ภวินท์หัวเสียเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่าพราวจันทร์หนีกลับบ้าน “พราวออกจากคลินิกไปนานหรือยัง”
“ประมาณห้านาทีที่แล้วค่ะ บอกว่ามีธุระด่วน” เพราะเห็นว่าเป็นเวลาเลิกงาน และหน้าที่ของพราวจันทร์ก็ไม่มีอะไรแล้ว เธอจึงไม่ได้ถามอะไรผู้หญิงคนนั้นมากมาย ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่ผู้ช่วยคนใหม่กลับบ้านก่อนจะทำให้นายแพทย์ภวินท์หงุดหงิดถึงเพียงนี้
“แล้วป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน”
“หน้าห้างฯ ค่ะหมอ” คงไม่ต้องสงสัยแล้วว่าสำหรับภวินท์แล้วพราวจันทร์พิเศษแค่ไหน เพราะคนที่ทำให้นายแพทย์หนุ่มผู้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นบนโลกใบนี้หัวเสียได้ แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นต้องมีผลต่อความรู้สึกเขาไม่ธรรมดา “แต่ถ้าขับรถออกไปต้องไปยูเทิร์นนะคะ”
ได้ยินเช่นนั้นนายแพทย์ภวินท์ก็เดินจ้ำอ้าวออกจากคลินิกทันที คนอย่างเขา อยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากกลับกับใครก็ต้องได้กลับ พราวจันทร์กล้าดียังไงมาหนีกลับบ้านก่อนเขา ทั้งๆ ที่บอกไว้แล้วว่าจะไปส่ง
ด้วยเพราะขายาว ใช้เดินเพียงไม่นานก็ถึงป้ายรถโดยสารประจำทางที่ผู้จัดการคลินิกบอก ทว่ากลับไร้ซึ่งเงาของพราวจันทร์ เขามาช้าไป เธอไปแล้ว ไป.. เหมือนหลายปีก่อน ไปแบบไร้คำร่ำลา แต่ก็ยังดีที่ว่าการจากลาในครั้งนี้ เราจะได้กลับมาพบกันอีก
แต่เมื่อนายแพทย์ภวินท์หันหลังกลับเพื่อเดินไปยังลานจอดรถ สองตาก็กระทบเข้ากับเจ้าของร่างอรชรที่ยืนอยู่หน้าร้านขายลูกชิ้น เขาเดินตรงดิ่งเข้าไปหาพราวจันทร์ทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด
“นึกว่ากลับแล้ว”
คนตัวเล็กสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู เธอเอี้ยวตัวไปมองพ่อของลูกแล้วทอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่เข้าใจเลยว่าชายหนุ่มจะตามมาทำไม “กำลังจะกลับค่ะ งั้นหนูกลับแล้วนะ” เธอยื่นเงินให้คนขายแล้วรับลูกชิ้นปิ้งมาถือไว้ในมือ “หนูไปก่อนนะคะ รถเมล์มานู่นแล้ว พรุ่งนี้เจอกันค่ะ”
“กลับกับพี่เถอะ ดึกแล้วมันอันตราย” เหลืออีกเพียงสิบนาทีเข็มนาฬิกาก็จะบอกเวลาสามทุ่มแล้ว แม้ใจกลางกรุงยังคึกคัก ทว่าแถวบ้านเช่าพราวจันทร์คงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะมันอยู่ชานเมือง แล้วหากนั่งรถโดยสารประจำทางกลับ เจ้าหล่อนก็ต้องเดินเท้าเข้าซอยไปอีกไกลพอสมควร ซึ่งครั้งที่แล้วที่เขาไปที่บ้านแม่ของลูก พบว่ามีหลายจุดที่ค่อนข้างเปลี่ยวและอันตรายสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ
