ในหลายสิบปีที่ผ่านมา ผู้ที่อยู่เหนือคนนับแสนนับล้านในแคว้นเฟิ่ง ก้าวเท้าไม่ข้าไม่เร็วขึ้นยืนหน้าเก้าอี้มังกร
“ถวายพระพร ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี”
“ขุนนางทั้งหลายลุกขึ้นได้”
“เริ่มการประชุมได้”
เสียงแหลมของขันทีขานดังก้องทั้งท้องพระโรง
“ทูลฝ่าบาท การรวบรวมเสบียงและเก็บภาษีในปีนี้เรียบร้อยดีเนื่องจากสภาพอากาศและน้ำบริบูรณ์ชาวบ้านทำไร่ทำนาได้ผลดี การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมดี แพรพรรณไม่มีปัญหาแต่อย่างใด คาดว่าปีนี้ภาษีน่าจะได้ตามเป้าที่พระคลังต้องจัดการเก็บพะยะค่ะ”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายหลิวหลิงฝั่นควบคุมพระคลังรายงานเป็นคนแรกซึ่งเป็นรายงานทั่วไปขุนนางต่างรับฟังจนกระทั่งมีเสียงก้องกังวาลปลุกให้ทุกคนตั้งใจฟังขึ้นมา
“ฝ่าบาท กระหม่อมหลิวโฮวหมิงมีเรื่องทูลเกี่ยวกับการคัดเลือกขุนนางใหม่ ปีนี้ครบกำหนดสามปีแล้วพะยะค่ะ ต้องจัดสอบสรรหาผู้มีความรู้ความสามารถมีจริยธรรมสูง ไม่ทราบจะดำเนินการอย่างไรพะยะค่ะ”
เสนาบดีฝ่ายขวาหลิวโฮวหมิงพี่ชายฮองเฮาเอ่ยด้วยเสียงอันดัง หัวข้อนี้เป็นประเด็นร้อนแรงการคัดเลือกขุนนางคือโอกาสในการจัดสรรที่ว่างให้กับคนในสังกัดของตนได้เข้ารับราชการเพื่อผลประโยชน์ในอนาคตทั้งสิ้น การเสนอชื่อผู้ทำหน้าที่คัดเลือกนับว่าส่งผลต่อทุกคนทั้งสิ้นท้องพระโรงที่แต่เดิมเงียบอยู่ก็มีเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ จากนั้นก็เริ่มดังเพิ่มมากขึ้นตามความร้อนแรงของรายละเอียดที่ถกเถียงกัน
การคัดเลือกขุนนางใหม่ที่เวียนมาครบกำหนดสามปีเดิมสมควรจะต้องจัดสอบสรรหาผู้มีความรู้ความสามารถมีจริยธรรมสูง เป็นเรื่องที่อยู่ในพระทัยของฮองเต้มาสักระยะหนึ่งด้วยรู้ว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนถ่ายขุนนางที่ดีและเลวเข้ามาในรัชสมัยที่พระองค์เพ่งเล็ง สายพระเนตรกวาดมองหลายคนอย่างเงียบๆ แม้ภาพลักษณ์ของพระองค์จะดูมีความเมตตา ฟังความคิดเห็นของขุนนางแต่ก็ทรงมีจุดยืนที่ยึดมั่นในการปกครองบ้านเมืองเสมอมา ครั้งนี้พระองค์ก็มีแผนการณ์ของพระองค์อยู่เช่นกัน
เมื่อเสนาบดีฝ่ายขวาหลิวโฮวหมิงพี่ชายฮองเฮาเปิดประเด็นร้อนแรงเรื่องการคัดเลือกขุนนางย่อมเป็นโอกาสในการจัดสรรขุนเข้ารับราชการเพื่อผลประโยชน์ในอนาคต พระองค์ย่อมต้องยินดีที่จะลอยเรือตามน้ำจึงกล่าวด้วยเสียงเรียบๆ ไม่ดังจนเกินไปนัก
“ขุนนางทั้งหลายพวกท่านปรึกษาหารือกันสักระยะหนึ่งแล้ว เจิ้นอยากฟังว่าขุนนางทั้งหลายเห็นควรให้ผู้ใดรับผิดชอบในการจัดสอบในปีนี้”
“กระหม่อมคิดว่าองค์รัชทายาททรงมีความสามารถในการบริหารราชการ เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งพะยะค่ะ”
“กระหม่อมคิดว่าชินอ๋องเหมาะสมเช่นกันทรงมีความสามารถทั้งด้านบริการและการทหารพะยะค่ะ
เสียงของเหล่าขุนนางมราพากันออกมาถวายความคิดเห็นสนับสนุนคนที่ตนชื่นชอบหรือฝักฝ่ายอยู่เซ็งแซ่ ในแถวมีเสียงที่เริ่มถกเถียงกัน รัชทายาทและชินอ๋องต่างยืนนิ่งมองดูการพูดถกเถียงกันไปมา ในที่สุดฮ่องเต้ก็เริ่มไม่พอพระทัย
“หยุดเถียงกันได้แล้ว ยังพอมีเวลาเจิ้นจะพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งในภายหลัง ยังมีเรื่องใดจะรายงานอีกไหม”
