หัวใจคนเป็นพ่อแน่นตื้อไปทั้งดวงเมื่อได้เห็นตะวันฉายที่มองมาจากหน้าต่างชั้นสองของบ้าน ภวินท์มองเด็กน้อยไม่ละสายตาจนกระทั่งลูกของเขาลับหายไปเมื่อรถเคลื่อนผ่านตัวบ้าน แม้จะอยากสั่งให้ลูกน้องหยุดรถเพียงใด แต่ก็ต้องหักห้ามใจไม่ให้ทำในสิ่งที่อยากทำ เพราะไม่อยากสร้างความลำบากใจให้กับพราวจันทร์ และที่สำคัญคือไม่อยากให้เกิดความผูกพันระหว่างตนกับเด็กคนนั้น เพราะหากมันเกิดขึ้นแล้ว เขารู้ว่ายากแค่ไหนที่จะตัดใจ หรืออาจจะ.. ทำไม่ได้เลย
“ให้ผมเลี้ยวกลับไปไหมครับ” สิงหามองเจ้านายผ่านกระจกมองหลังแล้วเอ่ยถาม ด้วยว่าทำงานกับภวินท์มานาน จึงพอรู้ว่าผู้เป็นนายคิดเช่นไร “เด็กคนนั้นน่ารักดีนะครับ”
ริมฝีปากบางหยักแย้มรอยยิ้มออกมา ทว่านัยน์ตาของนายแพทย์หนุ่มผู้เพียบพร้อมกลับเต็มไปด้วยความขื่นขม “ตัวอ้วนอย่างกับลูกหมู สงสัยแม่ตามใจให้กินเยอะ”
“ฉลาดแล้วก็ร่าเริงมากด้วยครับ” หน้าที่เขาคือช่วยภวินท์ดูแลความเรียบร้อยของผับ แต่ในยามนี้หาได้เป็นเช่นนั้นแล้ว “โรงเรียนอนุบาลที่ลูกของนายเรียนมีเด็กเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของคนในชุมชน การเรียนการสอนก็เหมือนโรงเรียนทั่วไปครับ” เขาได้รับหน้าที่ให้คอยตามดูแลตะวันฉายอยู่ห่างๆ และคอยสอดส่องชีวิตของเด็กน้อยว่าเป็นเช่นไร แต่ละวันทำอะไรบ้าง “หลังจากเลิกเรียน คุณพราวเธอจะเป็นคนมารับลูกกลับบ้านเอง พอกลับถึงบ้าน คุณพราวก็จะให้ลูกไปอาบน้ำแล้วหาของว่างให้กิน หลังจากนั้นเธอก็จะสอนการบ้านให้ลูกครับ กิจวัตรประจำวันของสองแม่ลูกก็จะประมาณนี้ครับนาย”
ไม่มีใครทำหน้าที่ดูแลลูกได้ดีไปกว่าแม่แท้ๆ ของเด็ก การที่เด็กคนหนึ่งได้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักและความเอาใจใส่ของแม่ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ลูกของเขาเป็นเด็กที่โชคดีที่มีแม่เช่นพราวจันทร์คอยอุ้มชูดูแล
“แล้วอีกเรื่องที่ฉันให้ทำล่ะ ถึงไหนแล้ว”
“ยังไม่ได้เบาะแสเลยครับ หลายครั้งที่เราเหมือนจะเข้าใกล้ความจริง แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว” สิงหาเหลือบมองผู้เป็นนายผ่านกระจกมองหลังอีกครั้ง แววตามือขวาของภวินท์ยามทอดมองนายแพทย์หนุ่มนั้นเต็มไปด้วยความสงสาร “สักวันเราจะต้องเจอคุณสารภีครับ”
นายแพทย์ภวินท์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาก็หวังเหลือเกินว่าจะเป็นเช่นที่สิงหาพูด “พ่อไล่แม่ออกจากบ้านตอนฉันอายุห้าขวบ พ่อบอกว่าแม่มีชู้ แต่ฉันรู้ ฉันรู้ว่าแม่จะไม่ทำอย่างนั้น” แม่ของเขารักพ่อสุดหัวใจ รักจนกระทั่งยอมทนให้คนตราหน้าว่าตัวเองเป็นเมียน้อย ยอม.. ให้ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจสารพัด ทั้งๆ ที่แม่เขามาก่อน แม่รักกับพ่อก่อนที่พ่อจะรู้จักผู้หญิงคนนั้นเสียอีก “วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ฉันได้เจอแม่ และก็เป็นวันสุดท้ายที่ชีวิตได้สัมผัสคำว่าความสุข”
หลังจากที่สารภีถูกไล่ออกจากบ้าน ภวินท์ก็ตกอยู่ในความดูแลของกาญจนา ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของขจรเกียรติที่ไม่สามารถมีลูกได้ ด้วยเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ กาญจนาเลี้ยงดูลูกเลี้ยงอย่างดีไม่ต่างจากลูกในไส้ของตน กระนั้นก็ไม่อาจทำให้ภวินท์รักนางได้ เพราะผู้หญิงที่เขาเรียกว่า ‘แม่ใหญ่’ คือคนที่ทำให้แม่แท้ๆ ของเขาเจ็บปวดไม่ต่างจากตายทั้งเป็น
