“หมอพอร์ชขา วิกกี้อยากสวยกว่านี้ คุณหมอว่าวิกกี้ควรทำตรงไหนเพิ่มดีคะ” พริตตี้สาวตัวท็อปแห่งวงการมอเตอร์โชว์ยื่นหน้าของตนเข้าไปใกล้นายแพทย์รูปหล่อประจำคลินิก เธอส่งสายตายั่วยวนเขา และยังแอ่นหน้าอกขนาดมหึมาไปตรงหน้าชายหนุ่ม “คุณหมอแนะนำวิกกี้หน่อยสิคะ”
นายแพทย์ภวินท์ หมอศัลยกรรมมือหนึ่งประจำคลินิก เลื่อนระดับสายตาจากใบหน้าสวยเฉี่ยวลงไปที่หน้าอกหน้าใจของหล่อนก่อนจะช้อนตาขึ้นมองพริตตี้สาวแล้วกระตุกยิ้ม นี่หาใช่ครั้งแรกไม่ที่เขาถูกผู้หญิง ‘อ่อย’ ทว่าพบพานมานับครั้งไม่ถ้วนจนรู้สึกชิน เมื่อชินแล้วอารมณ์ ‘อยาก’ ต่อสิ่งเร้าทั้งหลายที่ได้มาโดยง่ายไม่ได้ใช้ความพยายามจึงหมดลง
“ผมว่าคุณสวยเป๊ะแล้วนะ ยังจะทำอีกเหรอ” ที่พูดออกมานั้น ไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด วิกกี้สวยและเป๊ะมากจนขนาดที่หมออย่างเขาไม่รู้ว่าควรแนะนำให้หล่อนทำอะไรเพิ่มเติมอีกดี “ผมว่าคุณวิกกี้ดริปวิตามินดีไหม ตอนนี้คลินิกเรานำเข้าวิตามินตัวใหม่ เป็นวิตามินจากธรรมชาติ ช่วยทั้งเรื่องผิวแล้วก็สุขภาพ”
“หมอว่ายังไง วิกกี้ก็ว่าตามนั้นเลยค่ะ”
ในวงการพริตตี้ มีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักนายแพทย์ภวินท์ อัศวบวรกุล ซึ่งเป็นทั้งหมอและเจ้าของคลินิกเสริมความงาม ที่สำคัญยังเป็นลูกชายคนเดียวของท่านขจรเกียรติ อัศวบวรกุล นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศ เศรษฐีที่รวยลำดับต้นๆ ของเมืองไทย หล่อ รวย เพอร์เฟกต์ แถมพึ่งหย่ากับภรรยาแบบนี้ เธอก็เลยลองทอดสะพานดู เพื่อบุญพาวาสนาส่งให้ได้เป็นเมียเศรษฐี
“ผมแนะนำให้รอบนี้คุณวิกกี้ดริปวิตามินไปก่อน รอบหน้าอยากเติมตรงไหนค่อยว่ากัน เพราะตอนนี้คุณเป๊ะทุกมุมแล้ว ผมว่าคุณยังไม่ต้องทำเพิ่ม”
“ได้ค่ะ คุณหมอขา วิกกี้ขอไลน์ส่วนตัวหมอได้ไหมคะ เผื่อว่ามีอะไรจะปรึกษา วิกกี้ไม่สะดวกคุยกับเซลล์คลินิกเท่าไหร่น่ะค่ะ อยากคุยกับแพทย์โดยตรงมากกว่า”
เพราะอยู่ในวัยที่ผ่านประสบการณ์มามาก มองปราดเดียวจึงรู้ได้ว่าพริตตี้สาวกำลังคิดจะทำอะไร เธอไม่ได้อยากปรึกษาศัลยกรรม เพียงแค่พยายามทอดสะพานให้เขาข้าม กระนั้นภวินท์ก็ไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธ เขายื่นสมาร์ตโฟนให้หล่อน
“ได้สิครับ คุณกรอกไลน์ไอดีให้ผม เดี๋ยวผมแอดไป”
วิกกี้รีบพิมพ์ไลน์ไอดีของตนลงไปแอปพลิเคชันไลน์ของภวินท์ทันที เมื่อเรียบร้อย หล่อนจึงยื่นสมาร์ตโฟนคืนให้เขา “อย่าลืมแอดไลน์วิกกี้มานะคะหมอ”
“ครับ เดี๋ยวผมให้น้องพนักงานพาคุณไปที่ห้องทำหน้านะ เดี๋ยวอีกห้านาทีผมตามไปดริปวิตามินให้”
“ค่ะหมอ” พริตตี้สาวส่งยิ้มหวานให้นายแพทย์ภวินท์ก่อนจะเดินนวยนาดอย่างมีจริตออกจากห้อง