บอกแล้วไงว่าสำหรับเธอแล้ว ไม่มีใครน่ากลัวเท่าพ่อของลูก “ไม่อันตรายหรอกค่ะ เพื่อนออกจะเยอะแยะ”
“นั่นเหรอเพื่อนพราว” เขาพูดพลางชำเลืองมองชายฉกรรจ์ท่าทางน่ากลัวที่ยืนอยู่ที่ป้ายรถโดยสารประจำทาง จริงอยู่ที่เราไม่ควรตัดสินคนจากภายนอก บางคนรูปร่างหน้าตาลักษณะท่าทางอาจเป็นอีกอย่าง แต่จิตใจอาจเป็นอีกอย่าง กระนั้นก็ไม่ควรประมาทในการใช้ชีวิต ทุกย่างก้าวล้วนมีอันตราย ระมัดระวังไว้ดีที่สุด “เป็นผู้หญิงเดินทางคนเดียวตอนกลางคืนอันตรายจะตาย ให้พี่ไปส่งดีกว่า”
หญิงสาวมองตามสายตาภวินท์ จริงอยู่ที่ผู้ชายที่ยืนอยู่ที่ป้ายรถโดยสารประจำทางท่าทางน่ากลัว แต่นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เธอจะต้องเดินทางกลับบ้านเวลานี้ เธอยังต้องทำงานใช้หนี้ให้พ่อของลูกอีกตั้งหลายปี และคงให้เขาไปส่งทุกครั้งไม่ได้ และเธอไม่ต้องการเช่นนั้น เธอต้องพึ่งพาตัวเอง
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูดูแลตัวเองได้” พูดจบเธอก็แง้มกระเป๋าผ้าสะพายข้างให้ภวินท์ดู “ข้างในมีมีดพกอันเล็กๆ แล้วก็สเปรย์พริกไทย ถึงจะแทงใครให้ตายทันทีไม่ได้ แต่ใช้ป้องกันตัวได้แน่นอน” ยามนี้เธอไม่ได้ตัวคนเดียว เธอมีลูก ลูกที่พึ่งอายุห้าขวบ เพราะอย่างนั้นทำอะไรจึงต้องคิดหน้าคิดหลัง
ของพวกนั้นอาจช่วยพราวจันทร์ได้ก็จริง แต่เขาก็ยังเป็นห่วงเจ้าหล่อนอยู่ดี ถึงตอนนี้เราสองคนจะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว แต่ยังไงเธอก็คือแม่ของลูกเขา และในอดีตเราสองคนก็เคยมีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน เพราะฉะนั้นเขาก็อยากดูแลเธอในฐานะ.. อะไรก็ได้ ขอแค่ได้ไปส่งให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัย
“หนูกลับได้จริงๆ พี่น่ะรีบกลับบ้านเถอะ ไม่ต้องห่วงหนูหรอก หนูไปก่อนนะ รถเมล์มานู่นแล้ว” เธอรีบวิ่งไปขึ้นรถโดยสารประจำทางทันทีโดยไม่รอฟังอะไรจากปากภวินท์อีก ด้วยกลัวว่าหากชักช้าจะตกรถเอาได้
วินาทีสุดท้ายก่อนที่รถโดยสารประจำทางจะเคลื่อนตัวออก นายแพทย์ภวินท์ก็ตัดสินใจกระโดดขึ้นรถตามแม่ของลูกไป แน่นอนว่าที่นั่งของเขาคือเบาะที่ว่างข้างพราวจันทร์
“พี่พอร์ช พี่จะตามมาทำไมเนี่ย” เธอถามเขาพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอเหนื่อยใจกับพ่อของลูกจนพูดอะไรไม่ออก แม้พอรู้ว่าภวินท์เป็นคนดื้อด้าน ชอบเอาชนะ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะหน้าหนาถึงเพียงนี้ “ที่หนูไม่อยากกลับกับพี่ เพราะหนูไม่อยากอยู่ใกล้พี่” เธอตัดสินใจพูดเหตุผลที่แท้จริงที่ไม่ยอมให้ภวินท์ไปส่งบ้านออกไป ด้วยหวังว่าเมื่อเขารู้ถึงเหตุผลแล้วจะไม่มายุ่งกับเธออีก
