“เฮ้พราว!รอพี่ด้วยสิ” เขากระโดดลงจากรถโดยสารประจำทางตามหลังพราวจันทร์ไป
จากป้ายรถโดยสายประจำทางถึงบ้านเช่าพราวจันทร์ ใช้เวลาเดินประมาณห้านาทีก็ถึง เมื่อถึงที่หมายอย่างปลอดภัยแล้ว แม่ของเด็กชายตะวันฉายจึงเห็นควรว่าภวินท์ควรกลับไปได้แล้ว
“พี่บอกลูกน้องที่ผับให้มารับแล้วใช่ไหมคะ” ภวินท์ยิ้มแฉ่งแล้วส่ายหน้า เพียงเท่านั้นหัวคิ้วของเธอก็ขมวดเข้าหากันทันที “อ้าว!ทำไมไม่รีบบอกล่ะคะ จะได้รีบกลับ”
“ไม่เป็นไร พี่ไม่รีบ”
“แล้วพี่จะไปอยู่ไหน จากผับพี่มาบ้านหนูก็ไม่ใช่ไกลๆ งั้นเดี๋ยวหนูโทร. ถามพี่กันต์ก่อนว่าเขาไปทำงานหรือยัง” เธอไม่รู้ว่าเวลาทำงานของกันต์คือกี่โมง แต่ภาวนาให้เขาอย่าพึ่งไปเลย เพราะหากภวินท์ต้องรอให้ลูกน้องที่ผับมารับ นั่นก็แปลว่าเธอต้องให้พ่อของลูกเข้าไปนั่งรอในบ้าน
พราวจันทร์วิ่งไปที่รั้วแล้วชะโงกหน้าดูข้างบ้าน เมื่อพบว่ารถกระบะของกันต์จอดอยู่ เธอก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา เพราะนั่นแปลว่าเขาอาจจะยังไม่ไปทำงาน กระนั้นก็ต้องโทร. ถามก่อน ด้วยว่าบางครั้งกันต์ก็นั่งรถโดยสารประจำทางไป เพราะต้องการประหยัดค่าน้ำมัน
หูของภวินท์ผึ่งออกทันทีเมื่อได้ยินว่าพราวจันทร์จะโทร. หากันต์เพื่อถามว่าผู้ชายคนนั้นไปทำงานหรือยัง แล้ววันนี้รถกระบะคันที่เคยแล่นเข้ามาจอดที่บ้านหญิงสาวก็ย้ายไปจอดที่บ้านหลังข้างๆ นั่นแสดงว่าทั้งคู่ไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกัน คราแรกเขาไม่เชื่อนักที่แม่ของลูกบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับบาเทนเดอร์นั่น แต่วันนี้เชื่อแล้วว่าเจ้าหล่อนยังโสดจริง
‘เลิกกันตั้งหลายปีแล้วยังไม่มีแฟนใหม่อีกเหรอ’
คิดได้ดังนั้นก็ทำให้นายแพทย์ภวินท์เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“พี่กันต์ไปทำงานแล้ว พี่รีบโทร. ให้ลูกน้องมารับเลย” หลังจากที่โทรศัพท์สอบถามกันต์เสร็จ พราวจันทร์ก็เดินกลับมาหาพ่อของลูกแล้วพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
“โอเคๆ แต่ขอเข้าไปรอในบ้านได้ไหม ตรงนี้ยุงเยอะฉิบหาย กัดพี่ไปหลายตัวแล้วเนี่ย” เขาทำท่าเกาแขนประกอบคำพูด ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ได้คันสักนิด เพราะไม่ได้ถูกยุงกัดจริงๆ แค่หาเรื่องเข้าบ้านผู้หญิงเท่านั้น
ซึ่งเจ้าของบ้านก็พอรู้อยู่ว่าภวินท์มารยา ตรงนี้ไม่มียุงเสียหน่อย เพียงแค่มืดและไม่มีที่นั่งเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะเหนื่อยจะเสวนากับชายหนุ่มเต็มทนแล้ว
