ทว่าในความขมขื่นก็มีเรื่องน่าขันเกิดขึ้น เธอช้อนตาขึ้นมองนายแพทย์หนุ่มผู้เพียบพร้อมด้วยทรัพย์สินเงินตรา อีกทั้งหน้าที่การงานก็เป็นที่ยกย่องของผู้คนแล้วยิ้มเยาะ “ก่อนที่จะสอนคนอื่น พี่ช่วยหันกลับไปมองชีวิตตัวเองบ้างนะคะว่าเป็นยังไง ได้ข่าวว่าผู้หญิงที่พี่เลือกมาเป็นคู่ชีวิตนั้นดีทุกอย่าง แต่ทำไมสุดท้ายจบลงด้วยการหย่าล่ะคะ”
พอถูกแม่ของลูกย้อนกลับเช่นนั้น นายแพทย์ภวินท์ก็พูดอะไรไม่ออก
“สำหรับหนู ชีวิตคู่คือการร่วมหัวจมท้าย และการที่คนสองคนจะจับมือร่วมทุกข์ร่วมสุขและผ่านเรื่องราวมากมายไปด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่งก็ต้องอาศัยความรักที่มากพอ ไม่ใช่เงินในกระเป๋า” แต่สิ่งที่ภวินท์พูดก็มีส่วนถูก ในยุคสมัยนี้เงินนั้นสำคัญมาก ไม่มีเงิน ไม่มีข้าวกิน กระนั้นสำหรับเธอแล้ว ผู้ชายที่จะมาเป็นคู่ชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องร่ำรวย ขอแค่ขยันทำมาหากิน รู้จักเก็บออม รู้จักลงทุนต่อยอดบ้าง เท่านี้ก็พอแล้ว
“พี่ยอมรับนะว่าชีวิตคู่ของพี่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผู้ชายของพราวก็ใช่ว่าจะดี ถ้ามันดีจริง พราวคงไม่ต้องเดือดร้อนเป็นหนี้เพราะมันหรอก”
เงินห้าแสนนั่น เธอพึ่งรู้ความจริงวันนี้เองว่าหาใช่เงินเก็บของชายหนุ่มตามที่เขาเคยบอกไม่ หากแต่เป็นเงินที่ยืมมาให้เธอ พราวจันทร์น้ำตาซึมเมื่อนึกถึงทุกอย่างที่กันต์ทำเพื่อเธอกับครอบครัวมาตลอดระยะเวลาหลายปี
“ถ้าไม่รู้อะไรก็หุบปากไป ไม่ต้องมาวิพากษ์วิจารณ์ชีวิตคนอื่น พี่เจ้าหนี้ หนูเป็นลูกหนี้ เกี่ยวข้องกันเฉพาะเรื่องนี้พอ ส่วนเรื่องส่วนตัวของหนู พี่ไม่ควรยุ่ง” คนที่ทำให้เธอเดือดร้อนหาใช่กันต์ไม่
“ที่เตือนก็เพราะหวังดี หวังดีในฐานะพี่ชาย” ถึงแม้ในเวลานี้ความรู้สึกที่มีต่อพราวจันทร์นั้นว่างเปล่า แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งเราสองคนก็เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง แถมยังเกี่ยวข้องกันในฐานะพ่อและแม่ของลูก เขาก็หวังอยากเห็นเธอมีอนาคตที่ดี ได้มีคนดีๆ อยู่เคียงข้าง ไม่ใช่ไอ้บาเทนเดอร์นั่น
คร้านจะพูดกับภวินท์เต็มทน เธอรีบเซ็นเอกสารที่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะยื่นมันคืนให้เขา “หนูเซ็นแล้ว หนูจะพาพี่กันต์กลับบ้านได้หรือยัง”
“ยัง พี่ยังมีอีกเรื่องที่ยังไม่คุยกับเธอ”
“เรื่อง?” ตั้งแต่สนทนากันมา ประโยคเมื่อครู่ภวินท์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่สุด ดูเหมือนว่าเรื่องที่เขาจะพูดคงสำคัญน่าดู