“ก็พราวไม่ยอมให้พี่ไปส่ง พี่ก็เลยต้องตามพราวขึ้นรถเมล์ไง ดึกๆ แบบนี้อันตรายจะตาย ปล่อยให้กลับคนเดียวได้ไง แต่อย่าเข้าใจผิดคิดว่าที่พี่ทำเพราะพี่เป็นห่วงพราวนะ พี่แค่กลัวว่าถ้าพราวเป็นอะไรไป ลูกจะกำพร้าแม่”
ถึงภวินท์ไม่อธิบายเหตุผล ก็ไม่บังอาจคิดไปไกลว่าเขาพิศวาสเธอหรอก สูงส่งปานดอกฟ้าซะขนาดนั้น คงไม่โน้มตัวลงมาหาหมาวัดอย่าเธอหรอก หรือต่อให้โน้มตัวลงมา หมาวัดอย่างเธอก็ไม่แล เพราะถึงเธอจะเป็นหมาวัด เธอก็เป็นหมาวัดที่ฉลาดเลือก
“แล้วขากลับพี่จะกลับยังไง หนูไม่มาส่งนะ”
“ไม่ต้องห่วงพี่หรอก พี่ให้ลูกน้องที่ผับมารับก็ได้”
คงหมายถึงผับที่กันต์ทำงานเป็นบาเทนเดอร์อยู่กระมัง คิดดูแล้วภวินท์นี่ก็ขยันไม่ใช่เล่น ไม่รู้ว่าตั้งหน้าตั้งตาหาเงินไปทำไมนักหนา ตัวเองก็รวยล้นฟ้าซะขนาดนั้น ยังสรรหานั่นนู่นนี่ทำอีก แต่ก็ช่างเขาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำไป ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องไปสนใจเสียหน่อยนี่นา สิ่งที่ต้องสนใจคือชีวิตตัวเองกับตะวันฉายต่างหากเล่า
พราวจันทร์หยิบลูกชิ้นที่ยังไม่ได้ราดน้ำจิ้มขึ้นมาแล้วยื่นไปตรงหน้าพ่อของลูก “หนูแบ่งให้”
แทนที่นายแพทย์ภวินท์จะซาบซึ้งในน้ำใจ ทว่าเขากลับมองลูกชิ้นไม้นั้นด้วยสายตาขยะแขยง “กินแล้วจะท้องเสียไหมเนี่ย”
คนมีน้ำใจชักมือกลับทันทีเมื่อเห็นท่าทางของภวินท์แล้วยังได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนั้น “ไม่กินก็ไม่ต้องกิน ถึงลูกชิ้นนี่จะเป็นอาหารข้างทาง ไม่ใช่อาหารในภัตตาคารหรูหรา แต่คนที่เขาทำมาขาย เขาก็ใส่ใจเรื่องความสะอาดเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นกินแล้วไม่ท้องเสียแน่นอน แถมอร่อยด้วย” เธอพูดพลางสูดกลิ่นหอมๆ ของลูกชิ้นเข้าปอด “อ่า.. หอมจุง”
เพราะกลิ่นหอมของลูกชิ้นปิ้งที่โชยมาแตะจมูกทำให้คนที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ห้าโมงเย็นนอกจากกาแฟแก้วเดียวท้องร้องโครกคราก กระนั้นก็ยังฟอร์มจัดไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรออกมา
แต่เสียงท้องของภวินท์ร้องดังออกเสียขนาดนั้น มีหรือที่พราวจันทร์จะไม่ได้ยิน เจ้าหล่อนหรี่ตามองคนฟอร์มจัดแล้วกระหยิ่มยิ้ม “หนูแบ่งให้เอาไหม เหลือหนึ่งไม้พอดี แต่ราดน้ำจิ้มแล้วนะ ไม่รู้ว่าพี่กินได้หรือเปล่า แต่.. พี่คงกินไม่ได้หรอก เพราะนี่เป็นอาหารรสเผ็ด ที่สำคัญเป็นอาหารข้างทางอีกต่างหาก” เธอยื่นถุงใส่ลูกชิ้นปิ้งกลิ่นหอมๆ ไปใกล้ๆ จมูกพ่อของลูก
