*****ท่านอานอนละเมอ
กลิ่นอาหารหอมฉุยปลุกให้ผู้ที่แอบงีบหลับบนตั่งยาวสูดหายใจเข้าลึก ครั้นลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นร่างสามร่างซึ่งผูกผ้ากันเปื้อนไว้ครึ่งตัวกำลังง่วนกันอยู่ในครัว พวกเขาล้วนต้องใช้เก้าอี้ต่อขายืนเรียงกันไปเพื่อเพิ่มความสูง แลดูน่าขันและน่าเอ็นดูไปในเวลาเดียวกัน
ความจริงเด็กเหล่านี้ก็น่ารักอยู่หรอก หากไม่ติดตรงที่ว่า...
“อาหลง ไฟอ่อนแล้ว” ร่างเล็กๆ ของมู่หรงอู่กระโดดลงจากเก้าอี้พร้อมกับเอียงหน้ามองเตาฟืนที่เริ่มริบหรี่
หงหยางจู่ได้ยินดังนั้นก็หยุดมือที่กำลังหั่นผัก เคลื่อนนัยน์ตาสีน้ำเงินไปยังผู้ที่กำลังนั่งแกะเปลือกผลเหอเถา[1] ไว้รอกินเป็นของว่างอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล “เฟิงหลง เจ้าก็พ่นไฟเติมให้เสียสิ”
เด็กชายผู้มีใบหูแหลมยาวผ่อนลมหายใจอย่างเบื่อหน่าย “หากไฟอ่อนก็ให้เติมฟืน ไม่ใช่เติมไฟ”
“อ้อ... แล้วเวลาเจ้าหิวต้องกินข้าวหรือว่ากินฟืนเล่า”
“แล้วงูอย่างเจ้าต้องกินข้าวหรือกินหนูกับกบ?”
หลิวฟางซวงหยัดตัวลุกขึ้นยืนพลางบิดขี้เกียจ ชายเสื้อตวัดพลิ้วครั้งหนึ่งขณะเสกให้ท่อนฟืนซึ่งวางเรียงอยู่อีกฟากหนึ่งของถ้ำลอยเรียงต่อกันไปหามู่หรงอู่ ปากก็เอ่ยกับลูกครึ่งเทพและปีศาจที่ยังคงหาโอกาสกัดกันอย่างเนิบช้า “หากเจ้าไม่ทะเลาะกันสักวันจะนอนไม่หลับหรืออย่างไร”
เจ้าของเรือนผมสีขาวยาวหมุนกายหันกลับมาเป็นคนแรกพร้อมกับคลี่ยิ้มหวานประจบประแจง “ข้าจะนอนหลับหรือไม่หลับก็ไม่เกี่ยวกับเขาหรอก ท่านอาซวง... คืนนี้ข้าขอนอนกับท่านอีกได้หรือไม่”
คำถามของเขามิได้ทำให้หญิงสาวสนใจมากนัก ทว่าผู้ที่เดือดร้อนแทนกลับเป็นเด็กชายที่เพิ่งโยนฟืนท่อนสุดท้ายเข้าไปในเตาเสียอย่างนั้น “ไม่ได้นะ!”
เทพธิดาสาวอ้าปากเตรียมจะกล่าวบางสิ่ง ทว่าก็มิทันเด็กทั้งสองที่เริ่มโต้เถียงกันเสียงดังมากกว่าเดิม
“ทำไมจะไม่ได้” ร่างซีดขาวซึ่งเริ่มขึ้นเกล็ดตามตัวขู่ฟ่อ “ข้ามีเหตุผลของข้า หรือเจ้าจะเถียง?”
“ข้า...ข้า” มู่หรงอู่หันซ้ายหันขวาก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาหลบอยู่หลังอาหญิงอย่างต้องการหาที่พึ่ง “เช่นนั้นข้าจะนอนกับท่านอาซวงด้วย!”