เพราะเรื่องที่เคยพานพบในวัยเยาว์ ภวินท์จึงไม่คิดพรากตะวันฉายมาจากอกแม่ สิ่งที่เขาต้องการคือชีวิตที่ดีขึ้นของสองแม่ลูกเท่านั้น แต่ในเมื่อพราวจันทร์ไม่สะดวกใจที่จะรับความช่วยเหลือในรูปแบบของเงินตรา เขาจึงเลือกที่จะให้การศึกษากับหญิงสาวแทน เพราะเชื่อเหลือเกินว่าความรู้จะเป็นเหมือนเรือลำใหญ่ที่จะนำพาให้คนเช่นแม่ของตะวันฉายไปได้ไกล
“น้านางครับ เมื่อกี้ใครเหรอ” เพราะได้ยินเสียงคนคุยกัน เด็กน้อยที่ยังหลับไม่สนิทจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ทว่านงลักษณ์ที่อยู่ในห้องบอกว่าแม่มีแขก ตนจึงต้องอยู่ในห้องเพื่อรอให้แขกของพราวจันทร์กลับไปเสียก่อน แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก จึงอดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าดูที่หน้าต่างว่าใครกันมาบ้านดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้
นงลักษณ์เองก็รู้สึกสงสัยเช่นเดียวกันว่าผู้ชายคนที่พราวจันทร์พามาที่บ้านเป็นใคร กระนั้นก็ต้องเก็บงำทุกอย่างไว้แล้วทำหน้าที่ของตนต่อ “คงเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักของแม่ตะวันมั้งครับ น้านางเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ตอนนี้ถึงเวลานอนของตะวันแล้ว ตะวันต้องนอนได้แล้วนะครับ”
เด็กชายตะวันฉายส่ายหน้า “ตะวันอยากให้แม่จ๋าเล่านิทานให้ฟัง”
ยังไม่ทันที่นงลักษณ์จะพูดอะไรต่อ พราวจันทร์ก็เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของตะวันฉาย เมื่อเห็นว่าลูกชายยังนั่งตาแป๋วไม่ยอมนอน คนเป็นแม่ก็แสร้งทำหน้าดุใส่
“ทำไมหมาน้อยของแม่ยังไม่นอนอีก เลยเวลานอนแล้วนะ”
“ตะวันได้ยินเสียงรถยนต์ คุณลุงเจ้าของรถเป็นใครเหรอแม่จ๋า”
ด้วยว่าไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะตอบคำถามลูกเรื่องนี้ พราวจันทร์จึงพูดจาติดๆ ขัดๆ กระอึกกระอักตอบไม่เต็มเสียง “คือว่าเออ.. เป็น เป็นเจ้านายของแม่จ๋าเองครับ”
“เจ้านายที่แม่จ๋าไปทำงานด้วยเหรอ” หลายปีมานี้แม่ไม่เคยพาคนแปลกหน้ามาที่บ้านเลย จะมีก็แต่ลุงกันต์กับน้านางที่เข้าๆ ออกๆ เห็นหน้ากันจนคุ้นชิน เด็กชายตะวันฉายจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าคุณลุงคนแปลกหน้าที่ตนเห็นนั้นเป็นใคร
“ใช่ครับลูก” พราวจันทร์เดินไปหย่อนสะโพกนั่งลงบนเตียงข้างตะวันฉายแล้วคว้าตัวลูกชายมากอดก่อนจะจูบเบาๆ ที่กระหม่อมหอมกรุ่น “แล้วทำไมยังไม่นอนอีกฮึ”
แขนอวบป้อมกอดเอวผู้เป็นแม่ “ตะวันนอนแล้ว แต่ได้ยินเสียงแม่เลยตื่น” หนูน้อยพูดไปตามความจริง ไม่คิดโป้ปดมารดา
“งั้นก็นอนได้แล้วลูก ดึกแล้ว” เด็กชายตะวันฉายทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอย่างว่าง่าย ทว่าก็ยังไม่ยอมหลับตา ลูกมองเธอตาแป๋ว
“เล่านิทานให้ตะวันฟังหน่อย ตะวันอยากฟังแม่จ๋าเล่านิทาน”
“ได้สิจ๊ะ” พราวจันทร์เอื้อมมือไปหยิบหนังสือนิทานที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างเตียงมาเปิดอ่าน “กาลครั้งหนึ่ง..”