ทันใดมีเสียงทหารตะโกนแทรกจากนอกประตูเข้ามา
“ขอถวายรายงานด่วนจากชายแดนพะยะค่ะ”
ขุนนางทุกคนพากันเหลียวหลังไปตามเสียงนั้น แสงจากด้านนอกทำให้เห็นได้ผู้ที่วิ่งเข้ามาไม่ชัดเจน เป็นทหารในชุดพร้อมรบหมวกที่บิ่นแหว่งเอียงลงเล็กน้อย ทรุดตัวคุกเข่าด้านในประตูไม่ได้วิ่งต่อเข้ามาเบื้องหน้าราชบัลลังก์
“ข่าวด่วนจากชายแดนเหนือกระหม่อมเป็นทหารส่งสารสังกัดหน่วยพยัคฆ์คำรามพะยะค่ะ”
“เหตุใดไม่เข้ามาเบื้องหน้าพระพักตร์ ให้เข้ารายงานได้”
ทหารคนนั้นเมื่อได้ยินเสียงขันทีข้างฝ่าบาทตำหนิได้ยินทั่วรีบลุกขึ้นเดินเกือบเป็นวิ่งเข้ามาร่างกายอาบไปด้วยเลือดและฝุ่นบนเสื้อผ้าไม่มีสักส่วนที่เห็นสีเดิมทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผล โซเซเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้าท่ามกลางขุนนางที่ถอยออกด้านข้างเว้นช่องกลางให้เขาที่ถลาลงมาคุกเข่ากระบอกปิดผนึกที่สะพายและผูกไว้อย่างแน่นหนาเขารีบแก้เชือกยื่นกระบอกขึ้นสูงเหนือศรีษะ
ฮองเต้คิ้วขมวดเพราะเหตุการณ์นี้สภาพของทหารบอกเหตุโดยไม่ต้องคิดให้มากความเลยว่านี่เป็นเรื่องร้ายแรง รีบโบกพระหัตถ์ให้ขันขีประจำพระองค์รีบเดินลงไปหยิบก่อนรีบนำขึ้นถวาย ขันทีแกะออกถวายให้ทรงทอดพระเนตรตัวอักษรที่เขียนไว้ท่ามกลางสายตาขุนนาง ใบหน้าและดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธเกรี้ยว
“บังอาจ!! พวกเจ้าเห็นข้าเป็นอะไร ปิดบังข่าวสารจากชายแดนสมควรลงโทษเช่นไร”
“มีเหตุอันใดที่ชายแดนเหนือ พะยะค่ะ”
รัชทายาทเห็นท่าทางและน้ำเสียงที่เกรียวกราดต่างจากปกติโดยทันที รีบถามขึ้น
“พวกโจรนอกด่านรวมหัวกันตีเมือง ปล้นสะดมชาวบ้าน เป็นเวลานานเดือนกว่าแล้ว เหตุใดไม่มีการถวายรายงานเข้ามาพวกเจ้าทำอะไรกันอยู่พูดมา”
เสียงตรัสอันเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนบ่งบอกถึงความร้ายแรงของเนื้อหาภายในเอกสารฉบับนั้นได้เป็นอย่างดี ในท้องพระโรงแห่งนี้ต้องมีขุนนางที่ทรยศร่วมมือกับข้าศึกภายนอกแน่นอนการรบยาวนานหลายเดือนเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีข่าวสารรายงานมาให้พระองค์ได้รับรู้นอกจากมีพวกที่ค่อยบิดเบือนปิดบังเอาไว้ นี่เป็นเรื่องที่พระองค์จะต้องจัดการในภายหลังตอนนี้จำเป็นต้องแก้ไขเหตุการณ์ให้คลี่คลายเสียก่อน
“ทหาร เจ้าพูดมาสิว่าเหตุใดเจ้าจึงมารายงานในวันนี้ได้”
“ทูลฝ่าบาท ท่านแม่ทัพได้ส่งม้าเร็วมาถวายรายงานหลายครั้งหลายคราแล้วพะยะค่ะ กองทัพได้แต่เฝ้ารอแต่ไม่มีการตอบกลับไปจึงคาดเดาว่าน่าจะมีคนร้ายดักลอบสังหารทหารที่เดินทางมาส่งรายงานก็ได้ แล้วเมื่อสิบวันที่ผ่านมาเหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายลงมาก ที่ปรึกษาจึงเสนอให้ส่งม้าเร็วออกมาเป็นหลายๆกลุ่มฝ่าทะลวงออกมาพร้อมกันอาจมีสักกลุ่มที่สามารถรอดมาถึงเมืองหลวงได้ คิดว่ามีเพียงกระหม่อมที่รอดมาได้พะยะค่ะ”
“เจิ้นรู้แล้วเจ้าออกไปพักได้รักษาตัวให้หายดีจะได้เดินทางกลับไปช่วยพี่น้องของเจ้าที่ชายแดนพร้อมกองทัพเสริมจากเมืองหลวง”
“ขอบพระทัยที่ทรงพระกรุณา กระหม่อมจะต้องกลับไปช่วยพวกเขาแน่นอนพะยะค่ะ”