“อี้เฟิงหลง” เสียงเรียบเรื่อยที่ดังแทรกขึ้นมากลางบทสนทนาประหนึ่งน้ำเย็นฉ่ำสาดลงบนเปลวเพลิงที่ร้อนระอุ เจ้าของชื่อวางอุปกรณ์ทุกอย่างในมือลงพร้อมกับหันใบหน้ากลับมาหาหลิวฟางซวง
“เรียกข้าทำไม”
“คืนนี้มู่หรงอู่กับหงหยางจูจะนอนกับข้า” หญิงสาวเอ่ย
อี้เฟิงหลงพยักหน้ารับรู้อย่างขอไปที แอบสงสัยว่าไยอีกฝ่ายต้องแจ้งเรื่องนี้ให้เขาทราบ ในเมื่อผู้ใดอยากนอนที่ไหนก็มิเห็นจะเกี่ยวข้องกับเขาตรงไหน เขาคิดเยี่ยงนั้นจริงๆ จนกระทั่งเจ้าของร่างอรชรกล่าวเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค
“เจ้าก็มานอนด้วยกันสิ”
แม้สีหน้าของผู้ถูกถามจะยังเรียบเฉย ทว่าหากสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่าบนแก้มเนียนนวลเข้มขึ้นเล็กน้อย เช่นเดียวกับปลายหูแหลมเรียวที่โผล่พ้นเรือนผมสีดำเหลือบเขียว
หากมีเด็กน้อยอยู่ด้วย กระทั่งเรื่องนอนก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเสียเฉยๆ นางไม่อยากให้อี้เฟิงหลงรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว ควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเท่าเทียมกัน
เด็กชายผู้มีเลือดเทพมังกรไหลเวียนอยู่ในร่างครึ่งหนึ่งกวาดสายตาผ่านหงหยางจูและมู่หรงอู่ที่หันขวับมาจับจ้องตนอย่างเป็นตาเดียว มองเลยไปยังหญิงงามซึ่งมีสีหน้าเฉื่อยชาทั้งๆ ที่เป็นผู้ชักชวนเขาให้มานอนด้วยกัน
ตัวเขาเองไม่ชอบความวุ่นวาย หงหยางจูกับมู่หรงอู่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบเจื้อยแจ้วราวกับนกกา ปากไม่มีหูรูด หากมิบอกว่าเป็นมนุษย์กับลูกครึ่งปีศาจงู เขาคงหลงคิดไปว่ามิแคล้วเป็นปีศาจอีกาเสียมากกว่า
ไวเท่าความคิด เด็กน้อยก็เอ่ยปากปฏิเสธไปในทันที
“ข้าไม่...”
ไม่น่าเลย...
ร่างเล็กในชุดสีดำนอนตะแคงคิดพลางถอนหายใจเสียงดัง อากาศคืนนี้เดิมทีค่อนข้างหนาว ทว่าเมื่อมีร่างสี่ร่างนอนเบียดเสียดกันอยู่บนเตียงใหญ่ กลับทำให้มันอบอุ่นขึ้นทันตาเห็น
อบอุ่นมาก... อบอุ่นจนเหงื่อแตก
“นี่เจ้า... เขยิบออกไปหน่อยสิ ข้าอึดอัด”
“กะ...ก็เจ้าชอบบ่นว่าขี้หนาวนักมิใช่รึ”
หงหยางจูกับมู่หรงอู่กระซิบกระซาบกันอยู่ใต้ผ้านวมผืนใหญ่อีกฟากหนึ่ง คั่นด้วยร่างอรชรบางในชุดสีน้ำทะเลก่อนจะมาถึงตัวเขา
แต่ถึงแม้ว่าจะมีหญิงสาวกั้นเอาไว้... เสียงของหนึ่งมนุษย์หนึ่งปีศาจงูก็น่ารำคาญเกินกว่าจะข่มตานอนหลับได้อยู่ดี
“เจ้าเตะโดนข้า!” เจ้างูที่ยังอยู่ในร่างมนุษย์ขู่ฟ่อ
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ” มู่หรงอู่เริ่มเพิ่มระดับเสียง
ในระหว่างที่เส้นความอดทนของอี้เฟิงหลงกำลังจะหมดอยู่รอมร่อ ร่างที่ทุกคนต่างคาดคิดว่าหลับไปนานแล้วกลับลุกขึ้นมานั่งโดยไม่บอกกล่าว หงหยางจูกับมู่หรงอู่ต่างตกใจพากันปิดปากเงียบ ต่างจินตนาการในใจว่าคงถูกดุเพราะทำเสียงก่อกวนให้รำคาญใจ ทว่าเมื่อเวลาผ่านพ้น ทุกอย่างกลับเงียบสนิทเสียจนพวกเขาได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง
อี้เฟิงหลงเป็นคนแรกที่ตัดสินใจหันกายที่นอนตะแคงกลับมา แหงนหน้ามองหลิวฟางซวง คิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นดวงตาสีอำพันที่ควรลืมตื่น
หลิวฟางซวงหลับตาสนิท ขณะที่ศีรษะเอียงไปข้างขวาเล็กน้อย คล้ายกับกำลังนั่งสัปหงกโดยไม่มีท่าทีว่าจะตื่น
“ท่านอาซวง...” มู่หรงอู่เรียกนางเสียงออดอ้อน เขาซึ่งยังไม่หันกลับมามองเข้าใจว่าอีกฝ่ายน่าจะโกรธพวกเขาจนไม่ยอมคุยด้วย
“นางนอนละเมอ” ลูกครึ่งสายเลือดมังกรเป็นผู้ตอบ
“ละเมอ?” ดวงตาสีน้ำเงินของหงหยางจูเรืองแสงในความมืดมิด ประกายเจ้าเล่ห์ในแววตาส่งผลให้อี้เฟิงหลงขมวดคิ้วทันที เจ้าปีศาจตนนี้ย่อมคิดเรื่องร้ายมากกว่าดี
“อาหลง ท่านอาซวงละเมอเช่นนี้แล้วเราจะทำเช่นไรกันดี” มู่หรงอู่ถามขัดจังหวะขึ้นมาด้วยสีหน้าใสซื่อ
หงหยางจูย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสดีๆ เยี่ยงนี้หลุดมือไป “ไม่เห็นต้องทำอันใด ข้าเคยนอนกับท่านอามาก่อนแล้ว ข้าจะจัดการเอง ส่วนพวกเจ้าก็แยกย้ายกันไปนอน ห้องใครห้องมัน”
สายเลือดมังกรเค้นเสียงหัวเราะ นัยน์ตาสีเขียวมรกตสว่างวาบในความมืด “ดูเหมือนจะมิใช่แค่ท่านอาซวงที่ละเมอ”
มู่หรงอู่ขนลุกซู่ มิทันไรหนึ่งครึ่งเทพหนึ่งครึ่งปีศาจก็ตั้งท่าจะตีกันอีกแล้ว
“ท่านอาซวง...” เด็กชายกระซิบเรียกคนละเมอ ก่อนจะเป็นฝ่ายตกใจเสียเองเมื่อโฉมสะคราญหย่อนเท้าเปลือยเปล่าลงบนพื้นเย็นแล้วเดินออกไปจากห้องทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่
‘ท่านอาซวงจะไปไหน!’
