“กลับกันเถอะ จิ่วเอ๋อร์ พวกเราต้องรีบเดินให้ไวถ้าช้ากว่านี้พวกเราอาจกลับไม่ทันเวลาปิดประตูนะ”
แสงแดดเหลือน้อยมากแล้วสองคนเดินกึ่งวิ่งกลับมาถึงอาราม บรรยากาศดูวุ่นวายไม่เหมือนปกติมีอาจารย์เดินไปเดินมาอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นทั้งสองรีบวิ่งตามอาจารย์หลายท่านที่พากันเดินอย่างรวดเร็วไปทางห้องพักอาจารย์
“พวกเจ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ใหญ่ไปอยู่ที่ไหนกันมาจึงกลับมาป่านนี้ ท่านอาจารย์ใหญ่ หมดสติตั้งแต่หลังเที่ยงอาจารย์รองกำลังดูแลอยู่ด้านใน ยังไม่รีบเข้ามาดูแลอาจารย์ของเจ้าอีก”
เสียงตำหนิเบาๆจากอาจารย์เหยาอวี่ที่ยืนอยู่ใกล้ประตูห้องพักท่านอาจารย์ดังขึ้นเมื่อมองเห็นทั้งสองยืนแอบอยู่ด้านข้าง
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ พวกเราสองคนขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรไม่ได้อยู่ในอารามไม่ทราบว่าอาจารย์ไม่สบาย พวกศิษย์ขอเข้าไปดูแลท่านอาจารย์นะเจ้าคะ”
พวกนางรีบค้อมตัวอย่างนอบน้อมผ่านประตูเข้าไป
“อาจารย์ของพวกเจ้าน่าจะรู้ว่าป่วยมาเป็นเวลานานแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้มาก่อนนางจงใจปิดบังอาการไว้มองภายนอกเหมือนไม่รุนแรง อายุที่เพิ่มมากขึ้นกำลังวังชาย่อมน้อยลงมีผลต่ออาการทั้งช่วงนี้ปลายฤดูอากาศเปลี่ยนแปลงไอร้อนไอเย็นภายนอกกระทบทำให้้อาการทรุดหนัก ตอนนี้โอสถที่มีในอารามได้ข้าลองให้อาจารย์ของเจ้าทานเข้าไปแล้วทำได้เพียงแค่ประคองอาการไว้เท่านั้น ข้าคิดว่าจะไปค้นหาวิธีรักษาจากคัมภีร์เพิ่มเติม หากไม่มีหนทางคงต้องปล่อยวาง พวกเจ้าก็ดูแลอาจารย์เจ้าให้ดี หากมีอะไรไปตามข้าที่หอคัมภีร์”
อาจารย์รองเดินจากไปพร้อมเสียงบ่นพึมพำเบาๆ พวกเราทุกคนในอารามต่างรู้ดีการบำเพ็ญเพียรมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป็นเซียน เมื่อบรรลุแล้วย่อมมีชีวิตไม่สิ้นสุดสภาพร่างกายไม่แตกดับ การบำเพ็ญต้องเลื่อนขั้นขึ้นไปจนผ่านขั้นเก้า ท่านอาจารย์ใหญ่ติดอยู่ขั้นแปดเป็นเวลาหลายสิบปีไม่สามารถก้าวข้ามขึ้นไปได้ ดังนั้นเมื่อเจ็บป่วยก็ยากหลีกหนีการดับสูญเช่นคนธรรมดาได้ ทั้งสองมองร่างอาจารย์ของนางที่ผอมบางแต่เดิมนอนเหยียดยาวบนเตียงการหายใจแผ่วเบาอ่อนแรงด้วยความรู้สึกหดหู่
ลำดับขั้นในการบำเพ็ญเพียรที่นางได้รับการสั่งสอนมาแบ่งออกเป็นขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นสูง สามขั้นคือสิ่งที่บันทึกไว้ในคัมภีร์