“เชิญค่ะ” เธอเดินนำชายหนุ่มเข้าบ้าน โชคดีที่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้นงลักษณ์ไลน์มาบอกว่าตะวันฉายหลับปุ๋ยไปแล้ว ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่รู้ว่าจะตอบคำถามลูกเช่นไรดีว่าคุณลุงแปลกหน้าคนนี้เป็นใคร และอีกทั้งยังไม่พร้อมให้พ่อลูกพบหน้า แม้ภวินท์รับปากแล้วว่าจะไม่มาวุ่นวายกับลูก แต่คนอย่างเขาเชื่อได้ที่ไหนกัน
แขกที่พึ่งมีโอกาสมาเยือนบ้านเช่าพราวจันทร์ครั้งแรกมองสำรวจไปรอบๆ หากมองเพียงภายนอกก็อาจรู้สึกได้ว่าบ้านหลังนี้ไม่น่าอยู่นัก ด้วยเพราะว่าสภาพค่อนข้างเก่า ทว่าพอก้าวขาเข้ามาภายในตัวบ้าน กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ไม่ได้ตกแต่งอย่างหรูหรา ทว่าสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อย บ่งบอกให้รู้เลยว่าผู้ที่อยู่อาศัยเป็นแม่บ้านแม่เรือนเพียงใด
“น้ำค่ะ” เธอนำกระเป๋าไปเก็บแล้วรินน้ำใส่แก้วมาให้ภวินท์ “แต่ใช่น้ำแร่นะคะ กินได้เนอะ” ภวินท์เงยหน้าขึ้นมองเธอก่อนที่เขาจะรับแก้วใส่น้ำไปวางไว้บนโต๊ะ
“ไม่เห็นต้องกระแนะกระแหนกันเลย”
พราวจันทร์หย่อนสะโพกนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็ก เธอตั้งใจว่าจะนั่งเป็นเพื่อนพ่อของลูกรอคนมารับเงียบๆ ทว่าภวินท์ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น
“ตอนแรกพี่คิดว่าไอ้บาเทนเดอร์นั่นอยู่บ้านหลังเดียวกับพราว” แล้วยังคิดอีกว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน
“จะอยู่บ้านหลังเดียวกันได้ยังไงล่ะคะ”
“พี่ก็นึกว่าเป็นแฟนกัน”
สุ้มเสียงของนายแพทย์ภวินท์เจือแววไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเขาเอ่ยถึงเรื่องแม่ของลูกกับผู้ชายที่ชื่อกันต์ กระนั้นคนฟังก็หาจับสังเกตได้ไม่
“พี่กันต์เป็นคนรู้จัก ไม่ใช่แฟนหนู”
“สนิทกันมากไหม” เขาอดถามต่อไม่ได้ เพราะถึงพราวจันทร์บอกว่าไม่ใช่แฟน แต่คิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เจ้าของบ้านปรายตามองแขกที่เอาแต่ถามไม่หยุด “แล้วทำไมพี่ต้องอยากรู้ด้วย ไม่เห็นเกี่ยวกับพี่ตรงไหนเลย” ปกติภวินท์สนใจเรื่องของคนอื่นเสียที่ไหน ไม่ว่าใครจะเป็นหรือตาย ร้ายหรือดี เขาไม่เคยสนใจทั้งนั้น แล้วทำไมวันนี้ถึงสาระแนเรื่องเธอจัง
ภวินท์นิ่งไป
นั่นสิ.. ทำไมเขาต้องอยากรู้เรื่องของพราวจันทร์กับไอ้บาเทนเดอร์นั่นด้วย
“อย่าลืมนะว่าลูกพราวก็เป็นลูก..” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยคก็ถูกพราวจันทร์ใช้มือตะปบปิดปากเสียก่อน
“พูดบ้าอะไรของพี่!” พราวจันทร์มองซ้ายแลขวา ด้วยกลัวว่าจะมีใครอยู่แถวนี้ เมื่อเห็นว่าปลอดคน เธอจึงคอยๆ คลายมือที่ปิดปากภวินท์ออก “อย่าพูดแบบนี้อีกนะ เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องนั้น”
เรื่องนั้น?