เพียงเท่านั้นเด็กน้อยทั้งสามก็หลงลืมเรื่องการทะเลาะ พากันผุดลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกันแล้วรีบมุ่งหน้าตามร่างของเทพธิดาที่หายลับไปจากถ้ำอย่างรวดเร็ว
ความมืดมิดในยามรัตติกาลดูเหมือนจะไม่เป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่มีนัยน์ตาเหนือมนุษย์ทั่วไป ทั้งอี้เฟิงหลงและหงหยางจูต่างสามารถเดินตามร่างหญิงสาวในชุดสีน้ำทะเลไปได้อย่างคล่องแคล่ว ผิดกับมู่หรงอู่ที่ประเดี๋ยวก็สะดุดรากไม้ ประเดี๋ยวก็เดินชนโน่นนี่ สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว
“พวกเจ้าช่วยเดินช้าๆ หน่อยได้หรือไม่”
“ไม่!” คนทั้งสองเพิ่งแสดงความสามัคคีออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก
ใบหน้าสวยหวานของมู่หรงอู่งอง้ำ เอื้อมมือออกมาคว้าสายเชื้อของบุตรชายเทพมังกร “ถะ...ถ้าเช่นนั้นช่วยจูงข้า...”
อี้เฟิงหลงพ่นลมหายใจออกมาทีหนึ่ง เมื่อเจ้าของร่างหอมเริ่มเดินออกไปไกลจากสายตาโดยมีหงหยางจูตามไปแล้ว เขาจึงเอื้อมมือมาคว้าข้อมือของเด็กมนุษย์แล้วใช้พลังปราณที่มีน้อยนิดพุ่งตามไปติดๆ
ยามค่ำคืนจันทราส่องสว่าง แสงเหลืองนวลอาบไล้บึงใหญ่ให้เปล่งประกายวิบวับ อากาศริมน้ำเย็นยะเยือกชวนให้ไหล่บางๆ ของหงหยางจูสั่นสะท้าน ในที่สุดเขาก็ยกมือกอดอกพร้อมกับจามออกมาหนึ่งที
จ๋อม!...
ร่างในชุดสีฟ้าน้ำทะเลแตะเท้าลงไปในน้ำ เด็กน้อยทั้งสามพากันตาเหลือกโตด้วยความตกใจเพราะเกรงว่านางจะจมลงไป ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อมีแสงสีขาวเรืองรองออกมาโอบล้อมเรือนร่างอรชรให้สามารถเดินบนน้ำได้
อี้เฟิงหลงหรี่ตา หงหยางจูกะพริบตาถี่ ส่วนมู่หรงอู่เบิกตาโตด้วยความตกใจ
เรือนผมสีดำเงางามยาวถึงข้อเท้าของหญิงสาวปลิวสยายตามกระแสลม เจ้าของร่างหลับตาพริ้มร่ายรำอยู่เหนือธาราด้วยท่าทางงดงามอ่อนช้อย หากในขณะเดียวกันก็ดูเหยาะแหยะตามบุคลิกของเจ้าตัว
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด... มันกลับเปี่ยมไปด้วยพลังและมนตร์เสน่ห์จนคนทั้งสามมิอาจละสายตาไปได้
ทว่าจู่ๆ สรรพสิ่งรอบกายเริ่มผิดแปลกไปจากเดิม เมื่อแสงที่เรืองรองออกมาจากร่างของหญิงสาวคล้ายกับเปล่งรัศมีเจิดจ้ามากขึ้น
[1] เหอเถา (**) แปลว่า วอลนัต