หลังจากที่พนักงานประจำคลินิกพาวิกกี้ไปที่ห้องทำหน้า ในห้องให้คำปรึกษาจึงเหลือเพียงภวินท์และพราวจันทร์ที่อยู่อีกมุมของห้อง
“กลับบ้านยังไง” วิกกี้คือลูกค้าคนสุดท้ายของคลินิก และอีกสิบนาทีคือเวลาเลิกงานของเขาและพราวจันทร์ เขาจึงเอ่ยถามแม่ของลูก ด้วยรู้ว่าเจ้าหล่อนไม่มีรถ
“รถเมล์ค่ะ” เธอตอบในสิ่งที่เขาถาม
เวลานี้แม้ยังไม่ดึกมาก แต่เขาเป็นคนมีน้ำใจ โดยเฉพาะกับสตรี “ให้พี่ไปส่งไหม บ้านพราวเป็นทางผ่านบ้านพี่พอดี”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลับเองสะดวกกว่า”
“เถอะน่า ให้พี่ไปส่งดีกว่า ประหยัดค่ารถเมล์ แถมปลอดภัยด้วย”
สำหรับเธอแล้ว ภวินท์คือคนที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตไม่ปลอดภัยมากที่สุด การได้อยู่ไกลๆ เขาคือสิ่งที่ปรารถนา แต่ในเมื่อมันจำเป็นต้องอยู่ เธอก็จะอยู่เฉพาะเวลาจำเป็น นอกเหนือจากนั้น เธอจะพาตัวเองออกห่างจากเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“พี่เคยไปส่งพนักงานคนอื่นในคลินิกไหมคะ” เธอเอ่ยถามนายแพทย์ภวินท์โดยไม่หลบสายตา
แน่นอนว่า.. “ไม่” เขาไม่เคยทำตัวเป็นสมภารกินไก่วัด ยกเว้นกับพราวจันทร์เมื่อหลายปีก่อน หลังจบความสัมพันธ์กับเธอ เขาก็ไม่ได้ยุ่งกับใครอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่อยู่ใกล้ตัว หรือไกลตัว เพราะไม่อยากมีปัญหากับภรรยา แต่ตอนนี้เขาโสดแล้ว
“เพราะงั้นให้หนูกลับเองดีกว่า คงไม่ดีนักถ้าพนักงานคนอื่นเห็นหนูกลับบ้านพร้อมพี่” เธอยกเหตุผลข้อนี้มาอ้าง เพราะไม่อยากทนอึดอัดนั่งรถกลับบ้านกับพ่อของลูก และที่สำคัญกลัวว่าภวินท์จะหาเรื่องขอเข้าบ้านเพื่อพบตะวันฉาย
“ไม่เห็นต้องสนใจเลยนี่ พราวก็บอกไปสิว่ารู้จักกับพี่เป็นการส่วนตัว” แม้เขาเลือกศรารินทร์เป็นเจ้าสาว และคิดเก็บพราวจันทร์ไว้ในมุมลับ กระนั้นก็ไม่เคยคิดที่จะปิดบังคนอื่นว่ารู้จักกับแม่ของลูก ไม่มีเหตุผล และไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น
ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ยอมให้ภวินท์ไปส่งที่บ้านเด็ดขาด “หนูไม่สะดวกให้พี่ไปส่งที่บ้าน หนูอยากกลับรถเมล์ ไม่ใช่รถพี่ชัดเจนไหมคะ”
ภวินท์รู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก ด้วยตลอดมาล้วนมีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้าหา ยกตัวอย่างเช่นวิกกี้ วิกกี้เป็นพริตตี้ตัวท็อปของวงการเชียวนะ แล้วพราวจันทร์ล่ะ? เธอเป็นใคร ทำไมกล้าปฏิเสธเขา คิดว่าตัวเองวิเศษวิโสมาจากไหนกัน
“ตามใจ ที่จะไปส่งไม่ใช่อะไรนะ แค่เห็นว่าเป็นทางผ่าน”