(ขั้นหนึ่งถึงสามเป็นขั้นต้นบรรลุแล้วความสามารถมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปเพียงสามารถเคลื่อนไหวได้ร่างกายแข็งแรง คล่องแคล่วว่องไวยังไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ บรรลุขั้นต้นสามารถมองเห็นสีของพลังวิญญาณเป็นสีเหลือง
ขั้นกลางสี่ถึงหกบรรลุแล้วหมดความอยากได้อยากมี ลดความต้องการอาหาร ร่างกายสะอาดผ่านการชำระล้างกายใจ ร่างกายสามารถฝึกเวทย์ขี่กระบี่บินไปมาได้ สามารถมีอายุยืนยาวเพิ่มขึ้นหลายสิบปี บรรลุขั้นกลางสามารถมองเห็นสีของพลังวิญญาณเป็นสีฟ้า
ขั้นเจ็ดถึงขั้นเก้ายากบรรลุถึงสามารถละทิ้งความโกรธ ความอยาก หากไม่สามารถบรรลุถึงระดับเก้า บรรลุขั้นสูงสามารถมองเห็นสีของพลังวิญญาณเป็นขาว)
ผ่านไปอีกสองวันอาจารย์ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา คัมภีร์ที่อาจารย์รองค้นเจอในอารามขาดสมุนไพรหลักสองชนิดในการปรุงโอสถ คือ โสมพันปี, ต้นหญ้าแสงจันทร์ทมิฬ ในคัมภีร์ยังบอกว่ามักจะกำเนิดในป่าลึก โดยเฉพาะต้นแสงจันท์ทมิฬมักพบเจอได้ในป่าสัตว์เวทย์ บรรดาอาจารย์ต่างมองอาการเจ็บป่วยของอาจารย์ใหญ่เป็นเรื่องวิถีของธรรมชาติ เพียงสั่งสอนพวกนางสองคนให้ดูแลอาจารย์ให้ดีตามอาการเท่านั้น แล้วพวกเขาก็แยกย้ายไปบำเพ็ญเพียรตามกิจวัตรของตน
จิ่วเหมยฮวาตัดสินใจจะออกไปตามหาสมุนไพรทั้งสอง ในป่าลึกด้านหลังอารามมีขุนเขาหลายลูกที่สูงลิบต้นไม้สูงใหญ่ยังไม่เคยมีใครเข้าไปถึงอาจได้พบสมุนไพรทั้งสอง ถ้าโชคดีนางอาจนำกลับมาได้ถือเป็นการทดแทนคุณอาจารย์ที่สั่งสอนเลี้ยงดูนางเป็นเวลาหลายปี
จิ่วเหมยฮวาเดินออกจากอารามขึ้นเขาเข้ามาในพื้นที่ป่าได้สักชั่วยามกว่า ขอบฟ้าเริ่มมีแสงรำไร นางแอบออกมาโดยเขียนจดหมายทิ้งไว้บนโต๊ะในห้องด้วยข้อความสั้นๆ ว่า "ออกมาหาสมุนไพร ไม่ต้องเป็นห่วง" ท่านอาจารย์มีจิ่วเอ๋อร์คอยปรนนิบัติแล้วตัวนางเองต้องพยายามอย่างเต็มที่ ใกล้เที่ยงแล้วนางเตรียมพักที่ริมลำธารก่อนจะข้ามเข้าเขตป่าลึกของภูเขาขนาดใหญ่มองเห็นเพียงต้นไม้ที่สูงใหญ่ที่มีใบไม้สีเขียวหนาทึบจนมองไม่เห็นท้องฟ้า ในห่อผ้ามีเพียงอาหารแห้ง ยาเล็กน้อย มีด เสียมอันเล็กและตะกร้าเก็บสมุนไพร
“เจ้าช่างดีนักนะ ทิ้งข้าแอบหนีมาคนเดียวฮวาเอ๋อร์?”
“จิ่วเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร”
“ข้าตื่นมาปลดเบา เห็นเจ้ากำลังออกจากประตูจึงแอบย่องตามมา ไม่คิดว่าเจ้าจะมาไกลขนาดนี้ เจ้าไม่ต้องคิดไล่ข้ากลับไปเลยนะ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย พวกเราไปไหนไปด้วยกัน!”