เพียงไม่นานหลังจากได้ฟังนิทานจากผู้เป็นแม่ เด็กชายตะวันฉายก็ผล็อยหลับไป พราวจันทร์ห่มผ้าให้ลูกแล้วปิดไฟก่อนจะเดินออกจากห้องเงียบๆ พร้อมนงลักษณ์
“เมื่อกี้ใครเหรอพราว” ว่าจะไม่ถาม แต่สุดท้ายนงลักษณ์ก็อดไม่ได้
“เจ้านายน่ะ” เธอตอบเพื่อนเสมือนที่บอกกับลูกชาย
กับตะวันฉาย พราวจันทร์จะพูดอะไรก็ได้ เพราะเด็กน้อยวัยห้าขวบย่อมไม่เข้าใจถึงความซับซ้อนของผู้ใหญ่ แต่กับนงลักษณ์ การบอกปัดว่าเป็นเจ้านายแล้วจะทำให้เชื่อได้นั้นไม่มีทาง
“เจ้านายจริงดิ” นงลักษณ์หรี่ตามองเพื่อนที่รู้จักกันมานานหลายปี ยอมรับว่าเธอไม่ค่อยเชื่อนักว่าระหว่างพราวจันทร์กับผู้ชายแปลกหน้าท่าทางรวยจัดคนนั้นเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง “เจ้านายที่ไหนจะมาเดินตามลูกน้องต้อยๆ วะ”
“เจ้านายจริงๆ เว้ย ถ้าแกกำลังคิดอะไรอยู่ เลิกคิดได้เลยนะ มันไม่มีอะไรจริงๆ ”
เมื่อพราวจันทร์ยืนยันเช่นนั้น นงลักษณ์ก็เลิกซักไซ้เรื่องที่ว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันเช่นไร กระนั้นก็ไม่ได้หยุดพูดถึงชายหนุ่มแปลกหน้า “ถึงแกจะมีลูกแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแกไม่มีสิทธิ์เริ่มใหม่กับใครนะเว้ย ถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นคนดี ถ้าเขารักลูกและเอ็นดูเจ้าตะวัน ฉันก็อยากให้แกลองเปิดใจดู”
ด้วยรู้ดีว่าหลายปีมานี้สองแม่ลูกมีชีวิตที่ลำบากเพียงใด เมื่อมีโอกาสดีๆ เข้ามา นงลักษณ์จึงอยากให้พราวจันทร์คว้าเอาไว้ อย่างน้อยตะวันฉายก็จะได้สุขสบายกว่าที่เป็นอยู่
“อย่าคิดเป็นตุเป็นตะขนาดนั้นเลยนาง เขาไม่ได้คิดอะไรกับฉัน ที่สำคัญตอนนี้ฉันยังไม่เปิดใจให้ผู้ชายคนไหนทั้งนั้น ฉันมีแค่ผู้ชายที่ชื่อตะวันคนเดียวก็พอแล้ว” เธอพูดกลั้วหัวเราะเพราะนึกขันความคิดเพื่อน รู้หรอกว่านงลักษณ์หวังดีกับตนและตะวันฉาย แต่เรื่องของเธอกับภวินท์ไม่มีทางเป็นไปได้ เขาไม่มีวันชอบเธอ และเธอเองก็เข็ดขยาดเหลือเกินกับคำว่าความรัก โดยเฉพาะความรักจอมปลอมจากผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูก
“จ้ะ! ไม่คิดก็ไม่คิด แล้วอย่าให้ฉันเห็นนะว่าแกกับเจ้านายที่เดินตามแกต้อยๆ ได้กัน ฉันจะล้อยันเจ้าตะวันบวชเลยคอยดู”
“แกไม่ได้ล้อฉันแน่นอน เพราะมันจะไม่มีวันนั้น ฉันว่าแกเลิกสนใจเรื่องของฉันแล้วรีบกลับบ้านไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้าไม่ใช่เหรอ”
“จ้า กลับก็ได้จ้า” เธอมองเพื่อนแล้วยิ้มล้อเลียน
“ไม่ต้องมายิ้มแบบนั้นเลยนะนาง ฉันกับอีตานั่นไม่ได้มีอะไรในกอไผ่จริงๆ ”
นงลักษณ์ยกมือขึ้นปิดปากแล้วทำตาโต “อู้ฮู!เรียกเจ้านายตัวเองว่าอีตานั่นด้วยเว้ยเฮ้ย นี่ลูกน้องจริงหรือเปล่าเนี่ย หรือว่าว่าที่เมียเจ้านายในอนาคตกันแน่วะ”
“เพ้อเจ้อไปกันใหญ่แล้วแกอ้ะ กลับบ้านไปได้แล้วปายยย” เธอพูดแล้วใช้มือดันหลังเพื่อนสนิทให้เดินออกจากบ้าน “กลับบ้านดีๆ ล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“รีบไล่ฉันกลับจังเลยนะ” นงลักษณ์มองแม่ของตะวันฉายแล้วหัวเราะ “ยังไงคืนนี้ก็อย่าลืมเก็บเรื่องที่ฉันพูดไปคิดด้วยล่ะ โอกาสไม่ใช่อากาศ เมื่อมีแล้วก็รีบคว้าไว้ อย่าปล่อยให้หลุดมือไป”