“เรื่องลูก เงินเดือนเธอหลังหักใช้หนี้แล้วเหลือแค่หมื่นเดียวเอง ค่าใช้จ่ายลูกนับวันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พี่อยากช่วย”
“ไม่จำเป็น ปกติหนูทำขนมขาย มีร้านประจำที่รับซื้อ รายได้พอใช้แล้วก็เหลือเก็บบ้างนิดหน่อย ถ้ายิ่งรวมกับเงินเดือนที่ไปทำให้ที่คลินิกพี่ ค่าใช้จ่ายลูกก็ไม่ต้องห่วง หนูจ่ายได้สบายๆ ” ความจริงที่ว่าตะวันฉายคือลูกชายของภวินท์นั้นเธอไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งที่ทำได้คือพยายามผลักเขาออกไปให้ห่างจากลูกมากที่สุด ซึ่งต้องเริ่มต้นจากการพูดคุยเพื่อตกลง
พราวจันทร์คงแยกไม่ออกระหว่างคุณภาพชีวิตที่ดีกับอยู่ให้รอดไปวันๆ สินะ “แต่ยังไงพี่ก็อยากให้ลูกเรียนโรงเรียนดีๆ เติบโตขึ้นมาท่ามกลางสังคมที่ดี กินอาหารดีๆ อยู่ที่ดีๆ ซึ่งทุกอย่างพี่สามารถทำได้ ขอแค่พราวยอมให้ความร่วมมือ”
“เราตกลงกันแล้วนะคะว่าพี่จะไม่ยุ่งกับลูกแล้วก็พี่กันต์ หนูสัญญาว่าจะดูแลลูกให้ดีที่สุด บางทีความสุขก็ไม่ต้องใช้เงินซื้อ คุณภาพชีวิตที่ดี ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง หากเราเลือกอย่างเหมาะสม” ระหว่างที่อุ้มท้องตะวันฉาย มีปัญหามากมายที่ประเดประดังเข้ามาในชีวิต ร้ายแรงที่สุดก็คือการที่ต้องสูญเสียบิดามารดาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ เรียกได้ว่าแทบขาดใจตาย แต่พอผ่านมาได้ ก็ทำให้เธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก “เงินซื้อได้หลายอย่าง แต่ซื้อไม่ได้ทุกอย่าง ถึงพื้นฐานครอบครัวหนูไม่ได้ร่ำรวย แต่หนูก็เติบโตขึ้นมาเป็นหนูได้อย่างทุกวันนี้ แม้จะเคยก้าวผิดพลาด แต่ความลำบากที่เคยเจอก็ทำให้หนูลุกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องเจอ แต่เจอมานับไม่ถ้วน หนูมองเรื่องพวกนี้เป็นข้อดี ไม่เคยเอามันมาบั่นทอนจิตใจ แต่ก็ไม่ได้คิดบวกจนไม่ทำอะไรเพื่อให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น พี่ไม่ต้องห่วงนะ หนูเป็นแม่ หนูจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อลูก ส่วนพี่ พี่ก็ลืมๆ ไปซะว่าเคยเกิดอะไรขึ้นกับเรา ลืมมันไป.. หนูขอแค่นั้น”
ความรับผิดชอบจากภวินท์ไม่ใช่สิ่งที่แม่ของเด็กชายตะวันฉายต้องการ เพราะหากเธออยากได้มัน เมื่อหกปีก่อนคงไม่ตัดสินใจหันหลังให้เขาแล้วเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
“พราวพูดง่ายๆ ว่าให้พี่ลืมทุกอย่าง พราวลืมไปหรือเปล่าว่าพี่ก็มีหัวใจ นั่นลูกพี่ ถึงพี่จะชั่วจะเลวแค่ไหน พี่ก็ไม่มีทางหลับหูหลับตาแล้วทำเหมือนกับว่าบนโลกใบนี้ไม่มีเขาได้หรอก”
“ลืมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่อย่ามายุ่งกับเราสองแม่ลูกก็พอ พี่ก็อยู่ส่วนพี่ หนูกับลูกก็ใช้ชีวิตกันไปเหมือนเดิม” มั่นใจเหลือเกินว่าภวินท์คงไม่ยินดีเรื่องที่มีตะวันฉาย ชายหนุ่มคงไม่อยากได้แม่ของลูกเป็นผู้หญิงอย่างเธอ ผู้หญิงที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับเขาสักอย่าง “ตะวันฉายเป็นลูกที่เกิดจากผู้หญิงต่ำต้อย คงสร้างความภาคภูมิใจให้พี่ไม่ได้ อ้อ!ที่หนูพูด หนูไม่ได้ประชดนะ แค่ชี้ให้เห็นถึงความจริง อีกอย่างถ้าวันข้างหน้าพี่มีครอบครัวใหม่ มีลูกกับภรรยาของพี่ หนูก็กลัวว่าลูกจะมีปัญหา ปล่อยให้เขารับรู้ว่าพ่อตายไปแล้วเหมือนเดิมจะดีกับลูกของหนูมากกว่า”
ภวินท์แหงนหน้าขึ้นมองเพดานแล้วหลับตาลงอย่างพยายามข่มอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ข้างใน “ดูเหมือนว่าพราวกำลังเข้าใจอะไรผิด ลูกพี่ก็คือลูกพี่ ไม่สำคัญว่าจะเกิดกับผู้หญิงคนไหน” จริงอยู่ที่เขาเลือกคู่ชีวิตจากความเหมาะสม แต่กับเลือดเนื้อเชื้อไขของตน เขาไม่เคยแบ่งแยกว่าเกิดจากผู้หญิงคนไหน “ที่พี่ทำตามคำขอของพราวเรื่องไม่ไปยุ่งกับลูก เพราะพี่..” ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของนายแพทย์ผู้เพียบพร้อมเจ็บแปลบขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต “ช่างเถอะ เอาเป็นว่าตราบใดที่พราวยังดูแลลูกได้ดี พี่จะไม่ไปยุ่งกับแก แต่ถ้าวันไหนพราวจะมีครอบครัวใหม่ เราต้องคุยกันอีกครั้ง พี่ต้องแน่ใจว่าผู้ชายของพราวจะรักลูกจริงๆ พี่ไม่อยากให้ลูกต้องอยู่กับคนที่ไม่รักเขา”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูไม่ยังไม่คิดจะมีใคร ทุกวันนี้หนูอยู่กับลูกสองคนก็มีความสุขดีอยู่แล้ว”
“หืม.. เมื่อกี้ว่าไงนะ” เขาฟังไม่ผิดใช่ไหมเรื่องที่พราวจันทร์บอกว่ายังไม่คิดจะมีใคร แล้วไอ้บาเทนเดอร์นั่นล่ะ เกี่ยวข้องกับเจ้าหล่อนเช่นไร “แสดงว่าไอ้กันต์อะไรนั่น ไม่ใช่แฟนใหม่เธองั้นเหรอ”
สังเกตสักหน่อยจะพบว่าน้ำเสียงที่ภวินท์เปล่งออกมา มีความยินดีแอบแฝงอยู่
“แล้วหนูพูดสักคำหรือยังว่าพี่กันต์เป็นแฟน” เธอย้อนถามภวินท์
“แสดงว่าพี่เข้าใจผิดไปเอง แล้วตอนนี้พราวมีแฟนหรือยังล่ะ ที่ถามไม่ใช่เพราะอะไรหรอกนะ พี่เป็นห่วงลูก”
ถึงภวินท์ไม่อธิบายเหตุผลประกอบคำถาม เธอก็คงไม่คิดว่าสิ่งที่เขาอยากรู้นั้นเป็นเพราะนึกพิศวาสเธอหรอก “ยังไม่มีค่ะ แล้วพี่ก็ไม่ต้องห่วงนะ หนูเป็นแม่ จะทำอะไร ลูกต้องมาก่อนเสมอ”
“อ้อ!ดีแล้วล่ะ พี่ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ”
“ถ้าทุกอย่างเคลียร์แล้ว กรุณาปล่อยพี่กันต์ด้วยค่ะ หนูจะพาพี่กันต์กลับบ้าน”
ภวินท์ผายมือไปยังประตู “เชิญ”