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็นไรจริงๆ หนูยังต้องทำงานที่นี่อีกนาน ไม่อยากให้มีคำครหา ไม่อยากให้ใครเข้าใจความสัมพันธ์ของเราสองคนผิด และอีกอย่าง หนูไม่สะดวกใจที่จะอยู่ใกล้พี่” เธอพูดทุกอย่างที่คิดออกไป ด้วยหวังว่าหากภวินท์รู้แล้วจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเอ่ยชวนเธอขึ้นรถอีก
ยิ่งกว่าถูกลากไปตบกลางไฟแดงเมื่อพราวจันทร์ทำราวกับว่าเขาเป็นตัวน่ารังเกียจที่เธอไม่อยากอยู่ใกล้ “แต่เรายังต้องทำงานด้วยกันอีกนานนะพราว”
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรค่ะ หนูอดทนได้ถ้าต้องอยู่ใกล้กับพี่เพราะเรื่องงาน แต่ถ้าจะให้อยู่ในรถด้วยกันสองต่อสอง อันนั้นหนูไม่ไหวจริงๆ ”
“เธอกลัวพี่เหรอ?” บางทีที่เธอไม่อยากอยู่ใกล้เขา เพราะอาจกลัวว่าจะหวั่นไหวก็เป็นได้
คิ้วเรียวโก่งขมวดเข้าหากัน “กลัวเรื่องอะไรเหรอคะ”
“ก็แบบ.. กลัวว่าจะเผลอใจมาชอบพี่ไง” เพราะด้วยความที่เกิดมาได้ยินแต่คำชมว่าเพอร์เฟกต์อย่างนั้น หล่ออย่างนี้ ภวินท์จึงคิดว่าด้วยคุณสมบัติที่ตัวเองมี อาจทำให้สาวน้อยอย่างพราวจันทร์กลัวว่าจะหวั่นไหว
อยากรู้เหลือเกินว่าอะไรทำให้ภวินท์มั่นหน้าได้ขนาดนี้ ที่เธอไม่อยากไปไหนมาไหนกับเขา ไม่ใช่เพราะกลัวใจตัวเอง แต่รังเกียจต่างหากเล่า สำหรับเธอแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่ต่างจากตัวเชื้อโรค เป็นบุคคลที่อยากอยู่ให้ห่างมากที่สุด ไอคิวสูงแต่อีคิวต่ำ มิหนำซ้ำยังหลงตัวเองขั้นสุด ก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเขาเพอร์เฟกต์ หล่อ รวย หน้าที่การงานดี แต่ทุกอย่างที่กล่าวมาคือเปลือกนอกทั้งนั้น ส่วนจิตใจน่ะหรือ..
ฮึ!ต่ำตมยิ่งกว่าดอกบัวใต้โคลน
ทุกสิ่งที่คิด ทุกอย่างที่กำลังรู้สึก ไม่จำเป็นต้องพูดออกไปทั้งหมด เธอสบตากับพ่อของลูกแล้วส่งยิ้มบางเบาให้เขา เลือกเก็บงำความสมเพชที่มีต่อชายหนุ่มไว้ในใจ
“พี่พอร์ชไปดริปวิตามินให้คุณวิกกี้เถอะนะคะ จะได้รีบกลับบ้าน” เธอเปลี่ยนไปพูดเรื่องอีก
“โอเค งั้นสรุปวันนี้พราวกลับบ้านกับพี่นะ พี่ไปดริปยาให้คุณวิกกี้แป๊บ พราวเก็บของรอ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เขาพูดจบก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งพราวจันทร์ให้ถอนใจหายใจอยู่คนเดียว
บางทีคนที่เรียนเก่งจนสามารถสอบเข้าศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ได้ ก็ใช่ว่าจะฟังอะไรเข้าใจไปเสียทุกอย่าง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เธอบอกกับภวินท์ว่าไม่สะดวกใจที่จะให้เขาไปส่ง แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็บอกให้เธอรอกลับพร้อมเขา
“บ้าบอ ใครจะไปรอ” พราวจันทร์รีบเก็บของเข้ากระเป๋าแล้วเดินออกจากห้อง เพราะถึงเวลาเลิกงานของเธอแล้ว แม้ความจริงเธอควรจะกลับหลังจากที่ภวินท์กลับ แต่หากอยู่ต่อ มีหวังถูกเขาลากขึ้นรถเป็นแน่