“ข้ารู้เจ้าเป็นห่วงอาจารย์ ต้องออกมาหาสมุนไพรไปปรุงโอสถแน่ ไปด้วยกันสองคนมีเพื่อนดีกว่าไปคนเดียวนะ ..นะ”
จิ่วเหมยฮวามองจิ่วเอ๋อร์ยึดแขนนางโดยใช้สองแขนกอดรัดไว้แน่นไม่ว่าจะดึงจะแกะยังไงก็ไม่ขยับเอาแรงมาจากไหนกันนะ จะมาช่วยหรือมาเป็นภาระข้ากันแน่นะ ร่างกายบอบบางนุ่มนิ่มไร้เรียวแรงจะยกไก่ (กรรมของข้า)
“ได้ เราไปด้วยกัน”
ทั้งเดินทั้งปีนสองคนกลิ้งตกก็หลายครั้งหลายคราผ่านมาสองวันสามารถเดินเข้ามาลึกมาก ปกติยามเดินบนเขามักจะมีเสียงสัตว์ขนาดเล็ก เสียงแมลงดังอยู่ทั่วไป แต่เวลานี้รอบด้านกับเงียบสนิทแสงตะวันผ่านใบไม้ลงมาบนพื้นดินก็น้อยมากทำให้อึมครึ้ม รู้สึกอึดอัด
“ข้ารู้สึกว่าแถวนี้แปลกๆนะ ระวังตัวกันหน่อยหากเกิดอะไรขึ้นเจ้ารีบหนีทันทีเข้าใจไหมจิ่วเอ๋อร์”
“แล้วเจ้าหล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงข้า เจ้าไม่เป็นภาระข้าก็เอาตัวรอดได้เข้าใจไหม”
ตะวันลับฟ้าแล้ว ยิ่งเดินลึกเข้าไปในหุบเขาก็ยิ่งรู้สึกหนาวเย็น มือถือคบไฟที่ทำขึ้นยื่นไปข้างหน้าอีกไม่นานคงมองไม่เห็นแล้ว
“ฮวาเอ๋อร์ พวกเราสองคนควรจะหยุดหาที่พักที่ปลอดภัยได้แล้ว”
“ข้าก็คิดเหมือนกัน ท่านดูข้างหน้ามีโพรงไม้เราเข้าไปอยู่ในนั้นแล้วจุดไฟสักกอง ให้ความอบอุ่นและกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาทำร้ายพวกเรา”
สองคนช่วยกันเก็บกิ่งไม้แห้งรอบข้างแต่ไม่นานกลับมีแสงจันทร์ส่องลงมาเป็นลำเห็นได้แต่ไกล ด้วยความสงสัยทั้งสองคนขยับเท้าเดินตามกันไปยิ่งเข้าไปใกล้ยิ่งเห็นแสงจันทร์ส่องลงมาเป็นพื้นที่หนองน้ำหรือบึงขนาดไม่กว้างกว่าสนามฟุตบอลในชาติที่แล้ว
ริมตลิ่ง มีอะไรสักอย่างอยู่บนก้อนหิน ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ สิ่งนั้นกระทบแสงจันทร์ก็สะท้อนเป็นประกาย ตอนนี้ห่างเพียงห้าก้าวเห็นชัดเจนบนก้อนหินเป็น “งู” ขดอยู่ ลำตัวเกล็ดมีสีขาววาววับ ทันใดข้ารู้สึกถูกกระแทกอย่างรุนแรงถลาไปข้างหน้าสองสามก้าว
“งู!!!"
ใช่นั่นงูข้าคิดในใจ แต่เหตุใดศิษย์พี่ท่านจึงผลักข้าเข้าไปหามัน นางหันไปเบิกตากว้างมองไปที่จิ่วเอ๋อร์
“ศิษย์พี่ ท่านผลักข้าเข้าไปหามัน ถ้าข้าโดนมันกันจะทำอย่างไร”
“ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจข้าตกใจ”
“ช่างเถอะ”
“เจ้าจะทำอะไร”
จิ่วเอ๋อร์มองดูฮวาเอ๋อร์ด้วยความตกใจที่อีกฝ่ายก้าวต่อไปจนชิดก้อนหินเอื้อมมือเข้าไปจับคอ (ข้าคิดว่าตรงนั้นคือคอของเจ้างูนั่น) นางกล้าทำได้อย่างไร ต่อจากนี้ไปข้าต้องระวังตัวเพิ่มขึ้นหากทำให้นางโกรธศิษย์น้องข้าอาจจะจับงูมาแกล้งข้าก็ได้ นางจับงูนั่นหย่อนใส่ลงไปในถุงผ้าแล้วผูกปากถุงหย่อนลงตะกร้าเก็บสมุนไพร ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเป็นอย่างมาก หลังจัดการเก็บเจ้างูนั่นเสร็จยังไม่ลืมหันมาทำตาโตใส่นางอีก
“ท่านสิทำอะไร ศิษย์พี่ท่านผลักข้าเข้ามาหามัน ท่านไม่กลัวข้าโดนงูทำร้ายหรืออย่างไร”
“ข้าขอโทษ ข้าตกใจ ข้ากลัวงูมากที่สุด ที่สุดของชีวิตเลยนะ เจ้าอย่าโกรธข้านะ”
“เจ้าไม่กลัวมันเหรอ กล้าใช้มือจับ”
“ไม่กลัว”
ในชาติก่อนข้าเคยเลี้ยงงูและข้าไม่กลัวงู ที่สำคัญเจ้านี่สวยงามแปลกตาข้าจะนำกลับไปเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนที่อาราม
ภายในถุงผ้า
เจ้ามนุษย์ไร้ค่ากล้าจับข้ามาขังไว้ในถุงผ้า ถ้าข้าไม่ถูกสาปไว้ข้าจะเคี้ยวเจ้าให้ละเอียดเชียว เชื้อสายมังกรเช่นข้าต้องมาขดอยู่ในถุงช่างน่าตายนัก คอยดูเถอะพลังเวทย์คืนมาเมื่อใดจะต้องให้เจ้าขอโทษข้าให้จงได้