อ้อ! พราวจันทร์คงหมายถึงเรื่องลูกกระมัง
“ไม่ใช่ เราตกลงกันว่าพี่จะไม่มายุ่งกับลูกต่างหาก”
“ก็นั่นแหละ เหมือนๆ กัน ห้ามมายุ่งแล้วก็ห้ามใครรู้เรื่องด้วย”
เธอทำราวกับรังเกียจเขามาก ทั้งที่ผู้หญิงทั่วบ้านทั่วเมืองต่างอยากได้เขาเป็นสามี “ถามจริงเถอะ ทำไมถึงไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าพราวมีลูกกับพี่”
“พี่พอร์ช!” เธอพึ่งบอกให้เขาเลิกพูดเรื่องนี้อยู่หยกๆ นี่ยังไม่ทันถึงห้านาทีเลยนะ “หนูบอกแล้วไงว่าอย่าพูดเรื่องนี้ เดี๋ยวใครมาได้ยิน”
คิ้วหนาที่พาดผ่านดวงตาคู่คมเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตกกลับลงมาที่ตำแหน่งเดิมของมัน “กลัวขนาดนั้นเชียว”
“ก็หนูขี้เกียจอธิบาย” หลายปีที่ผ่านมา เธอพบเจอแต่กับคำถามซ้ำๆ เดิมๆ เรื่องพ่อของลูกว่าเขาไปไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว และอีกหลากหลายคำถามจากทั้งคนใกล้และคนไกลเกี่ยวกับตัวภวินท์ แม้ไม่อยากตอบไม่อยากพูดถึง กระนั้นก็เลี่ยงไม่ได้ เดินหนีไม่ได้ เพราะบางคนเป็นเพื่อน บางคนเป็นคนที่เธอไม่ควรเสียมารยาทใส่ จึงจำใจต้องตอบข้อสงสัยของคนเหล่านั้นให้สิ้นไป “ไม่อยากให้มีประเด็นอะไรอีก เอาเป็นว่าพี่อย่าพูดเรื่องนี้อีกนะ ถือว่าหนูขอร้อง”
เพราะเห็นความหนักใจในแววตาแม่ของลูก จึงทำให้ภวินท์หุบปากไป แต่ยังไม่ถึงสามนาที ชายหนุ่มก็สรรหาเรื่องมาพูดอีก
“แล้วเรื่องเรียนเป็นไงบ้าง คิดไว้หรือยังว่าจะเรียนที่ไหน”
“สมัครเรียนไปแล้วค่ะ เป็นมหา’ ลัยเปิด จะได้มีเวลาทำงานแล้วก็ดูแลลูกด้วย”
จำได้ว่าในอดีตพราวจันทร์เคยเป็นเด็กเรียนดี เธอทั้งเก่งและขยัน หากไม่เป็นเพราะเขา ปานนี้เธอคงกำลังมีหน้าที่การงานที่รุ่งโรจน์ คิดได้ดังนั้นความรู้สึกผิดก็คืบคลานเข้ามาครอบงำจิตใจนายแพทย์หนุ่ม
“พราวครับ พี่ขอโทษสำหรับทุกอย่างนะ ถ้าพราวมีอะไรให้พี่ช่วย บอกพี่ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ ถือซะว่าพี่เป็นพี่ชาย”
สิ่งเดียวที่เธอต้องการจากภวินท์คือให้เขาอยู่ห่างเธอกับลูกให้มากที่สุด “ถ้างั้นหนูก็จะขอให้พี่อย่ามายุ่งกับหนูอีก แบบอยู่ใครอยู่มัน พี่อยู่ส่วนพี่ หนูอยู่ส่วนหนู ใช้ชีวิตใครมัน ส่วนตอนที่ทำงานด้วยกันก็ปฏิบัติกับหนูเหมือนพนักงานคนอื่น มองหนูว่าเป็นลูกจ้าง”
เรื่องที่พราวจันทร์พูดออกมา สำหรับภวินท์แล้วน่าขันสิ้นดี “ไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนั้น เรารู้จักกัน ไม่เห็นต้องทำเป็นคนอื่นคนไกล”
“พี่ไม่ขี้เกียจตอบคำถามคนอื่นเหรอว่ารู้จักหนูได้ไง แล้วถ้าคนอื่นถามว่าเราเป็นอะไรกัน พี่จะตอบคนที่ถามว่ายังไง” เธอสบตากับภวินท์โดยไม่คิดหลบ
นายแพทย์ภวินท์นิ่งไป เขาเบือนหน้าหลบสายตาแม่ของลูกแล้วใช้ความคิด เพียงครู่ชายหนุ่มก็อ้าปากขึ้นอีกครั้ง “ก็พี่ชายไง พี่ชายอ้ะ แต่ถ้ากลัวคนที่คลินิกจะถามนั่นถามนี่ ไม่ต้องกลัวหรอก ไม่มีใครกล้าละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวพี่ หรือถ้ามีคนถามพราว พราวก็บอกไปสิว่ารู้จักกับหมอพอร์ชมาหลายปีแล้ว เคยทำงานด้วยกัน สนิทกันเหมือนพี่ชายน้องสาว ไม่เห็นต้องทำให้ชีวิตยุ่งยากเลย”