คราแรกภวินท์ก็ปฏิเสธหนักแน่นว่าไม่มีทางนำลูกชิ้นที่ชายหนุ่มมองว่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ท้องเสียเข้าปากเด็ดขาด แต่สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้ให้กับความหิวของตัวเองและกลิ่นอันหอมหวนของลูกชิ้นปิ้งราคาถูก
“ไม่ท้องเสียแน่นะ” เขาถามพราวจันทร์อีกครั้ง
“กินๆ ไปเถอะน่า แต่ถ้าพี่กลัว งั้นหนูกินเอง”
“อ้ะๆ โอเค ลองกินดูก็ได้ แต่ถ้าพี่ท้องเสีย พี่จะมาเก็บค่ารักษาพยาบาลกับเธอ”
“ได้ ถ้าต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะลูกชิ้นนี่จริงๆ พี่หักเงินเดือนหนูไปเป็นค่ารักษาพยาบาลได้เลย”
นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกคุณหนูอย่างนายแพทย์ภวินท์ได้ลิ้มรสลูกชิ้นปิ้ง ซึ่งไม่เป็นไปอย่างที่เขาคิดไว้เลยสักนิด คราแรกนึกว่าจะได้คายทิ้งตั้งแต่คำแรก เพราะรสชาติห่วยแตกจนกลืนไม่ลง แต่พอลูกชิ้นลูกแรกเข้าปากก็พูดได้เลยว่าอร่อยมาก มิน่าเล่าเมื่อครู่ตอนที่พราวจันทร์กิน เจ้าหล่อนถึงได้ทำหน้าฟินราวกับขึ้นสวรรค์ ทว่าน่าเสียดาย แม่ของลูกเขางกไปหน่อย ซื้อมาแค่สองไม้เอง
แต่!เผ็ดชะมัด
“นี่ค่ะน้ำ” เมื่อเห็นภวินท์เผ็ดจนหน้าดำหน้าแดง เธอจึงยื่นน้ำให้
“ไม่มีน้ำแร่ยี่ห้อ.. เหรอ”
ยังจะเรื่องเยอะอีก!
“จะกินไม่กิน ถ้าไม่กินก็ทนเผ็ดต่อไปแล้วลงจากรถเมื่อไหร่ค่อยไปซื้อน้ำแร่ของพี่ก็แล้วกัน” คนอะไรเรื่องเยอะชะมัด นับว่าเป็นโชคดีของเธอเหลือเกินที่เมื่อหลายปีก่อนถูกภวินท์ทิ้งไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ไม่เช่นนั้นเธอคงได้กลายเป็นผู้หญิงที่ดวงกุดที่สุดในสามโลก ส่วนลูกชายก็ไม่รู้ว่าจะโตมาในสภาพแบบไหน หากมีนิสัยเช่นผู้เป็นพ่อ แม่อย่างเธอคงสยองตายเลย
ด้วยว่าเผ็ดจนทนไม่ไหว ภวินท์จึงจำใจรับน้ำเปล่าจากพราวจันทร์มากรอกเข้าปาก เขาดื่มมันจนหมดขวด ซึ่งก็ช่วยให้ความเผ็ดทุเลาลงมาก
“เป็นไงล่ะ ถึงไม่ใช่น้ำแร่ก็กินได้เหมือนกัน” คิดไม่ออกเลยว่าหากวันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝันอย่างเช่นภวินท์หมดตัว เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง “ของบางอย่างแม้ไม่ได้ดีที่สุด ไม่ได้คุณภาพดีเยี่ยม แต่ก็กินได้เหมือนกัน ใช้ได้เหมือนกัน หัดทำตัวธรรมดาเหมือนคนอื่นเขาบ้าง อย่าโอเว่อร์ให้มาก จะได้ไม่เป็นภาระให้คนรอบตัว”
ภวินท์อ้าปากค้างเมื่อถูกผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าตนเป็นสิบๆ ปีเอ่ยสั่งสอน แต่กว่าเขาจะหายอึ้ง พราวจันทร์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปเกือบถึงประตูรถโดยสารแล้ว