“ตอนนี้ยังไม่มีใครถามหรอก แต่ต่อไปไม่แน่ วันนี้หนูเห็นสายตาพนักงานหลายคนที่มองมาทางเรา เหมือนพวกเขาสงสัยว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน อ้อ! แล้วหนูจะบอกอะไรพี่ให้นะ หนูไม่อยากเป็นพี่น้องกับพี่ ถ้าหนูเลือกได้ หนูอยากให้คนอื่นคิดว่าเราไม่รู้จักกันมากกว่า”
“กลัวคนอื่นจะรู้จังเลยนะเรื่องที่เรารู้จักกัน ไม่ต้องห่วงหรอกว่าคนอื่นจะรู้ เพราะตอนนี้พี่คิดว่าคนที่คลินิกน่าจะรู้กันหมดแล้วล่ะ แล้วก็คงสงสัยกันถ้วนหน้าว่าหมอพอร์ชกับน้องพราวคนสวยเป็นอะไรกัน” ใบหน้าพราวจันทร์ฉายแววกังวลทันทีเมื่อเข้าพูดเช่นนั้น เห็นแล้วปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหงุดหงิดชะมัด! “ไม่ต้องกังวลหรอก เพราะการที่เราสองคนจะสนิทสนมกันเกินกว่าเจ้านายกับลูกน้องไม่ใช่เรื่องผิด ไม่มีใครว่าอะไรเราได้ เพราะตอนนี้พี่เองก็โสด” นายแพทย์ภวินท์เน้นเสียงที่ประโยคสุดท้ายพร้อมส่งสายตาหวานเชื่อมไปให้แม่ของลูก ซึ่งที่ผ่านมา ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ต้องอ่อนระทวยทุกรายเมื่อเจอสายตาพิฆาตนารีของเขา
แต่.. ไม่ใช่กับพราวจันทร์ เจ้าหล่อนไม่ได้หลบตาพ่อของลูกแต่อย่างใด และไร้ซึ่งความเคอะเขิน หญิงสาวมองภวินท์แล้วอมยิ้ม แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะคิดอะไรกับคนตรงหน้า ทว่าเธอนึกขันต่างหากเล่า
ภวินท์โสด..
แล้วเกี่ยวอะไรกับเธอ?
คิดจะโปรยเสน่ห์หวังเช็กเรตติ้งของตัวเองงั้นหรือ
ฮึ!บอกแล้วไงว่าถึงเธอจะเป็นหมาวัด แต่ก็เป็นหมาวัดที่ฉลาดเลือก
“ไม่ต้องมาบอกหนูหรอกว่าพี่โสด หนูไม่ได้กลัวว่าใครจะคิดว่าเราเป็นอะไรกัน แต่หนูแค่ขี้เกียจตอบคำถามคนนั้นคนนี้ต่างหากล่ะ แล้วกรุณาอย่ามาทำสายตาหวานหว่านเสน่ห์ใส่หนูอีกนะ หนูไม่ใช่เด็กใสๆ ที่จะหลงเคลิบเคลิ้มไปกับพี่ง่ายๆ เหมือนแต่ก่อนแล้ว หนูเจ็บแล้วจำ ไม่โง่ซ้ำโง่ซ้อนหลงเสน่ห์คนอย่างพี่อีกหรอก” เธอเลื่อนสายตาไปสบประสานกับพ่อของลูกแล้วอมยิ้มก่อนจะหัวเราะคิกคัก “คราวหน้าคราวหลังถ้าอยากจะเช็กเรตติ้งตัวเองว่าฮอตแค่ไหน กรุณาไปทำกับผู้หญิงคนอื่น อย่ามาทำแบบนี้กับหนูอีก เพราะนอกจากหนูจะไม่สนใจแล้ว ในสายตามันยังดูตลกมากด้วย”
“นี่พราว! มันจะมากเกินไปแล้วนะ” เขาสูญเสียความมั่นใจที่เคยมีมาสามสิบกว่าปีไปในพริบตาเพียงเพราะคำพูดของพราวจันทร์ไม่กี่คำและสายตาขบขันที่เจ้าหล่อนมองมา
หญิงสาวไม่ได้สนใจสักนิดว่าภวินท์จะโกรธกริ้วหรือรู้สึกเช่นไร “ไปๆ กลับบ้านไปได้แล้วไป” เธอพูดกับเขาแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตูดูว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ใช่เสียงรถยนต์หรือไม่ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง “ลูกน้องพี่มารับแล้ว รีบไปเถอะค่ะ”
ภวินท์ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากบ้านไป เขาไม่ได้พูดอะไรกับพราวจันทร์สักคำ ไม่มีแม้กระทั่งคำร่ำลา มีเพียงท่าทางฟึดฟัดที่ทำให้คนมองตามรู้สึกขันจนกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ “นี่เราเคยหลงรักผู้ชายนิสัยแบบนี้จริงๆ เหรอวะเนี่ย”